ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 122 ไม่มีเงิน ทำยังไงดีล่ะ
ความร้อนซึ่งอยู่ก่อนหน้านี้มลายหายไป ความหนาวเหน็บประดังเข้ามา ทำให้ฉินม่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ล้วนสั่นสะท้าน
ไม่เพียงร่างกาย ทว่าในใจของพวกเขาก็เย็นเฉียบเช่นกัน สมองชาวาบ รยางค์ทั้งสี่แข็งทื่อ
ทั้งโลกบำเพ็ญเซียน มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นต้าเซิ่งเท่านั้นที่ต้านคลื่นเพลิงดาราและข้ามผ่านไปได้ แต่ก็มิใช่เรื่องง่าย ต๋าจี่ไม่เพียงต้านคลื่นเพลิงดาราได้ แต่ยังดับคลื่นเพลิง ดาราได้อย่างง่ายดาย
นี่มันระดับพลังใดกัน
นี่มันวิธีของเทพเซียนชัดๆ!
พวกเขามองสายตาของต๋าจี่ ฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป ทั้งสี่ผงะถอยไปอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกัน
ฉินม่านอวิ๋นมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “เส้นทางระหว่างเซียนและปุถุชนยังไม่ถูกตัดขาดหรือ เป็นไปได้…”
ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเซียน ขั้นสูงที่สุดคือขั้นต้าเซิ่ง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน อีกทั้งไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นเซียนมานานเหลือเกิน
บัดนี้พลังของต๋าจี่นั้นสามารถจัดว่าเป็นเซียนก็ย่อมได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าโลกบำเพ็ญเซียนก็ยังบ่มเพาะเซียนได้ดังเดิม?
แต่ทว่า…ไฉนต๋าจี่ถึงยังไม่สำเร็จเป็นเซียนอีกเล่า
ฉินม่านอวิ๋นครุ่นคิดจนสมองยุ่งเหยิงไปหมด ไยจึงคิดถึงเหตุผลไม่ออกเลยเล่า
ต๋าจี่เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของนาง ก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เซียนและปุถุชนต่างกันตรงไหนในสายตานายท่าน ถ้าหากท่านใช้หลักเกณฑ์ของคนทั่วไปมาเทียบกับปรมาจารย์ เช่นนั้นก็คง งโง่เขลาเบาปัญญาเกินไปแล้วละ”
ฉินม่านอวิ๋นพลันได้สติกลับมา รู้สึกว่าตนเองโง่เขลาเบาปัญญาเสียจนน่าขัน
ใช่แล้วละ คุณชายหลี่เป็นบุคคลระดับใด สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าโลกปุถุชนโลกเซียนทั้งหลายทั้งแหล่ ก็ล้วนเป็นเพียงสถานที่ซึ่งอยากจะไปก็ไป อยากจะมาก็มากระมัง
ทุกคนเดินออกมาจากดาดฟ้าแล้ว ต่างคนต่างกลับห้องของตนเอง เพียงแค่ว่าคืนนี้ถูกลิขิตมาให้เป็นค่ำคืนที่ไม่อาจหลับใหล
วันต่อมา
ย่างเข้าใกล้ช่วงเที่ยง เรือเหาะก็ทะลุออกมาจากหมู่เมฆ ความเร็วค่อยๆ ลดลง และก้าวเข้าสู่โลกใหม่
หลี่เนี่ยนฝานตามทุกคนขึ้นมาบนดาดฟ้า จากด้านบนมองลงข้างล่าง
ก็พบว่า ใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างนั้นเป็นโลกสีเขียวชอุ่ม ใต้เงาแมกไม้นับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นร่องรอยของเมืองหนึ่งได้รางๆ ที่นี่เป็นป่าทึบภูเขา ขุนเขาสูงชันสลับซับซ้อน บ้างก็เป็น นทิวเขาทอดยาว บ้างก็เป็นยอดเขาสูงแสนเปล่าเปลี่ยว
บนท้องนภา เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองไปโดยรอบก็จะเห็นลำแสงจำนวนมากเกินคณานับโฉบทะยานผ่านไป
บ้างก็ใช้วิชาขี่กระบี่ บ้างก็ขี่ลมลอยลิ่วดุจเทพเซียน
บางครั้งบางคราวก็มีผู้บำเพ็ญเซียนส่งสายตาตื่นตะลึงมาทางเรือเหาะ สีหน้าฉายแววราวกับสามัญชนเห็นคหบดี
ครั้นพวกเขาสังเกตเห็นกลุ่มคนซึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าก็ยิ่งอึ้งงันขึ้นไปอีก
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางคล้ายจะเป็นปุถุชน?
ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นห้อมล้อมปุถุชนคนหนึ่งไว้ตรงกลาง?
หรือว่าปุถุชนผู้นี้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งถ่อมตนชอบเก็บซ่อนไอปราณไว้?
หัวใจของพวกเขาพลันเย็นวาบ ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันใด ว่ากันว่าผู้ยิ่งใหญ่บางคนมีนิสัยประหลาด ชอบเก็บซ่อนตบะของตนไว้ จำแลงกายเป็นสุกร ทว่าเขมือบพยัคฆ์ ซึ่งนับว่าไร้ยางอายอย่า างเหลือแสน บุคคลท่านนี้เป็นไปได้มากว่าจะต้องเป็นเช่นเดียวกัน
ดูท่าแล้วต่อไปยามตนพบปุถุชนจำต้องโอนอ่อนสักหน่อย หากไม่ทันระวังขึ้นมาอาจม่องเท่งโดยไม่รู้ตัว
เรือเหาะเคลื่อนต่อไป ท่ามกลางป่าทึบและเทือกเขาสูงชัน แท่นสูงตระหง่านขนาดมหึมาก็พลันปรากฏเบื้องหน้า!
แท่นสูงใช้ภูเขาลูกหนึ่งเป็นฐาน ภูเขาลูกนี้แตกต่างกับภูเขาทั่วไป ครึ่งล่างยังคงเป็นป่าทึบ ครึ่งบนกลับอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ประหนึ่งถูกบางอย่างตัดออกไปจนเหลือเพียงผิวเ เรียบของภูเขา
แต่ถึงอย่างไร ภูเขาลูกนี้ก็ยังคงสูงที่สุด หนำซ้ำผิวด้านบนของภูเขาก็ยังกลายเป็นแท่นจากธรรมชาติ ยิ่งใหญ่กว่าที่ใด แลดูชวนให้ตกตะลึง
ที่น่าพิศวงไปกว่านั้นก็คือ ด้านข้างของเขาลูกนั้นมีหุบเขาอันกว้างใหญ่ มองลงไปเป็นเหวลึก ดินสีดำสนิท ปราศจากพืชพรรณใดๆ!
ทั้งภูเขาซึ่งถูกตัดครึ่งและหุบเขารูปทรงพิสดารก็ก่อเกิดเป็นทัศนียภาพอันแปลกใหม่ หลี่เนี่ยนฝานนึกรำพันในความมหัศจรรย์ของโลกบำเพ็ญเซียน เดินทางมาในครั้งนี้นับว่าได้เพิ่มพูน นความรู้ขึ้นมาอีก
ไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก หลี่เนี่ยนฝานก็รู้ว่าพวกเขามาถึงจุดหมายแล้ว!
ลำแสงโดยรอบมุ่งสู่แท่นสูงนั้น ความเร็วของเรือเหาะก็ค่อยๆ ชะลอลง และสุดท้ายก็ลงจอดอย่างมั่นคงบนแท่นสูง
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยว่า “คุณชายหลี่ ถึงแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ก่อนจะเดินตามทุกคนลงจากเรือไป
ทันทีที่ออกมาจากเรือ ก็มีกระแสลมแผ่วเบาระลอกหนึ่งโชยมา ทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก ครั้นเบนสายตาขึ้นมอง ก็พบว่าตนยืนอยู่บนภูเขาสูง มุมมองที่เห็นนั้นต่างจากบนเรือเหาะ ที่นี ให้ความรู้สึกเป็นกันเองกว่า มองไปโดยรอบแล้วเกิดความรู้สึกประดุจทอดมองขุนเขาเล็กรายล้อม
แท่นสูงนั้นเรียบราวผิวกระจก ปูด้วยอิฐชนิดพิเศษจนแลดูเหมือนจตุรัสอันกว้างใหญ่ซึ่งผู้คนมากหน้าหลายตา
ต่างเดินผ่าน มีทั้งผู้บำเพ็ญเซียน มีทั้งปุถุชนซึ่งมาสัมผัสความคึกคัก และมีทั้งผู้ที่มาหาทำเลเหมาะสมเพื่อตั้งแผงขายของ
ผู้บำเพ็ญเซียนและปุถุชนต่างมาตั้งแผงด้วยกัน แม้ของที่จำหน่ายจ่ายแจกจะไม่เหมือนกัน แต่ภาพนี้ก็ทำให้หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกว่าน่าสนใจเหลือเกิน
นอกจากแผงขายของแล้ว แท่นสูงนี้ก็ยังมีร้านรวงหลายหลาก การจัดวางนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าในเมืองใหญ่เลย
“มีที่พึ่งอย่างหุบเขาเมฆาคราม ทีนี่จึงพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อยๆ” จักรพรรดิลั่วอดทอดถอนใจไม่ได้ แววตาแฝงความ
ริษยา
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เซียนเฉียนหลง เขาก็หวังว่าราชสำนักของตนนับวันจะยิ่งเฟื่องฟูขึ้นเช่นกัน
ลั่วซืออวี่ก็พยักหน้า พูดว่า “ใช่แล้ว จำได้ว่าหลายร้อยปีก่อน โดยรอบนับหมื่นลี้ล้วนไร้เงาผู้คน ใครจะไปคิดล่ะ
ว่าในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี จะถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้”
“เป็นเพราะหุบเขาเมฆาครามเมื่อก่อนอยู่ใกล้กับทางเข้าแดนมาร จึงไม่มีผู้ใดกล้ามา” ฉินม่านอวิ๋นพูดต่อ “มีเพียงประมุขคนปัจจุบันของหุบเขาเมฆาครามที่อาจหาญ จัดพิธีผนึกมารเมฆาคราม มขึ้นมา วิธีของเขานั้นทำให้ผู้คนล้วนแต่ตกตะลึง!”
หลี่เนี่ยนฝานรับฟังอยู่ด้านข้างพลางพยักหน้าตาม
ประมุขหุบเขาเมฆาครามถึงกับเปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นได้ เรียกกระแสได้เก่งพอๆ กับพวกธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ในโลกเดิมเลย เป็นคนที่สุดยอดจริงๆ
เดินไปตามแท่นสูง บนเส้นทางนี้ กลิ่นควันโลกีย์ของปุถุชนระคนในกลิ่นอายเซียน ทำให้มุมปากของหลี่เนี่ยนฝานยกขึ้นน้อยๆ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคย
ในตอนนั้นเอง เขาก็ชะงักฝีเท้าที่หน้าแท่นสูง เงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นป้ายเขียนด้วยตัวอักษรฉวัดเฉวียนงามสง่าสามคำว่า ‘เซียนเค่อจวี[1]’
หอนี้อยู่ในตำแหน่งติดกับขอบแท่น สูงสิบกว่าชั้นเห็นจะได้ ด้านหน้าปราศจากสิ่งปลูกสร้างใดบดบัง สามารถมองออกไปเห็นทัศนียภาพโดยรอบ เป็นห้องพักวิวภูเขาตามแบบฉบับ
ไม่ว่าจะกินอาหารหรือพักข้างบน ก็ย่อมได้รับความสำราญใจ
หลี่เนี่ยนฝานพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เซียนเค่อจวีนี่เป็นที่กินอาหารและพักผ่อนของผู้บำเพ็ญเซียนกระมัง”
“ไม่เสมอไป ขอเพียงมีหินวิญญาณ ปุถุชนก็สามารถเข้าไปพักด้านในได้เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” ฉินม่านอวิ๋นกระจ่างในเจตนาของหลี่เนี่ยนฝานทันที จึงรีบร้อนตอบ
“อันที่จริงข้าได้จองอาหารและที่พักข้างในไว้ล่วงหน้าแล้ว คุณชายหลี่เข้าไปได้เลย”
หลี่เนี่ยนฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบ “เกรงว่าราคาจะไม่ธรรมดากระมัง จะให้เจ้าออกเงินไม่ได้หรอก มีที่พักของปุถุชนใช่ไหม”
ครั้งนี้เขาพิจารณาไม่รอบคอบ ออกเดินทางย่อมต้องจองที่พัก และต้องใช้เงิน
ไม่มีเงิน ทำยังไงดีล่ะ
…………………………………………………
[1] เซียนเค่อจวี แปลตามรูปศัพท์จะหมายถึง ‘เรือนรับรองเซียน’