ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 134 โลกบำเพ็ญเซียน จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
‘ซื่อบื้อ เจ้าคนซื่อบื้อเอ๊ย!’
พวกฉินม่านอวิ๋นสติแตก มองบุตรชายเศรษฐีราวกับมองเห็นศพปัญญาอ่อน
มีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ดีหรือ? จะรนหาที่ตายทำไม?
ฉินม่านอวิ๋นมองหลี่เนี่ยนฝานด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ รีบร้อนกล่าว “คุณชายหลี่ ขออภัยด้วย พวกนี้เป็นอันธพาลทำชั่วไม่เกรงกลัวกฎหมาย อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย พวกเราจะให้คำอธิบายกับท ท่านแน่นอน”
หลี่เนี่ยนฝานสีหน้าไม่ดีนัก เขาสูดหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “ดีที่พวกเจ้ามาทันเวลา ขอบคุณมาก ข้ากับต๋าจี่น้อยจะกลับไปก่อน”
ลั่วซื่ออวี่รีบตามไป “คุณชายหลี่ ข้าไปส่งพวกท่านเอง”
พวกเขาทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของหลี่เนี่ยนฝาน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ราวกับเด็กน้อยที่กระทำความผิด ระแวดระวังแม้เรื่องเพียงเล็กน้อย
หลี่เนี่ยนฝานคิ้วขมวดมุ่น เขาอารมณ์ไม่ดีมากจริงๆ ฉากเมื่อครู่ชัดเจนว่า คนเหล่านั้นเห็นตนกับต๋าจี่เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ง่ายต่อการรังแก ถึงกับจะลงมือสู้กันตรงนั้น ไม่ว่ าตนจะพูดอย่างไรพวกเขาต้องลงมือฉุดคนเป็นแน่
หากไม่ใช่เพราะพวกฉินม่านอวิ๋นมาถึงทันเวลา ผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่อยากคิด
‘ประมาท ฉันประมาทไปแล้ว!’
หลี่เนี่ยนฝานถอนใจด้วยความโล่งอก นึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ระยะนี้ชีวิตตนราบรื่นเกินไป คนที่ได้พบล้วนแล้วแต่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นมิตร ถึงแม้ตนจะมีเพื่อนบ้างแล้ว แต่กลับละ ะเลยความอันตรายต่างๆ ในโลกนี้ไป ขนาดโลกก่อนยังไม่ขาดนักเลงหัวไม้ โลกบำเพ็ญเซียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อาการแขนหักของหลินมู่เฟิงเมื่อครั้งก่อนยังติดตาอยู่เลย กระทั่งผู้บำเพ็ญเซ ซียนยังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เช่นนั้นตนซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาก็ไม่ควรเสี่ยงอันตรายเกินไป
แต่หลังจากความหวาดกลัวจบลง ความขุ่นเคืองมากมายก็ผุดขึ้นในใจไม่รู้จบ เขากำมือบางของต๋าจี่แน่นอย่างอดไม่ได้ ยากจะเก็บซ่อนความโกรธในใจ
หลังจากเดินไปได้ซักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองบุตรชายเศรษฐีอีกครั้ง
“เปรี้ยง!”
จู่ๆ ท่ามกลางฟ้าใสไร้เมฆ เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น เพียงชั่วพริบตาเมฆดำหนาทึบก็ปรากฏขึ้น ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าให้มืดมิดลงในบัดดล
เมฆดำทะมึนปกคลุมทั่วทั้งเมือง!
และยังมีเสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะๆ
บัดนี้ทั่วพื้นที่ในหุบเขาเมฆาคราม ผู้คนต่างสัมผัสได้ถึงความกดดันที่เข้ามาถึงกลางใจ
ทันทีที่มีเสียงฟ้าร้องพวกฉินม่านอวิ๋นก็พร้อมใจกันก้มหน้าหดหัว จากนั้นก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่ได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกได้เพียงหนังศีรษะที่ชาหนึบ และทุกเ เซลล์ในร่างกายที่กำลังสั่นระริก
ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่พิโรธแล้ว!
เมื่อพิโรธขึ้นมาฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี!
ความหวาดกลัวหาที่เปรียบมิได้ท่วมท้นในใจพวกเขา ชั่วพริบตาความเย็นยะเยือกในจิตใจก็ส่งแผ่ไปทั่วร่างกาย เลือดภายในเกือบหยุดไหลเวียน แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ
โชคดีที่ตนมาหยุดไว้ทัน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะระบายความโกรธออกมาเช่นไร ถึงตอนนั้น หุบเขาเมฆาครามแปดในสิบส่วนคงไม่อยู่อีกแล้ว ส่วนโลกบำเพ็ญเซียนก็คงไม่ด ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ!
ฉินม่านอวิ๋นตบหน้าอกของตนอย่างอดไม่ได้ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด รู้สึกยินดียิ่ง
“ท้องฟ้าปรวนแปรเสียจริง” หลี่เนี่ยนฝานแหงนมองฟ้า บ่นอย่างอดไม่ได้ก่อนจะรีบพาต๋าจี่เข้าไปในเซียนเค่อจวี
แทบในทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าเซียนเค่อจวี ฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับน้ำทะเล
“ซ่า!”
ฝนที่สาดลงมาทำให้ทั่วทั้งหอคอยเปียกชุ่ม สายน้ำบรรจบ ไหลลงอย่างรวดเร็ว
บนหอคอยสูง
พวกฉินม่านอวิ๋นจ้องมองกลุ่มของบุตรเศรษฐีด้วยสีหน้าเย็นชาถึงขีดสุด
เมื่อครู่เพราะเกรงว่าคนพวกนี้จะรนหาที่ตายพูดจายั่วโมโหปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ โจวต้าเฉิงจึงใช้พลังทั้งหมดของตนกดบังคับพวกเขา แม้แต่อ้าปากก็ยังยาก บัดนี้เขาถอนพลังกลับ คนก กลุ่มนั้นก็พลันล้มลงกองแทบพื้น ฝนห่าใหญ่ทำให้พวกเขาเปียกปอนไม่เหลือสภาพคน
บุตรชายเศรษฐีนิ่งไปชั่วครู่ ความหวาดกลัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความโกรธมหาศาล ดวงตาเต็มไปด้วยโกรธแค้น “พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือหลิ่วหรูเซิงจากตระกูลหลิ่ว! กล้าลงมือกับข้ า อยากตายหรือ?!”
“ตระกูลหลิ่ว? ตระกูลหลิ่วนับเป็นสิ่งใด! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อไปนี้จะไม่มีตระกูลหลิ่วอีกต่อไป!” จักรพรรดิลั่วแทบจะกัดฟันพูด
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ยังไม่จางหาย เมื่อเห็นหลิ่วหรูเซิงยังปากเก่งเช่นนี้ ก็แทบจะโกรธเลือดขึ้นหน้า ดวงตาปรากฏจิตสังหาร เขาโบกฝ่ามือ โซ่เพลิงก็พุ่งจากข้อมือพั นรอบคอของหลิ่วหรูเซิงราวกับลูกไก่ ถูกชูขึ้นไปกลางอากาศ
เพราะไอ้โง่พวกนี้ โลกบำเพ็ญเซียนทั้งใบเกือบจะถึงคราวจบเห่! พวกข้ากำลังช่วยโลกไว้!
ชายชราผู้หนึ่งข้างหลิ่วหรูเซิงใบหน้าอึมครึม วาดค่ายกลในมือชี้ไปยังโซ่เพลิง ทันใดนั้นมีดลมปราณก็ตัดโซ่เพลิงจนขาด
ชายชราปกป้องหลิ่วหรูเซิงไว้ด้านหลัง “สหายเต๋าทุกคน พวกท่านคิดจะทำสิ่งใด? สกุลหลิ่วของข้าดูเหมือนมิเคยมีเรื่องบาดหมางกับพวกท่านกระมัง?”
เขามองโจวต้าเฉิงอย่างระแวดระวัง พยายามระงับโทสะ เอ่ยอย่างสุภาพที่สุด
เขาเป็นผู้บำเพ็ญขั้นชูเชี่ยวเช่นเดียวกับจักรพรรดิลั่ว มีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยของหลิ่วหรูเซิง ทว่ายามอยู่ต่อหน้าโจวต้าเฉิงก็ยังไม่พอให้อยู่ในสายตา
“คนเขลาย่อมไม่หวาดหวั่น” ฉินม่านอวิ๋นส่ายหน้า พูดอย่างคลุมเครือ “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตนเองได้ล่วงเกินบุคคลเช่นไรลงไป นับจากวันนี้ สกุลหลิ่วจะถูกลบชื่อออกจากโลกบำเพ็ญเซียน ”
นางนึกถึงสายตาของหลี่เนี่ยนฝานเมื่อครู่นี้ สื่อความหมายชัดเจนว่าหลิ่วหรูเซิงต้องตาย ส่วนจะลงโทษตระกูลหลิ่วอย่างไร นางต้องพิจารณาความหมายของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
หลิ่วหรูเซิงทั้งโกรธทั้งขำ เผยรอยยิ้มเย็นชา “น่าขันซะจริง คนผู้นั้นก็แค่คนธรรมดา ต่อให้พวกเจ้าอยากลบชื่อตระกูลหลิ่วออกจากโลกบำเพ็ญเซียน แต่พ่อข้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนข ขั้นเหอถี่ ตระกูลหลิ่วของข้าเคยมีผู้สำเร็จเป็นเซียน! คิดจะต่อกรกับพวกเรา ข้าว่าพวกเจ้าก้มดูตัวเองเสียก่อนจะดีกว่า!”
โจวต้าเฉิงส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ “ปัญญาอ่อน! ไม่แปลกที่ตระกูลหลิ่วจะสูญสิ้นคามือเจ้า!”
เขาโบกแขนเสื้อ ฉินโบราณตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เขายกมือขึ้นดีดสายอย่างแรง!
“เคร้ง!”
ร่างกายหลิ่วหรูเซิงสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมา ล้มลงกับพื้นราวกับคนไร้กระดูก ส่วนคนอื่นๆ ร่างกายสั่นสะเทือนรุนแรง ภายในร่างกายราวกับมีเสียงระเบิด เส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายพร ร้อมกันแตกออก โลหิตกระจายออกเป็นละอองฝอย ไม่ทันได้ส่งเสียงก็ล้มลงสิ้นใจตาย!
ชายชราใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ หวาดกลัวปานจะขาดใจ
เขามองไปที่โจวต้าเฉิง เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน รีบหยิบแผ่นหยกในมือออกมา เอ่ยอย่างโอดครวญ “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว! จะสู้กับตระกูลหลิ่วให้ตายกันไปข้างจริงๆ ใช่ไหม?”
“ให้ตายกันไปข้าง? แค่พวกเจ้าน่ะหรือ?” โจวต้าเฉิงยิ้มดูแคลน ยกมือขึ้นอีกครั้ง!
“เคร้ง!”
ในความว่างเปล่า ระลอกคลื่นเสียงซัดเข้าหาชายชรา
เขาแววตาเลื่อนลอย โลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ความไม่เต็มใจและสับสนยังคงค้างอยู่ในดวงตาก่อนขาดใจ
เขาไม่เข้าใจว่า คนเช่นตนเหตุใดคิดจะลงมือกับปุถุชนคนหนึ่ง กลับนำพาให้เจอหายนะสู่ความตายเช่นนี้
เลือดสดไหลเข้าสู่แผ่นหยกนั่น จู่ๆ ก็เกิดลำแสงสว่างจ้าพุ่งไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล
พวกโจวต้าเฉิงต่างไม่มีใครสนใจมองแผ่นหยกนั้น จึงไม่มีความคิดสกัดไว้ ทำเพียงแค่มองหลิ่วหรูเซิงที่ดูราวกับสุนัขนอนตาย พลางแอบทอดถอนใจ “โลกบำเพ็ญเซียน จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”