ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 132 นี่น่ะหรือความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียน?
บ่ายวันนั้นผู้คนบนหอคอยสูงเยอะขึ้นเรื่อยๆ กลางอากาศมีลำแสงพุ่งไปมาไม่ขาดสาย ผู้บำเพ็ญเซียนที่เดินทางมาก็เพิ่มความเร็วขึ้น
คนที่เดิมทีตั้งแผงขายของ เริ่มทยอยเก็บแผงกันแล้ว
บรรยากาศกดดันหนักอึ้งคืบคลานเข้าปกคลุมอย่างช้าๆ
จักรพรรดิลั่วตามหาหลี่เนี่ยนฝานจนพบ “คุณชายหลี่ บ่ายวันนี้จะเริ่มพิธีผนึกมารเมฆาครามแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานตกใจเล็กน้อย “หือ? ไวเพียงนี้เชียวหรือ?”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า “เซียนเค่อจวีแห่งนี้มีหอคอยอยู่พอดี เป็นตำแหน่งที่มองเห็นพิธีผนึกมารเมฆาครามได้ดีที่สุด ข้าจะพาท่านไป”
“เช่นนั้นก็ดีสิ” หลี่เนี่ยนฝานตอบด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงหอคอยก็คือศาลาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางจุดสูงสุดของเซียนเค่อจวี บนนั้นมองเห็นทั่วทั้งสามร้อยหกสิบองศา ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางทัศนียภาพ ราวกับทั้งโลกตกมาอยู่ใต้เท้าอย่า างไรอย่างนั้น
ผู้คนในหอคอยมีไม่มาก ไม่ใช่เพราะสูงค่าเกินไป ทว่าดูจืดชืดเกินไป
ผู้บำเพ็ญเซียนสามารถขี่ลำแสงพุ่งไปกลางอากาศ ไม่จำเป็นต้องมาที่ศาลาแห่งนี้ ทว่าคนธรรมดาที่มีคุณสมบัติพอจะขึ้นมาได้ก็มีไม่มากนัก จึงไม่มีเหตุการณ์แออัดวุ่นวาย ทำให้หลี่เนี่ยน นฝานสบายตัวไม่น้อย
หลี่เนี่ยนฝานยืนพิงราวกั้น สายตามองไปทางหุบเขาที่เต็มไปด้วยดินสีดำ ดวงตาเกิดแววสงสัยอย่างอดไม่ได้
ไม่รู้ว่าจำผิดหรือไม่ เขารู้สึกว่าดินดำที่มีอยู่ทั่วบริเวณนั้นดำขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จนแทบจะมีพลังงานสีดำลอยขึ้นจากพื้น ดูคล้ายกับควันดำ ทว่าไม่กระจายตัว กลับจับตัวเป็น นก้อนควบแน่นในอากาศ เป็นรูปร่างประหลาดที่ไร้สิ่งใดเปรียบ
ควันดำเหล่านี้ไม่ได้ลอยตัวขึ้นสูง เพราะทั้งสี่ด้านของหุบเขามีผู้เฒ่าทั้งสี่เฝ้าอยู่ อีกทั้งตรงกลางของหุบเขายังมีผู้เฒ่าชุดเขียวอยู่
คนทั้งห้าลอยอยู่กลางอากาศในท่านั่งขัดสมาธิ สายลมพัดพาชายเสื้อปลิวไสว อันเป็นภาพทั่วไปของนักปราชญ์
ควันดำที่ลอยอยู่ใต้เท้าพวกเขาถูกพลังไร้รูปร่างกดไว้ ยากจะลอยขึ้นมาได้
ลั่วซืออวี่ยืนอยู่ข้างหลี่เนี่ยนฝานเอ่ยว่า “คุณชายหลี่ ท่านดูกลางหุบเขานั่นสิ เหมือนลูกตาดำหรือไม่? นั่นก็คือทางเข้าสู่โลกมาร”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ควันดำเหล่านั้นชวนให้รู้สึกไม่สบายจริงๆ”
ควันดำพวกนั้นแปลกประหลาดเกินไป กระทั่งหลี่เนี่ยนฝานมองยังอดรู้สึกขยะแขยงเย็นยะเยือกจากก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้ ราวกับความรู้สึกของเด็กสาวที่เห็นงู เป็นความรู้สึกที่มีมาแต่กำ ำเนิด
“ตูม”
วินาทีนี้เอง เกิดเสียงดังสนั่นจากใจกลางหุบเขา ราวกับเสียงกลองที่ดังขึ้นกะทันหันในค่ำคืนอันเงียบสงัด ชวนให้ใจเต้นตื่นตระหนก
สีหน้าจักรพรรดิลั่วจมดิ่ง เขาเอ่ยอย่างประหม่า “มาแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ใจกลางหุบเขามีควันดำพวยพุ่งออกมาจากดวงตานั้นไม่ขาดสาย ราวกับภูเขาไฟปะทุ
ควันดำเหล่านั้นเรียกได้ว่าดำมืดถึงขีดสุด ความดำมืดนั้นยิ่งกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืน ดำมืดยิ่งกว่าน้ำหมึก กระทั่งทำให้คนเกิดภาพลวงตาเห็นควันดำเหล่านั้นละเลงโลกบำเพ็ญเซียนทั้งใบใ ให้กลายเป็นสีดำ
เพียงเวลาสั้นๆ ควันดำที่ดูคล้ายกับหมอกหนากระจายจากกึ่งกลางดวงตา ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ
หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าทั้งห้าที่ล้อมรอบหุบเขา เกรงว่าควันดำเหล่านั้นจะพุ่งออกมาปกคลุมพื้นที่ในรัศมีร้อยลี้ไปแล้ว
ผู้เฒ่าทั้งห้าอยู่กลางอากาศ ราวกับห้อมล้อมเป็นเขตอาคม ควันดำเหล่านั้นถูกกักขังอยู่ภายใน แม้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะออกมาได้
จู่ๆ หลี่เนี่ยนฝานก็พยักหน้า “มิน่ารอบๆ นี้ถึงได้มีเพียงพื้นดินบริเวณนั้นที่เป็นสีดำ ไม่มีหญ้าขึ้น ที่แท้สาเหตุมาจากควันดำนั่น”
“ครืดๆๆ”
ขณะที่ควันดำเคลื่อนหมุนวน เสียงแปลกประหลาดก็ดังออกมาจากภายในราวกับกำลังโมโห
ผู้เฒ่าซึ่งนั่งหลับอยู่ใจกลางหุบเขา บัดนี้กลับเบิกตาโพลง ภายในเกิดแสงสว่างวูบวาบ ร่างที่นั่งขัดสมาธิลุกขึ้นยืนกลางอากาศ เส้นผมปลิวไสวไปตามสายลม คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกระเพื อมออกจากตัว
จากนั้นผู้เฒ่าสี่คนที่เหลือก็ลุกขึ้นพร้อมกัน มองดูหุบเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลึกล้ำราวกับดวงดาว
ผู้เฒ่าทั้งห้าท่องมนต์คาถาพร้อมกัน ทันใดนั้นเปลวไฟบางๆ ก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ล้อมรอบพวกเขา ราวกับเพลิงมังกรที่เคลื่อนวนเป็นวงกลม
จากนั้นเปลวเพลิงก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเสาเพลิงลุกโหมขึ้นสู่ท้องฟ้า!
เสาเพลิงขนาดยักษ์ห้าต้น สี่ต้นล้อมรอบ หนึ่งต้นอยู่ใจกลาง ดูคล้ายพายุทอร์นาโดแห่งเปลวเพลิง ฉากนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เป็นภาพอันวิจิตรตระการตา ย้อมทุกอย่างรอบตัวรวมถึงท้องฟ้า ด้วยสีแดง
พายุคลั่งก่อตัว!
หลี่เนี่ยนฝานจ้องมองเสาเพลิงมหึมาทั้งห้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในพลังอันยิ่งใหญ่
‘สุดยอด! นี่น่ะหรือพลังของผู้บำเพ็ญเซียน แม่เจ้าโว้ย!’
แม้เดาได้นานแล้วว่าผู้บำเพ็ญเซียนสามารถย้ายภูเขาถมทะเล แต่เมื่อเห็นกับตาตัวเอง ความตกตะลึงนี้ก็ไม่ยากเกินกว่าจะจินตนาการ
สายลมนำพาคลื่นความร้อนพัดผ่านใบหน้าจนเขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผดเผารุนแรง
หัวใจของเขาพลันรู้สึกเสียดแทงขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
‘เหตุใดคนถึงมีพลังอำนาจแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้? ฉันอุตส่าห์ทะลุมิติมาแล้วแท้ๆ ยังบำเพ็ญเซียนไม่ได้อีก? น่าอนาถเกินไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากแข็งแกร่งมากมายอะไร ขอแค่มีพลังได้ สักครึ่งหนึ่งของพวกเขาก็พอแล้ว!’
“ฟึบ ฟึบ ฟึบ!”
เสาเพลิงขนาดยักษ์หลอมรวมเข้ากับพลังงานสีดำของหุบเขาราวกับงูคลั่ง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงเกรี้ยวกราดรุนแรง
“โฮก!”
เสียงกรีดร้องราวกับสัตว์ร้ายดังออกมาจากภายในหุบเขา พลังงานสีดำเริ่มหดตัว กลายร่างเป็นเงาสัตว์ดำทะมึน เกลือกกลิ้งไปทั่ว หาทางออกจากกรงขัง
“ครืน!”
หลี่เนี่ยนฝานเห็นได้ชัดว่าดินสีดำในหุบเขาโป่งขึ้นราวกับฟองสบู่
คล้ายมีบางอย่างกำลังจะปะทุขึ้นจากพื้น
ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงกลางสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ใช้ไฟจริงนำทาง ปิดผนึกตาข่ายมาร!”
ในมือของเขามีธงสีแดงเข้มผืนหนึ่ง เขาโยนมันขึ้นไปในอากาศเบาๆ
ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่อยู่ล้อมรอบผู้เฒ่าทั้งห้าก็รวมตัวกันเหนือท้องฟ้าโดยมีธงแดงเป็นศูนย์กลาง ก่อเกิดม่านเพลิงขนาดใหญ่พอๆ กับหุบเขา ครอบปกคลุมลงมาช้าๆ
ก้อนหินซึ่งเดิมทีไม่โดดเด่นสะดุดตารอบหุบเขาเบื้องล่าง กลับค่อยๆ ทยอยเปล่งแสงสว่างสีแดงเข้ม จากนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโหม แผดเผาไปทั่วบริเวณ ทะลวงควันดำจนกลายเป็นลวดลายแปลกประหลาดบ บนพื้น!
ตอนนี้หลี่เนี่ยนฝานถึงได้ตระหนักว่ารอบหุบเขาได้ถูกวางค่ายกลไว้แต่แรกแล้ว
ม่านเพลิงที่ปกคลุมบนท้องฟ้าสะท้อนกับค่ายกลเปลวเพลิงบนพื้นดิน ยิ่งครอบต่ำลงทุกที ควันดำเหล่านั้นเหมือนกับมีมือนับไม่ถ้วนกำลังพยายามดันม่านเพลิงที่ครอบอยู่ขึ้นไป
ทั้งสองต่างตกอยู่ในสภาวะจนตรอก คล้ายกลายเป็นภาพที่ถูกแช่แข็ง
เวลาผ่านไป ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ใบหน้าผู้เฒ่าทั้งห้าเป็นสีแดง หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดพรายบนหน้าผาก
หลี่เนี่ยนฝานอ้าปากหาวอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาเริ่มปิดปรือ
เปลวเพลิงมหึมาไร้ขอบเขต กับควันดำน่าพิศวงชวนขนลุก แม้ว่าทางตันระหว่างทั้งสองจะดูน่าตื่นเต้น แต่การได้เห็นฉากที่น่าตื่นเต้นมากไปก็ทำให้เบื่อหน่ายได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงห หลี่เนี่ยนฝานที่เฝ้าดูเรื่องนี้มาตลอดทั้งบ่าย
ตลอดทั้งบ่ายเปลวเพลิงอาจจะตกลงมาเพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น
การติดตามต่อจากนี้คาดว่ามีเพียงรอให้ม่านเพลิงครอบลงมาจนสุด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่มีอะไรแปลกใหม่
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียน การต่อสู้สามวันสามคืนเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจึงดูได้อย่างเพลิดเพลินไม่เบื่อ บ้างก็วิเคราะห์ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ บ้างก็ร้องอุทาน ทำตัวเหมือนผู้รู้
แต่หลี่เนี่ยนฝานฝืนทนต่อไปไม่ไหว ถึงเวลานอนแล้ว
เขาหาวอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ต๋าจี่น้อย เริ่มจะดึกแล้ว อยากกลับไปนอนหรือไม่?”
ต๋าจี่พยักหน้า “อืม ข้าจะกลับไปกับคุณชาย”
จักรพรรดิลั่วและพรรคพวกต่างมองหน้ากัน หัวใจเต้นสั่นเบาๆ
ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่การต่อสู้ระดับนี้ก็ยังไม่อยู่ในสายตา?
คาดว่าในสายตาเขา พวกเราคงเปรียบเสมือนเด็กน้อยที่เล่นต่อยตีกันกระมัง ดูสิ ดูจนง่วงเสียแล้ว