ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 131 คุณชาย ข้าสวยหรือไม่?
เมื่อไข่ต้มใบชาตกถึงท้อง ทั่วร่างกายของพวกเขาก็พลันสั่นสะท้าน สัมผัสได้เพียงกระแสความร้อนที่ไหลเข้าสู่สมอง จนตกอยู่ในสภาวะปลอดโปร่ง
ความรู้สึกเช่นนี้รุนแรงกว่ายามได้กินข้าวต้มผักหลายเท่า ราวกับได้ดวงตาเห็นธรรม กลองพลบค่ำระฆังยามเช้า[1] ได้ตื่นรู้เห็นแจ้ง
สองพี่น้องกู้จื่อเหยาตะลึงค้าง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พวกตนพบเจอมาทั้งหมด
ทำนองมรรคานี้เข้มข้นเหลือเกิน!
เกือบจะเทียบได้กับการนิพพาน!
ไข่ฟองเดียวทำให้พวกเขาตื่นรู้ขึ้นกว่าเดิมอีกมาก หากเอ่ยไป ไม่ว่าใครคงหาว่าบ้า
เหนือจินตนาการจนน่าตกใจ!
เพื่อลดความตื่นตระหนกในใจ พวกเขาพยายามชิมเครื่องเคียงไปพลางสองสามคำ แต่ก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อพบว่าแม้แต่เครื่องเคียงก็ยังสัมผัสได้ถึงทำนองมรรคา
นี่เรียกว่ากินข้าวที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ากินโชคชะตา!
แต่ละคำล้วนเป็นดั่งของล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินได้!
กู้จื่อเหยาหัวใจเต้นโครมคราม จนถึงตอนนี้นางรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉินม่านอวิ๋นกล่าวนั้น หาได้เกินจริงแม้แต่น้อย กลับยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ!
เพียงข้าวต้มหนึ่งชาม ไข่ต้มใบชาหนึ่งฟอง พร้อมด้วยเครื่องเคียงอีกสองสามคำ
พวกเขาก็อิ่มแล้ว
ทว่าไม่ใช่อิ่มท้อง หากแต่เพราะได้รับทำนองมรรคามากจนถึงขีดจำกัด ณ ปัจจุบันแล้ว
ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงเก็บกวาดไม่ให้เหลือแม้ข้าวสักเม็ด
“อิ่มแล้วหรือ?” หลี่เนี่ยนฝานเลิกคิ้ว “หมั่นโถวที่ข้าเตรียมไว้ให้ ยังไม่ได้ทานเลย”
ฉินม่านอวิ๋นยิ้มแหย “ทานต่อไม่ลงแล้วจริงๆ ขอบคุณคุณชายหลี่มาก”
พวกเขามองหมั่นโถวที่วางอยู่กลางโต๊ะอย่างอาลัยอาวรณ์ หมั่นโถวเหล่านี้ขาวนวลอวบแน่น รสชาติต้องไม่เลวเป็นแน่ ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจมีทำนองมรรคาแฝงอยู่ด้วย มื้อนี้ไม่ได้กิน ก็ไ ไม่รู้จะมีโอกาสกินอีกเมื่อไหร่
หากพลาดไปคงเสียดายแย่ โชคชะตาครานี้มากล้นนัก ไม่สามารถย่อยหมดในคราวเดียว เหตุใดไม่ค่อยๆ แบ่งมา ฮือๆๆ…
หลี่เนี่ยนฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร อาหารถูกปากหรือไม่?”
“อื้อๆ อร่อย อร่อยมากๆ เป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย” กู้จื่ออวี่พยักหน้าหงึกหงัก ตอบอย่างไม่ลังเล
คำตอบนี้หลี่เนี่ยนฝานคาดเอาไว้อยู่แล้ว เขาหัวเราะร่า “ชอบก็ดีแล้ว”
เขามองหมั่นโถวที่เหลือก็อดหนักใจไม่ได้ จะทำอย่างไรกับหมั่นโถวที่เหลือพวกนี้ดี?
กู้จื่อเหยาสังเกตเห็นสายตาของหลี่เนี่ยนฝานจึงกัดฟันเอ่ยหยั่งเชิง “คุณชายหลี่ หมั่นโถวเหล่านี้ท่านเตรียมไว้ให้พวกเรา แม้ว่าพวกเราจะกินไม่ไหวแล้ว แต่ไม่อาจทำลายน้ำใจท่าน ให้พวกเรานำกลับไปได้หรือไม่?”
“พวกเจ้าจะเอาไปหรือ?” หลี่เนี่ยนฝานผงะ
กู้จื่อเหยาพยักหน้าตอบอย่างสัตย์จริง “อาหารโอชะเช่นนี้ ทิ้งไปน่าเสียดายแย่ อีกอย่างพวกเราก็ไม่อยากพลาดไปด้วย”
ก็จริง แม้ตนไม่ได้เห็นเป็นของมีค่าอะไร แต่สำหรับพวกเขาคงไม่มีโอกาสพบของเช่นนี้บ่อยๆ
หลี่เนี่ยนฝานหยักหน้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีก็เตรียมไว้ให้พวกเจ้า ย่อมเอากลับไปได้อยู่แล้ว”
สองพี่น้องกู้จื่อเหยาและฉินม่านอวิ๋นต่างดีใจยกใหญ่ รีบร้อนหยิบไปคนละชิ้น ถือไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
หมั่นโถวนี้มีขนาดพอๆ กับฝ่ามือ รวบได้หมดในกำมือเดียว แต่ละชิ้นล้วนอวบอิ่มสมบูรณ์ ยามสัมผัสมือให้ความรู้สึกยืดหยุ่นนุ่มเด้ง
ทั้งสามนิ่งไปครู่หนึ่ง หมั่นโถวนี้ให้สัมผัสที่ดี นุ่มสบายอย่างน่าประหลาด
ของดี!
ว่าแล้วต้องเป็นของดี!
กู้จื่อเหยาเอ่ยกับหลี่เนี่ยนฝานด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพ “คุณชายหลี่ วันนี้ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ พวกเราไม่รบกวนแล้ว”
“อื้ม กลับกันดีๆ นะ” หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า
สองพี่น้องกู้จื่อเหยาเดินออกจากห้องไป ความรู้สึกเรียกได้ว่าตื่นเต้นถึงขีดสุด ขณะเดียวกันก็วิตกกังวล
ทุกอย่างช่างดูเพ้อฝัน ราวกับความฝันไม่มีผิด
พวกเขากำหมั่นโถวในมือแน่น เพื่อให้มั่นใจว่าหมั่นโถวยังอยู่ ไม่ใช่ความฝัน
กู้จื่อเหยาทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าในโลกบำเพ็ญเซียนจะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อาศัยอยู่ พวกเรามีโอกาสได้พบ นับเป็นโชคดียิ่งนัก”
กู้จื่ออวี่ใบหน้าผ่องใสมีเลือดฝาด เอ่ยอย่างอวดตัว “ท่านพี่ ท่านต้องขอบใจข้า ข้าบอกแล้วว่าเป็นผู้วิเศษ หากไม่ใช่เพราะข้า จะได้พบของดีเช่นนี้หรือ?”
กู้จื่อเหยาลูบหัวกู้จื่ออวี่อย่างชื่นอกชื่นใจ ตอบด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้า มีคนกล่าวไว้ว่าโชคร้ายเก้าสิบเก้าครั้ง ครั้งที่ร้อยคือโชคดี ดูท่าจะเป็นจริง”
นางมองฉินม่านอวิ๋นอย่างอดสงสัยไม่ได้ “น้องม่านอวิ๋น เหตุใดเจ้าดูไม่ค่อยดีใจเลย?”
“ข้าแค่เสียดายวัตถุดิบเหล่านั้น” ฉินม่านอวิ๋นถอนใจเบาๆ พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พวกท่านไม่รู้อะไร น้ำที่ใช้ต้มไข่นั่นเป็นธาราปราณ อีกทั้งใบชาพวกนั้น เมื่อนำมาต้มดื่ม สามา ารถทำให้คนตื่นรู้ได้เลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าสองพี่น้องกู้จื่อเหยาพลันแข็งทื่อ พวกเขามองฉินม่านอวิ๋นด้วยดวงตาเหลือเชื่อ อึ้งตะลึงจนพูดไม่ออก
กู้จื่อเหยาสูดหายใจเข้าลึก “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
“ท่านเห็นข้าเหมือนล้อเล่นอยู่หรือไง?” ฉินม่านอวิ๋นเจ็บปวดใจจนดวงตาแดงก่ำ “เมื่อครู่ข้าเกือบจะขอน้ำต้มใบชาในหม้อจากผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว”
“ฟืด——”
กู้จื่อเหยาสูดหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง สัมผัสได้เพียงหนังศีรษะที่เริ่มชา
ลำพอง ข้าลำพองตนแล้ว
กล้าดียังไงถึงได้กินไข่ต้มใบชาสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้
กู้จื่ออวี่หันตัวกลับมุ่งหน้าตรงดิ่งไปเซียนเค่อจวีทันที
กู้จื่อเหยาตกใจหน้าถอดสี กลัวว่ากู้จื่ออวี่จะกลับไปเอาน้ำในหม้อนั้นจริงๆ “เจ้าจะทำอะไร? อย่าได้คิดทำอะไรบ้าๆ นะ!”
กู้จื่ออวี่ไม่หันกลับมา แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความดีใจ “พวกท่านไม่ต้องใส่ใจข้า ผู้ยิ่งใหญ่ต้องเทน้ำในหม้อนั้นทิ้งไปแน่ ข้าจะไปที่นั่น ไม่แน่ว่าอาจจะรอจน…”
……
ภายในห้อง
หลี่เนี่ยนฝานทุ่มความสนใจไปที่กล่องของขวัญที่กู้จื่อเหยานำมาให้ พูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ต๋าจี่น้อย รีบมาลองชุดใหม่นี่เร็วเข้า ข้าว่ามันต้องเข้ากับเจ้ามากแน่ๆ”
“อื้ม”
ต๋าจี่พยักหน้า แววตางามมีประกายตื่นเต้นปนเขินอาย มองหลี่เนี่ยนฝานปราดหนึ่งแล้วหยิบกล่องของขวัญเดินเข้าไปในห้อง
เพียงไม่นานด้านในก็มีเสียงสวบสาบดังออกมา
เสียงเหล่านี้ทำให้หลี่เนี่ยนฝานสามารถจินตนาการได้ถึงทุกอิริยาบทของต๋าจี่จนเห็นภาพ
เขาเลียริมฝีปาก ดวงตามองไปทางห้องนั้นอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง จากนั้นก็รีบเบนออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่เนี่ยนฝานก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด รู้สึกว่าร่างกายหยุดหายใจ
หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งงดงามดุจเทพธิดาเดินออกมาจากห้อง ความงามนั้นราวกับทำให้สีสันรอบข้างเลือนรางพร่ามัว
หลี่เนี่ยนฝานใช้ความคิดอย่างหนัก ภาษาสามัญคงไม่อาจสื่อให้เห็นถึงความงามนั้นได้ เกรงว่าคงมีเพียงภาษาโบราณที่จะพอพรรณนาได้สักส่วนสองส่วน
สง่างามดั่งหงส์ตระหนกโบยบิน มังกรแหวกว่ายกลางสายธารา เปล่งปลั่งดั่งเบญจมาศในสารทฤดู งามสะพรั่งดั่งต้นสนเขียวขจีในสายลมวสันตฤดู ดั่งเมฆาฟุ้งลอยปกคลุมจันทราสว่าง ดั่งเกล็ดหิมะ หมุนวนตามสายลม เห็นจากที่ไกลสว่างดั่งตะวันในยามเช้า จ้องมองจากที่ใกล้สดใสดั่งดอกบัวในเกลียวคลื่น
ต๋าจี่สอดประสานสายตากับหลี่เนี่ยนฝาน เดินไปข้างกายหลี่เนี่ยนฝานด้วยย่างก้าวที่นุ่มนวลแผ่วเบา ดวงหน้างามเป็นสีแดงระเรื่อ ซบศีรษะลงตรงอกของหลี่เนี่ยนฝานเบาๆ เอ่ยน้ ำเสียงต่ำ “คุณชาย ข้าสวยหรือไม่?”
………………………………………………
[1] กลองพลบค่ำระฆังยามเช้า หมายถึง การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ดำรงอยู่อย่างมีระเบียบวินัย