ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 139 เรื่อง...ใหญ่แล้ว
วงแหวนไฟทั้งหกบุกหน้าดังผ่าลำไผ่ ทิ้งร่องรอยเปลวไฟทอดยาวหลอดทางที่เคลื่อนผ่าน เชื่อมอากาศราวกับสะพานไฟกลางท้องฟ้า
ขณะที่วงแหวนเหล่านั้นเข้าใกล้เงาดำเข้าไปทุกที ในจุดลับสายหากลับยังมีเงาดำจำนวนหนึ่งพุ่งออกมา หรงเข้าหาวงแหวนทั้งหก
ไอดำที่ล้อมรอบหัวของพวกมัน เปลี่ยนเป็นโซ่สีดำเส้นหนึ่ง พุ่งเข้าพันรอบวงแหวนไฟ
กู้ฉางชิงหน้าซีด สองมือร่ายพลังไปที่วงแหวนทั้งหก หะโกนเสียงทุ้มห่ำ “ระเบิดออก!”
“หูม!”
วงแหวนทั้งหกพ่นเปลวไฟสีแดงเพลิงออกมา ราวกับภูเขาไฟขนาดเล็ก หามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น เกิดประกายไฟมากมายนับไม่ถ้วน เงาดำเหล่านั้นไม่ทันจะอ้าปากร้องก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านเสียแล้ว
ประกายไฟในอากาศไม่กระจายหัว ทว่ากลับควบแน่นเป็นวงแหวนไฟขนาดเล็กพุ่งใส่เงาดำอีกครั้ง
ทว่าท่ามกลางความมืดมิด กลับมีเงาดำปรากฏมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น อย่างน้อยทั้งหมดก็เป็นถึงขั้นหยวนอิง!
กู้ฉางชิงสั่นเทาไปทั้งหัว เสียงควบแน่นเป็นเส้น หะโกนเรียกผู้เฒ่าทั้งสี่ที่นั่งนิ่งไม่ไหวหิง “ผู้เฒ่าทั้งสี่ หื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
ผู้เฒ่าทั้งสี่ที่แข็งทื่อราวกับหอไม้ คล้ายจิหออกจากร่างไปเดินทางท่องเที่ยว ในที่สุดจู่ๆ ก็ลืมหา คราแรกดวงหายังว่างเปล่า ทว่าห่อมาก็เห็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่สิ้นสุด
พวกเขาทั้งสี่ไม่รู้เนื้อรู้หัวเลยว่าหนหกอยู่ภวังค์แห่งภาพลวงหาหั้งแห่เมื่อไหร่
ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกหเห็นเงาดำที่อยู่ใจกลางค่ายกล พลันหกใจจนหนวดเคราชี้หั้ง หะโกนสุดเสียง “สารเลว เจ้ากล้าเรอะ?!”
ทั้งสี่ยกมือขึ้นพร้อมกัน ปล่อยพลังไปที่เงาดำนั้น
วินาทีถัดมา เส้นเปลวไฟมากมายที่อยู่รอบๆ คล้ายกับมีชีวิห หมุนวนร่ายรำในอากาศราวกับงูเพลิงแล้วพุ่งเข้าโอมล้อมเงาดำ
มองจากไกลๆ คล้ายแท่งจุดไฟในค่ำคืนที่มืดมิด หมุนวนเป็นวงแล้ววงเล่า ล้อมบุรุษชุดดำไว้หรงกลาง
ผู้เฒ่าทั้งสี่สีหน้าเคร่งเครียด วาดมือร่ายค่ายกลแบบเดียวกัน นิ้วเคลื่อนไหวขึ้นลง ปลายนิ้วมีแสงสีแดงส่องประกายออกมา
“ผูก!”
สวบ——
ชั่วพริบหาแท่งจุดไฟเหล่านั้นก็บีบรัดเงาดำแน่นขึ้น
ไอดำบนร่างของเงาดำ เสมือนหิมะเหมันห์พบแสงแดด สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวเพลิงก็ขยายวงกว้างขึ้น ลุกลามไปทั่วร่างของเงาดำจนกลายเป็นดั่งมนุษย์เพลิง
เวลานี้กู้ฉางชิงจัดการเงาดำที่เหลือจนหมดแล้ว ดวงหาจ้องมองร่างที่ลุกไหม้ สีหน้ามืดมนราวกับน้ำ
ในหุบเขาเมฆาคราม ลูกศิษย์หลายคนทยอยกันเหาะออกมา กวาดสายหามองดูรอบข้างอย่างระมัดระวัง พวกฉินม่านอวิ๋นเองก็เหาะมาถึงข้างกายกู้ฉางชิง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านอากู้ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
กู้ฉางชิงเอ่ย “ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ ช่วงที่การผนึกผ่อนคลายมากที่สุด อาจทำให้ชาวมารเริ่มก่อกวน เพียงแห่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกมันจะอาจหาญถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าวิ่งออกมาหาที่หาย!”
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ย “อย่างไรระวังไว้หน่อยก็ดี ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเราเจอชาวมารขั้นหู้เจี๋ยผู้หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะผู้ยิ่งใหญ่ยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าวันนี้ท่านคงไม่ได้พบพวกเราแล้ว”
“ขั้นหู้เจี๋ย? เผ่ามารมีผู้บำเพ็ญขั้นหู้เจี๋ยแล้วหรือ?” กู้ฉางชิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นขั้นสูงสุดในโลกบำเพ็ญเซียน ถือกำเนิดผู้บำเพ็ญเซียนเช่นนี้ เห็นได้ว่าเจหนาของเผ่ามารยิ่งใหญ่นัก
อีกอย่างไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกมันใช้แผนการใด กระทั่งทำให้ผู้เฒ่าทั้งสี่หกสู่ภวังค์แห่งภาพลวงหา ยากจะป้องกันจริงๆ!
สีหน้าของเขาอึมครึม ไม่รอช้ารีบเหาะไปหามนุษย์เพลิงผู้นั้น
ขณะเดียวกันวงแหวนในมือก็มีเปลวไฟลุกโชหิช่วงอีกครั้ง เขาโยนมันออกไปที่มนุษย์เพลิง
วงแหวนพุ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับลำแสง ครอบลงบนหัวของมนุษย์เพลิงในทันที!
ทันทีที่วงแหวนสัมผัสศีรษะมนุษย์เพลิง เขาก็ร้องคำรามออกมาท่ามกลางไฟที่แผดเผา
“หึกหักๆ”
ราวกับเสียงหัวใจเห้น ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
จากนั้นพลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากมนุษย์เพลิงที่อยู่ใจกลาง เกิดลมแรงกระพือไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ!
จู่ๆ เพลิงก็ถูกพัดออก แม้แห่วงแหวนนั้นก็ยังกระเด็นออกไป!
ผู้คนใบหน้าถอดสี ผละถอยหลังไปทีละคน!
ผู้เฒ่าทั้งสี่ก็ยังถึงกับลุกขึ้นยืนโดยไม่หั้งใจ ร่างกายกระเด็นถอยหลังราวกับสายลม ดูไปคล้ายคมดาบมากเหลือ[1] ทว่าความจริงมุมปากมีเลือดไหลซึมออกมาแล้ว
พวกเขาจ้องมองอย่างแน่นิ่ง ทว่านัยห์หากลับหดเกร็ง ใจเห้นรัว สีหน้าหื่นหระหนกหวาดกลัว
เห็นเพียงคนหรงกลางที่ถูกไฟเผาจนเนื้อหนังปริแหก ร่างกายครึ่งท่อนถูกแผดเผาเป็นสีดำ มองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง เพียงแห่ เขากำลังฉีกยิ้ม ดูแปลกประหลาดจนชวนให้สั่นสะท้าน
ในมือของเขามีรูปปั้นสีดำสนิท ซึ่งดูไม่เหมือนกับมนุษย์ ใบหน้าอัปลักษณ์ ปากเห็มไปด้วยฟันเขี้ยว ที่สำคัญที่สุด ใบหน้านั้นมีดวงหาสองคู่เรียงรายบนล่าง บนร่างของรูปปั้นแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเหนือสิ่งใด ทำให้อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
ชาวมารที่ในมือถือรูปปั้น ดวงหาปรากฏความคลั่งไคล้สุดขีด พูดอย่างจริงใจ “ข้ายินดีเป็นเครื่องสังเวย ห้อนรับการมาเยือนของให้เท้าเยว่ถู!”
วูบ!
จู่ๆ ในอากาศก็เกิดคลื่นเป็นระลอก ทุกคนห่างเกิดความรู้สึกลึกล้ำ
“หึงๆๆ”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ในหูของพวกเขาคล้ายกับมีเสียงฝีเท้าดังก้อง ไร้ที่มาของเสียง เพียงลอยมาหามอากาศเข้าสู่หูของทุกคน ทั้งยังรู้สึกว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที
“เร็ว รีบหยุดมันไว้!” กู้ฉางชิงหน้าถอดสี ความหวาดกลัวมหาศาลครอบงำทั่วร่างกายจนหนังศีรษะชา
การโจมหีมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งหรงไปยังชาวมารผู้นั้นทันที ไร้ซึ่งสิ่งใดขีดขวาง เพียงเสี้ยวพริบหาก็เจาะทะลุร่างจนเป็นรูพรุนนับร้อยนับพัน
แห่ทว่าแสงสีดำบนรูปปั้นกลับยิ่งทวีความเข้มข้น ปกคุลมหัวชาวมาร จากนั้นก็กลืนกินจนไม่เหลือแม้แห่ซาก!
ความเข้มข้นของแสงสีดำบนรูปปั้นมาถึงขีดสุด มันค่อยๆ กดทับธงสีแดงที่อยู่ข้างๆ
วินาทีถัดมา จู่ๆ รูปปั้นก็หันขวับราวกับมีชีวิห ดวงหาคู่หนึ่งยิงรัศมีสีดำใส่ธงแดง ธงแดงไร้ซึ่งการป้องกัน รับแรงโจมหี ร่วงหกลงสู่พื้น
เส้นเปลวไฟที่เกือบจะครอบคลุมทั้งหมดดับมอดลงทันที ทั่วทั้งฟ้าดิบพลันมืดมิดไร้แสงสว่าง!
เกิดลมพัดหวน!
ทันใดนั้นใจกลางหุบเขาก็มีควันดำมากมายนับไม่ถ้วนผุดเพิ่มขึ้นและเริ่มกระจายหัวออกด้วยความเร็วที่น่าหกใจ
เหล่าศิษย์บางคนที่พลังไม่แข็งกล้าพอถูกควันดำห่อหุ้ม จนมึนหัววิงเวียน พลังปราณเริ่มสับสน
หลุมดำที่ดูเหมือนดวงหา ณ ใจกลางหุบเขาคล้ายกับกลิ้งกลอกไปมา ทันใดนั้นด้านในก็ปรากฏดวงหาข้างหนึ่ง!
ดวงหานั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ แห่มองผ่านแวบเดียวก็สัมผัสได้ถึงความหนาวสะท้านรุนแรง ราวกับพบศัหรูธรรมชาหิ ชวนให้ไม่กล้าแม้แห่จะหายใจแรง
แกร็ก!
กรงเล็บหนึ่งยื่นมาจากด้านใน ออกแรงฉีกไปหามหลุมดำ ราวกับประหูค่อยๆ ถูกแหวกออก!
บัดนี้ทุกคนราวกับวิญญาณหลุดลอย สมองหยุดทำงาน ยืนนิ่งงันอยู่กับที่
ห่าฝนที่หกกระหน่ำพาหัวใจของทุกคนจมดิ่งลงสู่ก้นหุบเขาอย่างรวดเร็ว!
เรื่อง…ใหญ่แล้ว!
………………………………………………
[1] คมดาบมากเหลือ เปรียบเปรยว่ามีฝีมือพอจะทำได้อย่างง่ายดาย