ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 137 เทพหยามไม่ได้!
สภาพจิตใจของกู้ฉางชิงไม่มั่นคงเล็กน้อย
กระทั่งเริ่มสงสัยว่าพี่น้องคู่นี้ใช่บุตรที่เกิดจากตนหรือไม่
หรือไม่ก็….
กู้ฉางชิงใจหล่นวูบเบาๆ พูดเสียงค่อย “พวกเจ้าเจอคนชั่วทำร้ายจนสมองกระทบกระเทือนมาใช่หรือไม่?”
กู้จื่ออวี่รอไม่ไหวยื่นหมั่นโถวไปตรงหน้ากู้ฉางชิง เอ่ยยั่วยุ “ท่านพ่อ จินตนาการท่านช่างล้ำเลิศเสียจริง ท่านกินคำเดียว ก็คำเดียว!”
เดิมทีกู้ฉางชิงยังลังเล แต่นาทีนี้คิ้วกลับกระตุกขึ้น
หือ?
กลิ่นหอม
กลิ่นหอมเจือด้วยรสหวาน แม้ไม่ได้เข้มข้น แต่กลับทำให้รู้สึกสดชื่นเบิกบาน คล้ายกับสามารถสลักลงในกระดูกคน
บัดนี้สายตาของเขาตกกระทบหมั่นโถว จ้องมองอย่างละเอียด
ขาวผุดผ่อง กลมกลึง ช่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย!
เทียบกับหมั่นโถวอื่นๆ พื้นผิวของหมั่นโถวชิ้นนี้ไร้ร่องรอยของสิ่งสกปรก ภายนอกดูนุ่มนวลสะอาดตา ราวกับขนมไหมสวรรค์ก็ไม่ปาน อีกทั้งลักษณะกลมเนื้อแน่น หากซื้อขายก็เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกชั้นเลิศ เขามีชีวิตอยู่มาสี่พันกว่าปี หมั่นโถวที่งดงามเช่นนี้ยังเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
“ดูเหมือนจะไม่เลว” กู้ฉางชิงพูดไปพลางหยิบหมั่นโถวขึ้นมา
ใช้มือบีบเบาๆ โอ้โห สัมผัสยอดเยี่ยม
ทั้งนุ่มทั้งเนียน ความยืดหยุ่นยังเต็มสิบ!
สีหน้ากู้ฉางชิงเผยแววตื่นตาตื่นใจ บีบหมั่นโถวอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง เก็บความรู้สึกที่ประเมินต่ำของตนไป ค่อยๆ ฉีกชิ้นเล็กๆ ด้วยท่าทางระมัดระวังไปเองโดยอัตโนมัติ คล้ายทนไม่ได้
เขาอ้าปากก่อนจะใส่หมั่นโถวชิ้นเล็กลงไป แล้วเริ่มลิ้มรสอย่างแผ่วเบา
“ง่ำๆๆ”
ชั่วขณะ กลิ่มหอมจางๆ บางอย่างที่ไม่อาจบอกได้ติดอยู่กึ่งกลางปลายลิ้น และเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนเขาอดสูดหายใจลึกไม่ได้ คล้ายกับว่าลมหายใจถูกเคลือบด้วยกลิ่นนั้นจนกลายเป็นรสหวาน
ฟันกดลงบนเนื้อหมั่นโถว เริ่มกัดเบาๆ
รสชาติหวานเริ่มแพร่กระจายออกมาเป็นชั้นๆ หากไม่ใช่เพราะการบดเคี้ยวที่หนึบหนับชัดเจน คงคิดว่ากำลังกินดอกไม้หอมอยู่จริงๆ
กู้ฉางชิงนัยน์ตาขยายกว้างขึ้นฉับพลัน ดวงตาฉายแววทึ่งอย่างเหลือเชื่อ
อร่อย!
อร่อยยิ่งนัก!
เขาทนต่อไปไม่ไหว นำหมั่นโถวในมือใส่เข้าปาก
หมั่นโถวขนาดเท่าฝ่ามือ ยามถือราวกับกอบกุมปุยเมฆ หมั่นโถวสีขาวดุจหิมะถูกกัดคำหนึ่ง ครึ่งส่วนตกถึงปาก ฟันเริ่มบดเคี้ยว กลิ่มหอมเย้ายวนฟุ้งกระจายไปทั่วปาก!
เมื่อเคี้ยวละเอียด หมั่นโถวนุ่มละมุนหยอกเย้าปลายลิ้น ชวนให้ใจละลาย คล้ายกับจะพาให้คนกินอ่อนยวบไปพร้อมกับหมั่นโถวก็ไม่ปาน รสสัมผัสไม่ขาดสาย ละเอียดอ่อนไร้สิ่งใดเปรียบ ความเข้มข้นน่าพึงใจแผ่จากปากไปทั่วสรรพางค์กาย
ความรู้สึกสดชื่นน่าพึงพอใจท่วมท้นไปทั้งตัว ยามกลืนลงคอ ความอ่อนนุ่มนั้นราวกับน้ำพุร้อน นวดลงไปตลอดลำคอ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายคล้ายกับเบ่งบาน มีความสุขกระโดดโลดเต้น
เพียงสองสามคำ หมั่นโถวสีขาวหิมะก็ถูกกวาดลงท้องของเขา กระทั่งเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
หายไปไหนแล้วล่ะ? ตนเองกินไปแล้วเหรอ?
เขากระแอมทีหนึ่ง ยืดตัวตรง “เอ่อ…ยังมีอีกหรือไม่?”
กู้จื่ออวี่แลบลิ้น “ไม่มีแล้ว เดิมทีเอากลับมาสองชิ้น แต่ข้าอดใจไม่ไหวกินไปชิ้นนึง”
“เจ้า เจ้า เจ้า…” กู้ฉางชิงชี้กู้จื่ออวี่อย่างสั่นเทา “เจ้าลูกเนรคุณ!”
บัดนี้เอง เขากลับหยุดชะงัก สีหน้าตื่นตระหนก รีบหลับตาปี๋
นี่มัน…ทำนองมรรคา?!
เขาสูดหายใจเฮือก หมั่นโถวนี้กินอร่อยก็มากพอแล้ว ยังมีทำนองมรรคาอีก?
อันที่จริงทำนองมรรคานี้สำหรับเขาแล้วอ่อนแอเกินไป เพียงชั่วพริบตาเขาก็ลืมตาขึ้น แต่ยังคงทำให้เขาต้องจ้องมองสองพี่น้องกู้จื่อเหยาด้วยสายตาตื่นตะลึง
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉงนสงสัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “พวกเจ้าไปพบคนเช่นไรมากันแน่?”
กู้จื่อเหยาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า สูดหายใจลึก “ท่านพ่อ ข้าจะเล่าให้ฟังเอง”
หลังจากนั้นนางก็เล่าเหตุการณ์ที่เซียนเค่อจวีตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง
กู้ฉางชิงหรี่ตา นั่งนิ่งบนเก้าอี้ ใบหน้าไม่แสดงออก ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นพายุลูกใหญ่พัดกระหน่ำนานแล้ว
โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเส้นทางการเป็นเซียนเกรงว่าคงถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว หัวใจเขาเต้นเร็วที่สุดในรอบหลายพันปีมานี้ จนเกือบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก!
ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดขัดกู้จื่อเหยา เพียงแต่ฟังนางพูดต่อไป
อาหารที่หาไม่ได้ในโลกปุถุชน กลับแฝงด้วยทำนองมรรคา!
อีกทั้งท่าทีของฉินม่านอวิ๋นที่มีต่อผู้ยิ่งใหญ่
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของผู้ยิ่งใหญ่
เรียวคิ้วเขาเริ่มขมวดเบาๆ มองดูบุตรชายบุตรสาวของตน ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน
เขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเพียงนี้ อยู่ในจุดสูงสุดของโลกบำเพ็ญเซียน ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดมาก
บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นประทานพรอันประเสริฐเช่นนี้ ทั้งยังบอกความลับที่น่าตื่นตกใจ เป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการยืมมือบุตรชายหญิงของตน ส่งตนเข้าสู่เกม!
ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ มองฟ้าดินเป็นกระดานหมาก ต่างฝ่ายเล่นเกม ทันทีที่ลงกระดานกลายเป็นหมาก ความเป็นตายมิได้ขึ้นอยู่กับตนเอง อาจมอดม้วยกลายเป็นเถ้ากระดูกเมื่อไหร่ก็ได้
กู้ฉางชิงดวงตาวูบไหว เพียงชั่วพริบตาก็คิดไปไกลแสนไกล
ตอนนี้สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนฉับพลัน เงยหน้ามองไปบนฟ้าไกล ลุกขึ้นยืนอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่ากระดานหมากนี้จะเริ่มต้นแล้ว!
กู้ฉางชิงเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากลับห้องกันไปก่อน”
สองพี่น้องกู้จื่อเหยาต่างผงะไป จากนั้นก็เดินจากไปอย่างรู้ความ
ไม่นานนัก ลำแสงสี่สายก็พุ่งมาแต่ไกลและลงจอดภายในโถงใหญ่
“อารามเต๋าหลินเซียน ฉินม่านอวิ๋น คารวะท่านอากู้”
ฉินม่านอวิ๋นนำคารวะทุกคน
กู้ฉางชิงยิ้มแย้ม “ม่านอวิ๋น เจ้ามาได้อย่างไร?”
ฉินม่านอวิ๋นมองกู้ฉางชิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ม่านอวิ๋นมาในครั้งนี้ เพื่อมอบพรแด่ท่านอากู้!”
“พร?” กู้ฉางชิงผงะ ในใจสั่นไหว
ฉินม่านอวิ๋นสูดหายใจ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “หลิ่วหรูเซิงจากสกุลหลิ่วล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง หากท่านอากู้ยินยอมออกหน้ากวาดล้างตระกูลหลิ่ว ย่อมจะสามารถมีสัมพันธ์อันดีกับผู้ยิ่งใหญ่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอากู้จะรักษาโอกาสในครั้งนี้ไว้ได้หรือไม่”
“ตระกูลหลิ่ว…” กู้ฉางชิงสีหน้าครุ่นคิด ทอดถอนใจเบาๆ “พวกเจ้าทำอะไรกับหลิ่วหรูเซิงไปบ้าง?”
“ฆ่าแล้ว!” ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
นัยน์ตากู้ฉางชิงหดวูบ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้นำตระกูลหลิ่วเมื่อร้อยปีก่อนเคยขึ้นไปถึงขั้นเหอถี่?”
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ย “เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
กู้ฉางชิงพูดต่อ “พวกเจ้ารู้ไหมว่าตระกูลหลิ่วเคยมีผู้เป็นเซียน?”
ฉินม่านอวิ๋นส่ายหน้า “เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
กู้ฉางชิงประหลาดใจในความมั่นใจของฉินม่านอวิ๋น เขาอ้าปากค้างแล้วเอ่ยว่า “เส้นสนกลในของตระกูลเซียน เจ้าน่าจะรู้ดีเช่นเดียวกันกับข้า เมื่อหลิ่วหรูเซิงตายแล้ว เหตุใดจำเป็นต้องกวาดล้างทั้งตระกูลหลิ่ว?”
“กู้ฉางชิง เจ้าอยู่มานานขนาดนี้ ยิ่งอยู่ยิ่งถดถอยเสียจริง! เจ้าบอกข้ามาตรงๆ งานนี้เจ้าจะทำหรือไม่?!”
โจวต้าเฉิงไม่อ้อมค้อม พูดด้วยความหงุดหงิด “ข้าจะใจดีเตือนเจ้าไว้อย่าง อย่าได้สงสัยในความแข็งแกร่งของผู้ยิ่งใหญ่ เขาคือผู้ที่เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ! เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หุบเขาเมฆาครามของเจ้า หากไม่ใช่เพราะพวกเราไปถึงทันเวลา เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้รึ? ตระกูลหลิ่ว ข้าไม่ปล่อยไปแน่! เซียนกับผีน่ะสิ! หลิ่วหรูเซิงตายก็จบเรื่องหรือ? เจ้าลืมคำนี้ไปแล้วหรืออย่างไร เทพ…หยามไม่ได้!”
………………………………………………