ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 133 ปิดถนน รนหาที่ตาย!
ราตรีสงัด ความมืดมิดเข้าคืบคลาน
กลางคืนในหุบเขาเมฆาครามมืดกว่าที่อื่นๆ นอกจากแสงจากตะเกียงบางส่วนบนหอคอย ก็มีเพียงลำแสงของผู้บำเพ็ญเซียนที่ทำให้ค่ำคืนอันมืดมิดสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วนใจกลางหุบเขาลึกนั้น ราตรียิ่งมืดมิดกว่าที่ใด!
มองลงมาจากหอคอยคล้ายหลุมดำไร้ก้นเหว ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังอ้าปากรอเขมือบใครสักคน
โชคดีที่บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาลึกมีเปลวไฟไหลผ่านเชื่อมต่อกันชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับขังราตรีไว้ นำแสงสว่างไปสู่ความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง
ที่ใจกลางของเปลวเพลิง ธงสีแดงเล็กๆ ลอยอยู่กลางอากาศ สาดประกายสว่างจ้า ราวกับมีมังกรไฟบินอยู่รอบๆ เปลวเพลิงดั่งกระแสน้ำที่ไหลออกไปอย่างไม่รู้จบ
“ฟู่~”
พลังปราณบนร่างของคนทั้งห้าสลายไป เสาเพลิงทั้งห้าก็ค่อยๆ จางหาย ขณะเดียวกันพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ประมุขหุบเขาเมฆาครามซึ่งยืนอยู่ที่ใจกลางยิ้มเล็กน้อย โค้งคำนับผู้เฒ่าทั้งสี่ “ค่ายกลสำเร็จแล้ว ต่อไปรบกวนผู้อาวุโสทั้งสี่ช่วยปกป้องแล้ว”
ผู้อาวุโสทั้งสี่ยิ้มออกมา “ประมุขหุบเขาโปรดวางใจ”
พวกเขานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เปลวไฟปกคลุมพลังงานสีดำสนิทเมื่อไหร่ พิธีผนึกมารครานี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์
ประมุขหุบเขาเมฆาครามพยักหน้า ร่างกายเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งหายไปทันที
บนหอคอยสูง กลุ่มผู้ชมต่างยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
ฉินม่านอวิ๋นผงะ อุทานด้วยความตกใจ “เป็นค่ายกลที่ทรงพลังเสียจริง แม้ผ่านไปหลายปี เปิดใช้งานอีกครั้งก็ยังมีพลังรุนแรงถึงเพียงนี้”
เดิมทีนางคิดว่าหุบเขาเมฆาครามต้องใช้วิธีการมากมาย ไม่นึกเลยว่าเพียงค่ายกลเปิดออก คนก็แยกย้ายไปได้แล้ว
จักรพรรดิลั่วที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “บรรพบุรุษของเมฆาครามน่าทึ่งมากความสามารถ ว่ากันว่าหลังจากที่เขาสำเร็จกลายเป็นเซียน ยังติดต่อกับลูกหลาน ยืมวิธีการของโลกเซียน ปรับปรุงค่า ายกลดั้งเดิม จะไม่ทรงพลังได้อย่างไร?”
“ที่แท้ก็ใช้ค่ายกลของโลกเซียน!”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที จากนั้นก็ถอนใจ “น่าเสียดายหลายพันปีมานี้ ไม่เพียงไม่มีใครสำเร็จกลายเป็นเซียน แม้แต่การเชื่อมต่อกับโลกเบื้องบนก็ถูกตัดขาดไปด้วย”
นางทอดถอนใจอยู่ภายใน อารามเต๋าหลินเซียนก็เคยมีคนสำเร็จเป็นเซียนมาก่อน ไม่รู้ว่าอยู่ในโลกเซียนจะเป็นอย่างไรบ้าง หากสามารถติดต่อกันได้เป็นครั้งคราวเหมือนแต่ก่อน เผยแพร่วิถี เต๋า อารามเต๋าหลินเซียนต้องก้าวหน้าไปอีกขั้นแน่
แต่เหตุใดนับวันยิ่งแย่ลง
จักรพรรดิลั่วพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างหมดหนทาง “เส้นทางเซียนถูกตัดขาด โลกบำเพ็ญเซียนกำลังตกต่ำ ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร”
หัวใจพวกเขากระตุกวูบพร้อมกัน แต่โชคดีที่พวกเขาได้พบปรมาจารย์ ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโชคชะตาแห่งโลกเบื้องบนเสียอีก!
ขณะที่ทุกคนถอนใจในความแข็งแกร่งเกรียงไกรของหุบเขาเมฆาคราม
มุมหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่สะดุดตาในป่า มีเงาดำหลายตัวแฝงอยู่อย่างลึกลับ ทิ้งไว้เพียงดวงตาอันชั่วร้าย
……
วันรุ่งขึ้น
หลี่เนี่ยนฝานลืมตาตื่นแต่เช้าตรู่ก็เดินตรงไปที่ระเบียงด้านนอก จ้องมองไปยังหุบเขาด้วยความสงสัย
“หืม? การผนึกเสร็จสิ้นแล้วเหรอ?”
แสงตะวันสาดส่องเข้าไปในหุบเขา เห็นชายชราสี่คนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า เปลวเพลิงเบื้องล่างยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อคืน ดูเหมือนจะกดลงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เพี ยงแต่คนที่อยู่ใจกลางผู้นั้นจากไปแล้ว
เหลือเพียงธงสีแดงเล็กๆ ไว้ตรงกลาง ราวกับน้ำพุเพลิงที่พ่นไฟออกมาไม่ขาดสาย
หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “มิน่าถึงดึงดูดผู้ชมมากมายเช่นนี้ ที่แท้พิธีก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต เท่ากับได้ดูการแสดงของผู้บำเพ็ญเซียนแบบไม่เสียเงิน”
“ต๋าจี่น้อย ไปกันเถอะ กว่าจะได้ออกมาครั้งหนึ่ง ต้องเดินเล่นให้หนำใจหน่อย”
อย่างไรตอนนี้พิธีผนึกมารเมฆาครามก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เกรงว่าคงอยู่อีกไม่กี่วัน
“อื้อๆ ข้ามาแล้ว คุณชาย”
ต๋าจี่ย่างก้าวแผ่วเบาออกมาจากห้องอย่างช้าๆ ใบหน้าซึ่งเดิมทีไร้ที่ติ แต่งแต้มเติมสีสันด้วยเครื่องประทินโฉมบางเบา ไม่มากหรือน้อยเกินไป เปรียบเสมือนเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1] ด ดูแล้วอ่อนเยาว์งดงาม นางสวมชุดกระโปรงผ้าชีฟองตัวเมื่อวาน กลิ่นอายโดดเด่นเหนือผู้ใด ราวเทพธิดาน้อยบนสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์
เมื่อมองดูต๋าจี่ หลี่เนี่ยนฝานก็อดทอดถอนใจอยู่ภายในไม่ได้ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เขาตั้งชื่อนี้ให้นาง เป็นสตรีงามล่มเมืองเสียจริง ไม่แปลกใจที่ทรราชมากมายในสมัยอดีตยอมสละ ดินแดนเพื่อสตรีคนหนึ่ง ต๋าจี่งดงามเพียงนี้ ต่อให้แลกทั้งจักรวาลก็ยอม
เมื่อต๋าจี่เห็นหลี่เนี่ยนฝานมองตนก็ดีใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชาย จะออกไปข้างนอกอยู่หรือไม่?”
หลี่เนี่ยนฝานได้สติกลับมาก็ลูบจมูกของตน “อ้อ ไปสิ ไปกันเถอะ”
ทันทีที่ทั้งสองเดินออกจากเซียนเค่อจวี ก็พบกับพวกฉินม่านอวิ๋นสี่คนเฝ้าประตูอยู่
หลี่เนี่ยนฝานผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและเอ่ยว่า “อ้าว บังเอิญจริง พวกเจ้าก็จะออกไปซื้อของเหมือนกันหรือ?”
ลั่วซืออวี่ยิ้ม “ใช่ พวกเราก็เพิ่งออกมาพอดี นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับคุณชายหลี่”
“วันนี้คุณชายหลี่จะไปดูสิ่งใดหรือ?” ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยปากถาม เงี่ยหูฟังตั้งหน้าตั้งตารอคำใบ้ของหลี่เนี่ยนฝาน
หลี่เนี่ยนฝานกล่าวว่า “ไม่มีเป้าหมาย ดูไปเรื่อยๆ หากพบสิ่งใดเหมาะสมก็ค่อยซื้อ”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า “เช่นนั้นขอให้คุณชายหลี่ท่องเที่ยวอย่างเพลิดเพลิน อยากกลับเมื่อไหร่แค่บอกพวกเราก็พอ”
“ได้”
หลี่เนี่ยนฝานรับปากไปที ก็พาต๋าจี่ออกไปเดินเล่น
ระหว่างทางพบเห็นของเล่นแปลกประหลาดแห่งโลกบำเพ็ญเซียนมากมายราวกับมีจิตวิญญาณ เห็นกระทั่งคนขายสัตว์ประหลาด ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ อีกครึ่งเป็นสัตว์ประหลาด หลี่เนี่ยนฝานคิดไม่ตกว ว่าจะซื้อไปทำไม เอาไปกินได้รึ?
ท่ามกลางฝูงชน บุตรชายเศรษฐีในชุดคลุมสีน้ำตาล ประดับเอวด้วยเข็มขัดสีทองสะดุ้งเฮือก สายตาจับจ้องไปยังทิศหนึ่ง ดวงตาแทบจะถลนออกมา
“เป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก! โลกปุถุชนน่าทึ่งเพียงนี้เชียวรึ!” เขาจ้องตาไม่กะพริบ มุมปากเผยรอยยิ้มลุ่มหลงอย่างอดไม่ได้ “แม้สตรีผู้นี้เป็นเพียงปุถุชน แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าสต ตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญเซียนซะอีก!”
“การเดินทางมาครั้งนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง!” เขาเลียริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ รีบเดินปรี่เข้าไปหาต๋าจี่ เหลือบมองหลี่เนี่ยนฝานที่ยืนอยู่ข้างๆ ราวกับเห็นมดปลวก ดวงตาฉายประกาย เยือกเย็น “แค่คนธรรมดาคนหนึ่งมีหรือจะคู่ควรกับความงามล้ำค่าเช่นนี้ อยากตายไวหรือ?”
หลังจากการเคลื่อนไหวนั้น คนจำนวนหนึ่งที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มลงมือ ไม่นานก็สร้างวงล้อมหลี่เนี่ยนฝานและต๋าจี่ไว้ตรงกลาง วงล้อมค่อยๆ หดแคบลงอย่างช้าๆ
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของบุตรชายเศรษฐี มุมปากโค้งเผยความมุ่งมั่นให้ได้มาซึ่งความปรารถนา จ้องมองต๋าจี่ ยกขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว “แม่นางผู้นี้ เรามาเป็นเพื่อนกันดีหรือไม่?”
“สามหาว!”
พวกฉินม่านอวิ๋นตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง แขนขาทั้งสี่เย็นยะเยือก เพียงครู่เดียวร่างกายก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น แทบหยุดหายใจ
พวกเขารีบวิ่งมาด้วยความร้อนรน
แน่นอนพวกเขาไม่อาจทิ้งหลี่เนี่ยนฝานไว้ตามลำพัง จึงแอบติดตามมาเพื่อขจัดปัญหายิบย่อยที่อาจแฝงมาอย่างลับๆ ให้คุณชายหลี่มีประสบการณ์อันรื่นรมย์ในชีวิตมนุษย์ปุถุชน
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนรนหาที่ตายถึงเพียงนี้ กล้าขวางคนอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดสายเกินไปที่จะหยุดได้
………………………………………………
[1] เป็นสำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น