ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 140 มารถือกำเนิด
กู้ฉางชิงสั่นสะท้าน ได้สติกลับคืนมา
ความหวาดกลัวสุดขีดพาดผ่านดวงตา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ทุกคนอย่ามองตาอสูรร้ายนั่น ทำจิตใจให้มั่นคง ช่วยกันร่ายพลังไปพร้อมข้า!”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็พุ่งตัวออกไปแล้ว สองมือตวัดร่ายพลัง ชี้ไปที่ธงแดงที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น แสงแห่งเปลวเพลิงเชื่อมต่อระหว่างทั้งสอง ทันใดนั้นธงสีแดงที่มืดดับอับแสงก็กลับมา ามีพลังอีกครั้ง มันสั่นไหวเบาๆ และลอยเคลื่อนขึ้นสู่อากาศดังเดิม
เปลวไฟพุ่งออกมาไม่สิ้นสุดราวกับสายน้ำไหล กระจายไปสู่ควันดำรอบทิศทาง เส้นเปลวไฟที่ดับไปแล้วก็ติดขึ้นอีกครั้ง
แต่เมื่อเผชิญกับควันดำที่มีมากมายไม่สิ้นสุด เปลวไฟเหล่านั้นก็ดูจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยเกินไป ริบหรี่ราวกับหิ่งห้อย คล้ายเปลวเทียนที่วูบไหวไปมาในสายลม เหมือนจะดับลงได้ทุกเมื่ อ
“ครืน——”
เสียงสั่นสะเทือนดังออกมา กลับเห็นว่าใจกลางหลุมดำขยายใหญ่ขึ้นมากด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา!
สิ่งที่อยู่ด้านในเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาครึ่งหนึ่ง ดวงตาทั้งสี่จ้องเขม็งมองคน ชวนให้รู้สึกน่าขนลุกจากด้านหลัง
ผู้คนกล้าชำเลืองมองเพียงคร่าวๆ ก็รีบถอนสายตาออกอย่างรวดเร็ว
ดวงตานั้นมีพลังทำให้จิตใจคนสับสน!
แม้เป็นเพียงแวบเดียว แต่พวกเขาก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าดวงตานั้น เหมือนกับดวงตาของรูปปั้นที่ชาวมารถือไว้ในมือไม่มีผิดเพี้ยน
นี่คือ…มารที่ถูกอัญเชิญจากโลกมารหรือ?
ชาวมารกลุ่มนี้ย่อมรู้ดีว่าไม่อาจทำลายการผนึกจากด้านนอก ไม่รู้ว่าจะใช้วีธีการใด ในที่สุดก็สามารถเรียกมารออกมาได้ และทำลายผนึกจากด้านใน?
พวกเขาไม่กล้าจะจินตนาการ รู้สึกแต่หนังศีรษะตนเองจะระเบิดออกมา เพราะหวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
หากเป็นมารจากโลกมารจริง นอกเสียจากว่ามีเซียนลงมาจุติด้วยตนเอง โลกทั้งโลกบำเพ็ญเซียนก็คงจะจบสิ้นแล้ว!
พวกเขารวบรวมพลังปราณทั้งหมดที่มีส่งไปที่ค่ายกลใหญ่ของกู้ฉางชิงอย่างไม่ลังเล
ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ปล่อยพลังพร้อมกัน พลังปราณทั้งหมดมาบรรจบกันที่ข่ายพลังใหญ่ราวกับแม่น้ำทั้งหลายที่ไหลกลับสู่ทะเล
ทันใดนั้นเปลวไฟของธงสีแดงก็ลุกโชนขึ้น ค่อยๆ เคลื่อนไปบรรจบกันที่ใจกลางหุบเขาทีละนิด
จุดที่อยู่ห่างจากหุบเขาเมฆาครามไกลออกไปหนึ่งร้อยลี้
ลำแสงสองเส้นเคลื่อนมาด้วยความเร็ว พวกเขาก็คือผู้เฒ่าทั้งสองที่ใบหน้าผ่ายผอม คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีน้ำตาล อีกคนหนึ่งสวมชุดสีเทา สีหน้าเจือไปด้วยความวิตกกังวลปนบูดบึ้ง
ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ติดตามการส่งสัญญาณเสียงได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหัว สีหน้าหม่นหมองดั่งห้วงน้ำ เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ดูจากแผ่นหยกส่งสัญญาณ แปดส่วนเกรงว่าองครักษ์ข้างกายนายน้อยจะตายหมดแล้ว!”
ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลมุมปากกระตุก ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ใครกันช่างรนหาที่ตาย กล้าลงมือกับนายน้อย คิดว่าตระกูลหลิ่วของเรากลั่นแกล้งง่ายนักรึ?”
“คิดว่าคนผู้นั้นหากไม่บ้า คงไม่กล้าสังหารนายน้อย แต่ไม่ว่าเป็นใคร ต่อให้ฉีกร่างกระชากวิญญาณก็ยังไม่พอจะสงบโทสะตระกูลหลิ่วของเรา!”
ตอนนี้เอง ในใจพวกเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงหยุดค้างกลางอากาศแล้วมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปด้วยความแปลกใจสงสัย
แม้ยามนี้จะดึกดื่นแล้ว แต่ก็สามารถแยกแยะได้ชัดเจน ความมืดทางฝั่งนั้นเข้มข้นมากกว่า ราวกับถูกความดำมืดถึงขีดสุดกลุ่มหนึ่งเข้าปกคลุม
ผู้เฒ่าชุดเทาสูดหายใจเฮือก คิ้วขมวด พูดอย่างประหลาดใจ “บรรยากาศแปลกยิ่งนัก ทางนั้นดูเหมือนจะเป็นหุบเขาเมฆาครามนี่! เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“คิดว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้นที่พิธีผนึกมารเมฆาคราม เหอะๆ ดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเรา เป็นโอกาสของเราแล้ว!” ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลลูบเครา เผยรอยยิ้มร้ายกาจยากหยั่งถึง
“ผู้พิทักษ์ใหญ่ หมายความเช่นไร?”
ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ “เจ้านี่นะ สองพันกว่าปีมาแล้ว ความลับที่ตระกูลหลิ่วของเราได้ผงาดขึ้นมา เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ?”
ผู้เฒ่าชุดเทาพูดอย่างถ่อมตน “ขอท่านผู้พิทักษ์ใหญ่โปรดชี้แนะ”
“เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้าให้” ผู้พิทักษ์ใหญ่ยิ้มจางๆ “เจ้าต้องรู้ว่า เมื่อที่อื่นยิ่งโกลาหล ก็ยิ่งเป็นโอกาสของเรา! ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวใหญ่โต ย่อมมาพร้อม มกับความพินาศและชีวิตใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น พวกเราแค่ต้องทำเพื่อตนเองไม่สนใจสิ่งอื่น ก็จะสามารถตักตวงผลประโยชน์ท่ามกลางความพินาศมาได้!
อย่างเช่นครั้งนี้ หุบเขาเมฆาครามเกิดเรื่องใหญ่ พวกเรารีบไปตอนนี้ หากหุบเขาเมฆาครามไม่เหลืออยู่แล้ว เช่นนั้นของของหุบเขาเมฆาครามก็ย่อมเป็นของเรา! หากหุบเขาเมฆาครามต้องการให้เ เราช่วย เราก็สามารถเสนอข้อแลกเปลี่ยนในราคาสูงได้! หากเหตุการณ์ในหุบเขาเมฆาครามยังไม่ใหญ่พอ เช่นนั้นเราก็ทำให้มันใหญ่กว่าเดิม แล้วก็เข้าสู่สองข้อก่อนหน้านี้!
เจ้า…เข้าใจรึยัง?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเผยสีหน้าประหลาดใจ ชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “สมกับเป็นท่านผู้พิทักษ์ใหญ่ เฉียบแหลม เฉียบแหลมยิ่งนัก!”
“ฮ่าๆๆ ไม่อย่างนั้นเหตุใดผู้พิทักษ์ใหญ่ถึงเป็นข้า ไม่ใช่เจ้าล่ะ จำไว้นะ เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก”
ผู้พิทักษ์ใหญ่กระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะเอ่ยต่อ “หากหุบเขาเมฆาครามให้เราช่วย เราก็สามารถเสนอเงื่อนไข ถึงตอนนั้นให้เขาช่วยเราปิดกั้นหุบเขา ตามหาคนที่ทำร้ายนายน้อย และสับพวก มันเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”
ทั้งสองขี่ลำแสงมุ่งหน้าสู่หุบเขาเมฆาครามพร้อมเสียงหัวเราะสะใจ
…………
กลางหุบเขาเมฆาคราม ควันดำปกคลุมท้องฟ้า เกือบจะควบแน่นกลายเป็นกำแพงมืด แยกพื้นที่เป็นเขตอาคม ในควันดำเต็มไปด้วยความเย็นแปลกประหลาด ที่สามารถเจาะทะลุถึงกระดูกคน
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ใช้พลังถึงขีดสุดแล้ว ร่างกายสั่นไหวไม่มั่นคง
แม้แต่กู้ฉางชิงเองก็เหงื่อแตกพลั่ก ใบหน้าซีดเซียว จิตใจเกือบจะจมลงสู่ก้นเหว
ส่วนหลุมดำกลางหุบเขาได้ขยายออกไปอีกสามส่วน ร่างมารด้านในเผยออกมาจากหลุมดำบางส่วน สี่ตากลอกไปมาไม่หยุดนิ่ง ราวกับสัตว์ร้ายเลือกเหยื่อของตน
เวลานี้เอง ดวงตาของมันจ้องมองผู้เฒ่าท่านหนึ่งแห่งหุบเขาเมฆาคราม แสงสีดำแปลกประหลาดส่องประกายผ่านดวงตาทั้งสี่ ควันดำมากมายไม่สิ้นสุดเริ่มรวมเข้าหาผู้เฒ่าท่านนั้น
ทีแรกผู้เฒ่ามีสีหน้าตื่นตกใจ แต่ยังไม่ทันจะต่อต้าน ตัวเขาคล้ายกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ร่างกายล่องลอยออกไปหามารตนนั้น
มารตนนั้นอ้าปากกว้าง ขากรรไกรบนล่างเต็มไปด้วยเขี้ยวเรียงรายหนาแน่น แค่มองก็ชวนให้หนังศีรษะชา และแล้วผู้เฒ่าท่านนั้นก็ลอยเข้าปากมารตนนั้นไปเฉยๆ
“กร้วม!”
ปากของมารปิดลง เสียงเคี้ยวดังออกมา ฟังดูน่าขนพองสยองเกล้า
เพียงพริบตาความหนาวเหน็บปะทุขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจไปทั่วทั้งร่างกายของทุกคน ความหวาดกลัวมหาศาลเข้าครอบงำ จนเลือดในร่างกายแทบจะเป็นน้ำแข็ง!
คนผู้นั้นคือผู้เฒ่าแห่งหุบเขาเมฆาครามเชียวนะ เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นตู้เจี๋ย กลับไร้กำลังจะต้านทาน ถูกมารกินไปทั้งๆ อย่างนี้น่ะหรือ?
พวกเขามองเห็นทุกอย่าง ผลกระทบไม่ต้องเดาก็รู้ หน้าผากแทบจะระเบิดออกมา ความหวาดกลัวล้นทะลักถึงขีดสุด!