ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 138 การเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ โจมตีกลางดึก!
กู้ฉางชิงดวงตาวูบไหว มองโจวต้าเฉิงอย่างตื่นตะลึง “เทพ?”
คำนิยามเช่นนี้ดูยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน ยิ่งใหญ่เสียจนเขาไม่กล้าจะเชื่อ โลกบำเพ็ญเซียนจะมีเทพได้อย่างไร? นี่มันเรื่องตลกชัดๆ
จักรพรรดิลั่วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ผู้อาวุโสกู้ ท่านว่าฝนข้างนอกนั่น ดูแปลกประหลาดหรือไม่?”
กู้ฉางชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับเป็นเวลาเดียวกันที่ท้องฟ้าเกิดประกายสว่างวาบ สายฟ้าตัดผ่านเมฆหนาลงมายังพื้นดิน แสงสะท้อนใบหน้าของเขา และเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นตามมา
“แปลกจริงๆ”
พิธีผนึกมารเมฆาคราม จำเป็นต้องใช้ค่ายกลเพลิงในการผนึก ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า หนึ่งในนั้นก็คือการรบกวนสภาพอากาศ ทำให้ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ไม่เกิดฝนตก ทว่าตอนนี้กลับมีฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายโดยแท้จริง
จักรพรรดิลั่วกล่าวต่อ “เช่นนั้นท่านเคยได้ยินหรือไม่ เมื่อใดทวยเทพพิโรธ เมื่อนั้นฟ้าดินเปลี่ยนแปลง”
กู้ฉางชิงนัยน์ตาหดวูบ สีหน้ายากจะเชื่อ ฝนตกครั้งนี้เกิดจากโทสะของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นหรือ?
แค่เพลิงโทสะก็ถึงกับทำให้ฟ้าดินเห็นอกเห็นใจไปด้วย ต้องเป็นบุคคลระดับใดกัน?
เขาหายใจถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเพียงหนังศีรษะที่ชาหนึบ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหลือเชื่อ โลกบำเพ็ญเซียนจะมีบุคคลระดับนี้ได้อย่างไร? นี่มัน…ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
ภายใต้ความรู้สึกกระวนกระวาย เขาเดินไปมาในห้องโถงไม่หยุด สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา คล้ายกับยากจะตัดสินใจ
ฝ่ายหนึ่งคือผู้ยิ่งใหญ่มหึมาผู้ลึกลับ อีกฝ่ายหนึ่งคือตระกูลหลิ่วซึ่งเคยกำเนิดเซียน สุดท้ายแล้วตนควรจะลงมือหรือไม่?
ผู้ยิ่งใหญ่ต้องการให้ตนมีบทบาทเช่นไรในกระดานหมากนี้กันแน่? หากทำให้ตระกูลหลิ่วขุ่นเคือง แล้วเซียนแห่งตระกูลหลิ่วไม่พอใจ ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นจะรับมือไหวหรือ?
เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน สูดหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ทราบว่าให้ข้าไปเยี่ยมเยียนผู้ยิ่งใหญ่สักหน่อยได้หรือไม่?”
จักรพรรดิลั่วยิ้มจางๆ “เหอะๆ ท่านดูท้องฟ้าในยามนี้ คิดว่าผู้ยิ่งใหญ่มีอารมณ์พบท่านหรือ? หากท่านจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ดีใจ ไม่แน่ว่าอาจจะยอมพบท่านสักครั้ง!”
“กู้ฉางชิง หากเจ้าไม่กล้าก็บอกมาตามตรง พวกเรามอบพรยิ่งใหญ่แก่เจ้า เจ้ากลับไม่กล้ารับไว้ เจ้ายังจะบำเพ็ญเซียนอะไรอีก? หากมิใช่เพราะประมุขของพวกเรากำลังอยู่ในขั้นตู้เจี๋ย พวกเราก็คงไม่แบ่งโอกาสเช่นนี้กับเจ้า!” โจวต้าเฉิงทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาทีหนึ่ง “เอาล่ะ เรื่องนี้อารามเต๋าหลินเซียนของพวกเราก็ทำได้เช่นกัน ไปกันเถอะ!”
“สหายเต๋าโจวอย่าได้โกรธเลย เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ อาจกระทบไปถึงโลกบำเพ็ญเซียน ข้าย่อมต้องพิจารณาให้รอบคอบ”
กู้ฉางชิงรีบเอ่ย “หากต้องไปสู้กับตระกูลหลิ่วจริง ก็ต้องรอให้การผนึกเสร็จสิ้นลงก่อน การผนึกจะครอบคลุมทั่วทั้งหมดในคืนนี้ ไม่เช่นนั้นพวกท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้นข้าจะให้คำตอบพวกท่าน”
โจวต้าเฉิงเดินออกจากห้องโถงไปดื้อๆ พูดอย่างชิงชัง “ขี้ขลาดตาขาว น่าเบื่อ!”
พวกฉินม่านอวิ๋นก็เดินตามออกไป นั่งใต้ศาลาที่อยู่ไม่ไกล
ฉินม่านอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไม่ต้องโกรธแล้ว ผู้อาวุโสกู้คอยปกป้องทางเข้าโลกมารตลอดทั้งปี ความรับผิดชอบใหญ่หลวง รอบคอบระมัดระวัง บ่มเพาะกลายเป็นนิสัยสุขุมเยือกเย็นของเขา อาศัยเพียงคำพูดของพวกเราฝ่ายเดียว แล้วคิดจะให้เขากวาดล้างตระกูลหลิ่ว คงเป็นไปได้ยากยิ่ง ต้องให้เวลาเขาสักหน่อย”
จักรพรรดิลั่วมุ่นคิ้ว “หรือจะต้องพาเขาไปพบผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ล่ะ? ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เกรงว่าอาจจะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ขุ่นเคือง”
โจวต้าเฉิงเอ่ยขึ้น “หากไม่ได้จริงๆ พวกเราอารามเต๋าหลินเซียนทั้งหมดออกโรงเองก็ได้! ถึงแม้ประมุขจะเก็บตัวบำเพ็ญ แต่พวกเราก็หาได้หวาดกลัวกับแค่ตระกูลหลิ่วที่มีขั้นเหอถี่!”
“เวลาเช่นนี้จะรบกวนผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้เด็ดขาด!” ฉินม่านอวิ๋นรีบเอ่ย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ถอนใจอย่างอดไม่ได้ “เฮ้อ พวกเรามุ่งมั่นต้องการขจัดปัญหาให้ผู้ยิ่งใหญ่ คิดไม่ถึงว่าเรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ พวกเราจะยังมีหน้าไปพบเขาได้อย่างไร?”
ทุกคนต่างขมวดคิ้วเป็นปม
สำหรับกู้ฉางชิงเหมือนกับตกอยู่ในสงครามของผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งเรียกสองพี่น้องกู้จื่อเหยามาให้ความเห็น
เขามีความรู้สึกบางอย่าง ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ หากเลือกดี ไม่แน่ว่าตนอาจได้เดินอยู่บนฟ้า กลายเป็นเซียน หากเลือกไม่ดี แปดส่วนในสิบจำต้องเหน็บหนาว!
หลายปีมานี้ เขาใช้ความคิดพิจารณาอย่างรอบคอบมาเสมอ ตัดสินใจเรื่องสำคัญทั้งหมดได้ถูกต้อง จึงสำเร็จเช่นทุกวันนี้ และยังนำพาให้หุบเขาเมฆาครามเจริญรุ่งเรืองไปพร้อมกัน
เวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ไม่นานความมืดก็เข้าปกคลุมทั่วดินแดน
“ซ่าๆๆ!”
ฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในหลายจุดเริ่มมีระดับน้ำที่ลึกมาก จากสายน้ำเล็กๆ ก็เริ่มไหลเชี่ยวและเอ่อล้นออกมา
หอคอยสูงที่เคยคึกคักไม่เหลือคนแม้แต่คนเดียว ผู้คนต่างหลบเข้าที่พัก และส่วนใหญ่ก็เข้านอนกันแล้ว
ภายใต้ความกระวนกระวายใจ กู้ฉางชิงเหาะฝ่าฝนขึ้นไปเหนือห้องโถง ลอยอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองดูหุบเขาเมฆาคราม
เขายกมือขึ้นสัมผัสหยาดฝนที่ตกลงทั่วผืนฟ้า จู่ๆ ภายในใจก็สั่นระรัว หากตนไม่ไปกำจัดตระกูลหลิ่ว คงมิใช่ว่าฝนจะตกไปเรื่อยๆ หรอกกระมัง? จนกว่าจะท่วมมิดทั้งหุบเขาเมฆาครามของตน?
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ นี่ต้องเป็นแค่สิ่งที่ตนคิดไปเองเป็นแน่!
สายตาของเขาเหลือบมองส่วนลึกของหุบเขาเมฆาครามที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุดด้วยความเคยชิน เรียวคิ้วเริ่มขมวดแน่น
หากครั้งนี้ตนเลือกเดินทางผิด แม้นตัวตายก็มิใช่เรื่องใหญ่ ทว่าทางเข้าโลกมารแห่งนี้ผู้ใดจะดูแล?
บัดนี้ เขาคิ้วขมวดย่นอย่างรุนแรง
หือ?
ภายในความมืดมิดนั้นคล้ายกับมีบางอย่างเคลื่อนไหว
ดวงตาฉายประกายวาบผ่าน เขาจ้องมองแน่นิ่ง ทันใดนั้นก็ตื่นตกใจ ขนลุกชันไปทั้งตัว
มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ!
เงาดำนั้นคล้ายกับหลอมรวมเข้ากับความมืด ค่อยๆ ข้ามผ่านเส้นทางค่ายกลเพลิงทีละนิด มุ่งไปยังทิศที่ธงสีแดงผืนนั้นลอยอยู่กลางอากาศ
เขาโกรธจนเบ้าตาแทบแตก เลือดในร่างกายพลุ่งพล่าน ตะโกนเสียงดัง “เดียรัจฉานช่างใจกล้านัก กล้ามาก่อกวนหุบเขาเมฆาครามของข้า ตายซะเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นศรยาว เข้าโจมตีราวกับพุ่งผ่านอากาศธาตุ!
เสียงของเขาทำให้ทุกคนในหุบเขาเมฆาครามตื่นตกใจ พวกฉินม่านอวิ๋นต่างมองหน้ากัน สีหน้าตื่นตระหนก จากนั้นไม่กล้ารอช้า ต่างแปลงกายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
เงาดำนั้นก็ยังตกใจเช่นกัน เห็นกู้ฉางชิงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ดวงตามีประกายโหดเหี้ยมวาบผ่าน
มันร้องคำราม ไอดำรอบตัวหมุนวน ห่อหุ้มตนเองกลายเป็นลูกทรงกลมสีดำสนิท และพุ่งผ่านเส้นทางค่ายกลเพลิงทีละชั้น หมายจะมุ่งตรงไปยังธงสีแดง!
“โฮกกก!”
ทุกครั้งที่เงาดำข้ามผ่านเส้นทางค่ายกลเพลิงจะเกิดเสียงดังสนั่นรุนแรง และตามมาด้วยเสียงร้องคำราม ยิ่งมืดสลัวลงทุกที
ทว่าเพียงเสี้ยวพริบตา เงาดำก็มาถึงข้างธงสีแดงผืนเล็กนั้นเสียแล้ว
“สารเลว เจ้ากล้าเรอะ?!”
กู้ฉางชิงแผดเสียงคำราม กลางฝ่ามือปรากฏวงแหวนไฟวงหนึ่ง ขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม เพียงแขนเสื้อขยับเล็กน้อย ก็กลายเป็นวงแหวนหกวงที่ลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิง แสงไฟนั้นแทบจะสว่างไปทั่วทั้งฟ้า พุ่งเข้าล้อมเงาดำนั้นราวกับดาวตกไล่ตามดวงจันทร์!
………………………………………………