ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 125 คำพูดเดียวสะเทือนผู้บำเพ็ญรุ่นที่สอง
หลี่เนี่ยนฝานยิ้ม “ตั้งแต่เริ่มต้น บันทึกท่องประจิมก็ได้ถูกกำหนดตอนจบไว้แล้ว พระถังซัมจั๋งต้องได้รับพระคัมภีร์ ดูไปแล้วลำบากแสนเข็ญ ทว่าความจริงก็เป็นเพียงฉากแสดงหนึ่งเ เท่านั้น หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าเส้นทางท่องประจิมนั้นได้ถูกคนปูทางไว้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกคนปูทางไว้แล้ว?” ชายหนุ่มท่าทางครุ่นคิด รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยต่อ “ไม่อย่างนั้นข้าเปลี่ยนคำถามใหม่ เจ้าคิดว่าด้านในนั้นมีอันตรายที่ย่างกรายถึงชีวิตปรมจารย์ทั้งสี่สักกี่ครั้ง?”
“เอ่อ…”
ชายหนุ่มลังเล
ตอนแรกที่เขาได้ฟังบันทึกท่องประจิมก็รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงฟังไม่ขาดตกไปแม้แต่คำเดียว โครงเรื่องภายในเรียกได้ว่าคุ้นยิ่งนัก
ยามนี้อุปสรรคขวากหนามมากมายแล่นผ่านในความคิดเขา แต่กลับทำให้เขาพบสิ่งที่น่าประหลาดใจเหนือสิ่งใด
ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดทึกทักขึ้นมา เขาเองก็ไม่ทันสังเกตเห็น บัดนี้หลี่เนี่ยนฝานสะกิดใจเพียงนิด เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าอุปสรรคต่างๆ มากมายไม่ควรค่าจะเอ่ยถึง เพราะไม่ว่าที่ใด ก็ล้วนมีผู้พิทักษ์คุ้มครองอยู่ทั้งสิ้น
ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเขา ก้าวผิดครั้งหนึ่ง ชีวิตอาจดับสูญเป็นกองขี้เถ้าได้ตลอดเวลา เทียบกับความยากลำบากของผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเขาแล้ว นี่ก็เปรียบเสมือนเด็กน้อยเดินทางกลั บบ้านเท่านั้น
ไม่อันตรายถึงตาย ยังนับว่าเป็นอุปสรรคขวากหนามหรือ?
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มจางๆ “ส่วนตัวข้าคิดว่า บันทึกท่องประจิมก็เป็นเพียงบันทึกการเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง จดบันทึกทุกสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น ลักษณะผู้คนและวิ ถีชีวิตต่างๆ ลงไปก็เท่านั้น”
ตึง!
ชายหนุ่มผงะนิ่ง ทรุดนั่งลงกับที่นั่ง ดวงตาเลือนราง
เขาขยับปากอยากจะเอ่ยตอบ ทว่ากลับไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด
เขาย้อนนึกกลับไปทุกๆ ฉาก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกศีรษะชา ในความยากลำบากเหล่านั้น เรื่องที่ยากเย็นที่สุดเห็นจะเป็นเมืองแม่ม่าย?
ยามนั้นจิตใจของพระถังซัมจั๋งเกิดความหวั่นไหว อยากอยู่ต่อ ไม่อยากไปอัญเชิญพระคัมภีร์
หรือกล่าวอีกอย่างคือ ขอเพียงพระถังซัมจั๋งต้องการไปอัญเชิญพระคัมภีร์ด้วยความแน่วแน่ การฝึกฝนปฏิบัติจนบรรลุก็เป็นสิ่งพื้นฐานที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว!
พูดให้ตรงอีกหน่อยคือคนอื่นช่วยเจ้าปูทางไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าอดทนต่อสู้สักหน่อย ไม่ไขว้เขว ลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา ก็จะสามารถฝึกฝนปฏิบัติจนบรรลุได้สำเร็จ
หลี่เนี่ยนฝานสรุปทุกอย่างในประโยคเดียวให้ง่ายดาย “แม้จะมีความยากลำบาก แต่พระพุทธเจ้าวางหมากมาห้าร้อยปีแล้ว ไม่เพียงตระเตรียมส่งซุนหงอคงไปคุ้มกัน ระหว่างทางยังมีพระโพธิสัตว์ทั งหลายตอบคำถามคลายข้อสงสัย แม้กระทั่งพบเจอปีศาจก็ยังมีเหล่าเซียนคอยหนุนหลัง ปากบอกว่าจับคน ทว่าแท้จริงไม่มีใครกล้าทำอะไรพระถังซัมจั๋ง แม้แต่ปีศาจตนน้อยที่ไร้ซึ่งเบื้องหลัง ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
พอเอ่ยเช่นนี้แล้ว พระถังซัมจั๋งก็ออกเดินทางท่องเที่ยวจริงๆ
เพียงแต่หากกล่าวเช่นนี้ เส้นทางอัญเชิญพระคัมภีร์ที่สร้างแรงบันดาลใจแต่เดิม ก็ได้กลายเป็นบันทึกการเดินทางยามว่าง ความมืดดำในนั้นทำให้ชายหนุ่มตัวสั่นขนลุกไปทั้งตัว
ดวงตาหลี่เนี่ยนฝานปรากฏความรู้สึกออกมาเช่นกัน อู๋เฉิงเอินช่างมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมจริงๆ ความหมายลึกซึ้งในบันทึกท่องประจิมมีมากมายเหลือคณา หากดูผ่านๆ ก็ไม่มีอะไร ทว่าพอคิดแล้ว วล้ำลึกน่ากลัว ชวนให้อดรู้สึกทึ่งไม่ได้
เขาถอนใจเบาๆ “เจ้ามองดูสังคมมนุษย์ปุถุชน หากไร้ชะตาเซียน ลูกหลานผู้ทำการค้าก็มักทำการค้า ทำการเกษตรก็มักทำการเกษตร รับราชการก็มักรับราชการ ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด โดยที่มองไม่เห็น หากต้องการเปลี่ยนแปลงระดับชนชั้นนั้นยากลำบากเพียงใด? คนธรรมดาอยากบำเพ็ญเซียน ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ แล้วผู้บำเพ็ญรุ่นที่สองเหล่านั้นล่ะ?”
ในโลกก่อน เขามีความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง สิ่งที่ลูกหลานคนรวยเรียกว่าการขัดเกลาให้เติบโต ก็เป็นเพียงการพึ่งพาอำนาจบารมีพ่อแม่ ส่งพวกเขาออกไปชุบตัวที่ต่างประเทศเท่า านั้น
นัยน์ตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง สีหน้าปรากฏความรู้สึกยากจะเชื่อ “เอ่อ…คือ…นี่มัน….”
แม้หลี่เนี่ยนฝานยังพูดไม่ครบถ้วนทั้งหมด แต่เขากลับเข้าใจอย่างลึกซึ้งกระจ่างแจ้ง เพราะเขานั่นล่ะ ที่เป็นพระถังซัมจั๋งแห่งโลกบำเพ็ญเซียน!
บุตรชายเจ้าแห่งหุบเขาเมฆาคราม ตนก็คือผู้บำเพ็ญรุ่นที่สองที่คุณชายเอ่ยถึง เส้นทางในอนาคตมิใช่ถูกปูทางไว้แล้วหรือ?
สิ่งที่เรียกว่าการทำลายคอขวด การทดสอบจิตเต๋า และการออกเดินทางหาประสบการณ์ มีแบบใดบ้างที่ตนไร้คนคุ้มกันอยู่ด้านหลัง กระทั่งแม้แต่ยามที่ตนออกไปจัดการปีศาจระหว่างการฝึก ก็ ล้วนถูกคนเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว เช่นนี้นับว่าข้าฝ่าฟันอุปสรรคหรือ? มันก็แค่เรื่องน่าขัน
ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “คำพูดของท่านในวันนี้ช่วยชี้ทางสว่าง อาหารมื้อนี้ อย่างไรข้าก็ต้องเลี้ยง!”
เอ่ยจบ เขาก็นำหินวิญญาณพวงหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “ข้าขอตัวก่อน”
ตอนนี้เขายังรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย ใคร่กลับไปคิดทบทวนให้ดี จึงจากไปอย่างรีบร้อน
หลี่เนี่ยนฝานมองดูเงาหลังของเขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ชายหนุ่มผู้นี้จิตใจเร่าร้อน ทว่านิสัยใจคอไม่เลว
เขาหยิบหินวิญญาณบนโต๊ะขึ้นมาชั่งน้ำหนักในมือ
ได้พบเจ้าถิ่นก็ดีมากแล้ว แถมยังได้รางวัลมาอีก “ต๋าจี่น้อย มีเงินแล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น ดูซิว่ามีสิ่งใดเข้าตาบ้างหรือไม่”
…………..
หุบเขาเมฆาคราม
ตั้งอยู่เชิงเขาหลังภูเขาลูกนี้ ภูมิประเทศเป็นเลิศ ทว่าซ่อนตัวมิดชิด
ต้นไม้และภูเขาบดบัง ทั้งยังมีอันตรายจากธรรมชาติขวางกั้น นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนก็ไม่มีผู้ใดสามารถย่างกรายเข้าไปถึง
ฉินม่านอวิ๋นคิ้วขมวดอยู่ในเรือนหลังหนึ่งที่หุบเขาเมฆาคราม คล้ายกับมีเรื่องไม่สบายใจ
ด้านหน้ามีหญิงงามในชุดกระโปรงยาวสีเขียวนั่งอยู่ รูปลักษณ์ไม่ด้อยไปกว่าฉินม่านอวิ๋น ผมดำขลับดุจน้ำหมึก ผิวพรรณกระจ่างใสดุจหยก ดวงตางามเปี่ยมด้วยความหวัง เรียวคิ้วและรอยยิ้ม มเผยเสน่ห์เหลือจะพรรณนา
อายุน่าจะมากกว่าหลินชิงอวิ๋น รอบกายแผ่กลิ่นอายสง่างามออกมา
สตรีทั้งสองนั่งอยู่กลางสวน ดูคล้ายบุปผางามล้ำสองดอก แย่งชิงความโดดเด่นของหมู่มวลดอกไม้ที่รายล้อมไปจนหมดสิ้น
สตรีท่วงท่าสง่างามคลี่ยิ้มเบาๆ มองดูรอบๆ ด้วยดวงตางดงามทรงเสน่ห์ “น้องม่านอวิ๋น คนดีสวรรค์เมตตาไม่ทอดทิ้ง ต้องกลับร้ายกลายเป็นดี และผ่านพ้นเภทภัยทั้งหลายไปได้แน่นอน”
ฉินม่านอวิ๋นถอนใจเบาๆ “เดิมทีข้าคิดจะถามท่านพ่อของท่านเรื่องตู้เจี๋ยสักหน่อย น่าเสียดาย”
สตรีท่วงท่าสง่างามเอ่ยอย่างสบายๆ “อย่าได้ร้อนใจ รอท่านพ่อข้าเสร็จจากพิธีผนึกมารเมฆาครามเมื่อไหร่ ข้าจะพาเจ้าไปพบเขาด้วยตนเอง หากถึงเวลานั้นท่านลุงฉินทะลวงมาถึงขั้นตู้เจ จี๋ยได้อย่างราบรื่นแล้ว คงเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก”
“เช่นนั้นขอบคุณพี่เหยาแล้ว” ฉินม่านอวิ๋นมองกู้จื่อเหยาอย่างซาบซึ้ง และเอ่ยต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ครั้งนี้ท่านลุงกู้พาผู้บำเพ็ญขั้นตู้เจี๋ยแห่งหุบเขาของพวกท่านไปกั นหมด ให้ความสำคัญเช่นนี้ พิธีผนึกมารเมฆาครามมีสิ่งใดเปลี่ยนไปหรือ?”
กู้จื่อเหยาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ ผนึกของพิธีผนึกมารเมฆาครามนับวันยิ่งอ่อนกำลังลง ทุกครั้งที่เกิดการปะทุก็ยิ่งทำให้อ่อนแอ เป็นเช่นนี้มาหลายปี พลังที่หลงเหลืออย ยู่ของผนึกนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก อีกอย่าง…สองวันนี้ ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ผนึกก็คลายออกจนถึงขีดสุดแล้ว ทำให้ท่านพ่อของข้าตกใจมาก”
“เหตุใดเป็นเช่นนี้? หรือว่าสองวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฉินม่านอวิ๋นอดขมวดคิ้วไม่ได้
กู้จื่อเหยาส่ายหน้า มีสีหน้าวิตกกังวล “ไม่แน่ชัด แต่ข้าเหมือนได้ยินท่านพ่อกล่าวประโยคหนึ่งว่า ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย”