ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 126 คนผู้นี้หาใช่ปุถุชน!
ฟ้าดินเกิดความเปลี่ยนแปลง?
ฉินม่านอวิ๋นใจสั่นไหว
บิดาของกู้จื่อเหยาเป็นผู้บำเพ็ญขั้นต้าเฉิงที่มีอยู่เพียงส่วนน้อย เชื่อมโยงสอดประสานกับฟ้าดิน มีสัมผัสไวต่อความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเป็นอย่างมาก หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ?
เพียงแต่หากเกิดเรื่องขึ้นจริง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่มีทางเงียบเชียบไร้ข่าวคราว
เมื่อจะเอ่ยถามต่อ กลับมีเงาร่างหนึ่งขี่ลำแสงเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วราวกับดวงไฟ
ใบหน้าของเขาล่องลอย ราวกับคนสติหลุดไร้จิตวิญญาณ ประเดี๋ยวก็หัวเราะ ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ สีหน้าหลากหลายอารมณ์
เขาหยุดลงแล้วเคลื่อนสายตามองกู้จื่อเหยากับฉินม่านอวิ๋นเพียงชั่วครู่ ไม่พูดไม่จาก็เดินไปยังห้องของตนอย่างล่องลอย
กู้จื่อเหยาขมวดคิ้ว กดน้ำเสียงต่ำ “กู้จื่ออวี่ เจ้าโดนของมาหรือไง?!”
กู้จื่ออวี่สะดุ้งเฮือก ได้สติกลับมา หันมองกู้จื่อเหยาด้วยความหวาดหวั่น พลันหดคอตอบอย่างแผ่วเบา “ท่านพี่”
กู้จื่อเหยาส่ายหน้า “มีผู้มาเยี่ยมเยือน ไม่รู้จักทักทายหน่อยหรือ?”
กู้จื่ออวี่หันมองฉินม่านอวิ๋นแล้วรีบเอ่ย “พี่ม่านอวิ๋น ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
ฉินม่านอวิ๋นยิ้มตอบ “ข้าเห็นว่าเป็นช่วงพิธีผนึกมารเมฆาครามพอดี จึงแวะมาพูดคุยกับพี่จื่อเหยา”
กู้จื่อเหยามองกู้จื่ออวี่ด้วยความสงสัย จำใจเอ่ย “เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นอะไร? ถูกคนหลอกมาหรือ?”
น้องชายผู้นี้ความสามารถไม่เลว ทว่าสมองทึ่มทื่อไปสักหน่อย นิสัยใจร้อน กระทำการใดไม่ยั้งคิด มักเป็นกระต่ายตื่นตูม ไม่เหมือนบุตรผู้ลากมากดี แต่เป็นบุตรไม่เอาไหนเสียมากกว่า
กู้จื่ออวี่รีบเอ่ย “เปล่า ข้าไม่ได้โง่นะ จะถูกคนหลอกตลอดได้อย่างไร? ข้าไปฟังบันทึกท่องประจิมที่เซียนเค่อจวีมา วันนี้เป็นตอนจบ”
“บันทึกท่องประจิมจบแล้วหรือ? พระถังซัมจั๋งได้คัมภีร์มาหรือไม่?” กู้จื่อเหยาอดถามไม่ได้
นางไม่ชอบออกไปที่สาธารณะ ทุกครั้งเป็นกู้จื่ออวี่ที่เล่าเรื่องราวของบันทึกท่องประจิมให้นางฟัง นางจึงได้ฟังมาไม่น้อยแล้ว
กู้จื่ออวี่ส่ายหน้า เอ่ยอย่างดูแคลน “ยังต้องบอกอีกหรือ ตั้งแต่ต้นก็ถูกกำหนดตัวไว้แล้ว”
“ถูกกำหนดตัวไว้แล้ว?” กู้จื่อเหยามองกู้จื่ออวี่อย่างประหลาดใจ เหตุใดรู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกไป
แต่ก่อน ทุกเช้าเขาจะอยากเล่าเรื่องราวในแต่ละวันให้นางฟังแทบทนไม่ไหว ต่อมาก็รู้สึกชื่นชมพระถังซัมจั๋งอยู่ไม่ขาด เหตุใดยามนี้…กลับเหมือนดูแคลน?
สีหน้ากู้จื่ออวี่ค่อยๆ ปรากฏความตื่นเต้นดีใจ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย “ท่านพี่ วันนี้ข้าได้พบกับผู้วิเศษมาล่ะ”
“เจ้าพบผู้วิเศษอีกแล้วรึ?” กู้จื่อเหยาใจเต้น ฉากนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก ทุกครั้งที่โดนคนหลอก น้องชายตนก็มักจะมีท่าทีเช่นนี้ กระทั่งคำพูดก็เหมือนกันไม่มีผิด
นางใบหน้าดำคล้ำ แค่นเสียงเอ่ย “เจ้าโดนหลอกมาอีกแล้วหรือ?”
“ข้าไม่ได้โดนหลอก! ครั้งนี้ข้ารับรองได้ เป็นผู้วิเศษจริงๆ!” กู้จื่ออวี่สีหน้าจริงจัง “แม้คนผู้นั้นจะเป็นเพียงปุถุชน ทว่าสิ่งที่เอ่ยออกมากลับแฝงด้วยความจริงอันยิ่งใหญ่ พูดไ ได้ดียิ่งนัก ท่านไม่รู้หรอกว่ายามนั้นข้ารู้สึกเช่นไร ตื่นตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกเลย!”
ใบหน้ากู้จื่อเหยายิ่งดำคล้ำกว่าเดิม ไม่อาจทนจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้า น้องชายถูกคนธรรมดาๆ ปั่นหัวจนโง่งมเช่นนี้ น่าอับอายขายหน้าเสียจริง
นางมองฉินม่านอวิ๋นอย่างกระอักกระอ่วน “ให้น้องม่านอวิ๋นเห็นเรื่องขบขันแล้ว”
“ท่านพี่ เหตุใดไม่เชื่อข้า? ผู้มีความรู้ลึกล้ำระดับนี้ ข้าเชื่อมั่นว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!”
กู้จื่ออวี่เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านรู้หรือไม่? การเดินทางไปแดนประจิมนั่นก็เป็นแค่เรื่องน่าขันไร้สาระ บัดนี้ข้ามองออกหมดแล้ว! หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะบอกให้ฟัง!”
กู้จื่อเหยาส่ายหน้า “ไม่ต้องพูดมาก ข้าว่าเจ้าสมองเลอะเลือนแล้ว”
ฉินม่านอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยขึ้น “พี่จื่อเหยา หรือไม่เราลองฟังจื่ออวี่ดูสักหน่อย”
กู้จื่อเหยาทอดถอนใจ “ก็ได้ ข้าจะรอดู ว่าเจ้าจะพูดเช่นไร”
กู้จื่ออวี่พยายามใส่จิตวิญญาณ ถึงเวลาที่ตนจะได้แสดงแล้ว คอยดูเถอะ ข้าจะพูดให้พวกนางอึ้งไปเลย
เขาผงกศีรษะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พยายามสุดกำลังที่จะปรับน้ำเสียงของตนให้ใกล้เคียงกับหลี่เนี่ยนฝาน รวมถึงยืมคำพูดที่หลี่เนี่ยนฝานใช้ในเวลานั้น ถ่ายทอดออกมาอย่างฉะฉาน
เริ่มแรกกู้จื่อเหยายังไม่เชื่อ เตรียมใจฟังคำพูดชวนปวดหัวของน้องชายตนไว้แล้ว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ท่าทางของนางก็ค่อยๆ กลับนิ่งขรึม ดวงตางามจ้องมองกู้จื่ออวี่ด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องชายตนจะสามารถเอ่ยวาจาให้คนตื่นตะลึงได้จริงๆ!
หรือว่าคราวนี้จะได้พบผู้วิเศษมาจริงๆ?
ฉินม่านอวิ๋นแววตาวูบไหว จู่ๆ นางก็บังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแรงกล้า จิตใจสั่นระรัว
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว กู้จื่ออวี่ก็เล่าจบแล้ว เขาจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ตนรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เป็นยังไงล่ะ? ทึ่งเลยใช่ไหม?”
กู้จื่อเหยามองกู้จื่ออวี่อย่างประหลาดใจ “วาจาเหล่านี้ผู้ใดเป็นคนพูดให้เจ้าฟัง?”
“ตายแล้ว ข้าเหมือนจะลืมชื่อเขาไป!” กู้จื่ออวี่สีหน้าเปลี่ยน อดตีอกชกหัวตนเองไม่ได้ “ข้านี่โง่จริง ลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?”
กู้จื่อเหยาตบศีรษะตนเบาๆ หมดสิ้นคำพูดกับน้องชายคนนี้
ฉินม่านอวิ๋นสูดหายใจเฮือก มองกู้จื่ออวี่พลันเอ่ยปาก “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาเป็นปุถุชนธรรมดา? มีลักษณะเด่นอะไรหรือไม่?”
กู้จื่ออวี่เอ่ยโพล่งออกมา “ข้าจำเขาได้แม่นเลย เขาเป็นคนธรรมดาไม่ผิดแน่ ทว่าที่เซียนเค่อจวีกลับสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ ข้างกายยังมีสตรีเลอโฉมผู้งดงามเหนือใครอีกคนด้วย นางก ก็เป็นคนธรรมดาเช่นกัน”
ฉินม่านอวิ๋นดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันใด ร่างบางสั่นสะท้าน ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก “เป็นเขาจริงๆ”
กู้จื่อเหยารีบเอ่ย “น้องม่านอวิ๋น เจ้ารู้จักเขาหรือ?”
“ไม่เพียงแต่รู้จัก ครั้งนี้อันที่จริงข้าร่วมทางมากับเขา” ฉินม่านอวิ๋นส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขื่นๆ
หลังจากนั้นน้ำเสียงนางก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส “เขาไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา ทว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า ได้พบกับเขา นับว่าเป็นความโชคดีที่ไม่อาจจินตนาการ”
ผู้ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า?
ความโชคดี?
กู้จื่อเหยาได้แต่นิ่งอึ้ง คำพูดของฉินม่านอวิ๋นฟังดูประหลาดเกินจริงไปมากจนนางไม่กล้าเชื่อ
คนอะไรทำให้นางกล่าวถึงได้เช่นนี้ อีกทั้งยังพูดออกมายามอยู่ในหุบเขาเมฆาคราม!
กู้จื่ออวี่ที่ชะงักไปตอนแรก เอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด “พี่ม่านอวิ๋นรู้จักคนผู้นี้หรือ? ข้าคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ใช่คนทั่วไป เป็นวีรบุรุษยอดฝีมือคนใด ข้า อยากไปเยี่ยมเยียนทำความรู้จัก”
“เยี่ยมเยียนทำความรู้จัก?”
ฉินม่านอวิ๋นกลั้นหัวเราะไม่อยู่ มองกู้จื่ออวี่ด้วยสายตาแปลกๆ พลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อน “ไม่ใช่ว่าข้าหาเรื่องเจ้านะ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พ่อของเจ้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะไปทำค ความรู้จักมักจี่ด้วยซ้ำ! ด้วยระดับของเขา ต่อให้เซียนมาอยู่เบื้องหน้าก็ยังต้องน้อมยอมสยบ ไม่เพียงแค่นั้น สตรีโฉมงามที่เจ้าเอ่ยถึงผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นถึงขั้นเซียนเสียด้วยซ้ำ ำ!”