ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 141 คิดถึงๆๆ
กลางป่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลกับผู้เฒ่าชุดเทายังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด กำลังมองดูว่าจะมีโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์อะไรหรือไม่ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นฉากที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
สมองพวกเขามีเสียงหวึ่งๆ ราวกับอยู่ในความฝัน
หากบอกว่ามารตนนั้นทำให้พวกเขาตกตะลึง เช่นนั้นนกกระดาษนั่นก็ล้มล้างโลกทัศน์ของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
นี่มันของวิเศษอะไรกัน? สมบัติตระกูลเซียนก็ยังไม่มีสิ่งแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติเช่นนี้กระมัง?
ศาสตราเซียน?
พับกระดาษเป็นศาสตราเซียน?
ผู้เฒ่าชุดน้ำตาลสูดหายใจเฮือก เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “ผู้…ผู้พิทักษ์ใหญ่ เจอสถานการณ์เช่นนี้เราควรทำเช่นไร?”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เหลือบมองเขาเบาๆ ปราดหนึ่ง “เจ้าโง่รึเปล่า ยังต้องถามอีกรึ? ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างสัมพันธ์น่ะสิ! รีบตามข้ามาทำผลงานให้ดี!”
พวกฉินม่านอวิ๋นกำลังหารือว่าจะกำจัดตระกูลหลิ่วอย่างไร สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันมองไปทางความมืด
ก็เห็นผู้เฒ่าชุดน้ำตาลกับผู้เฒ่าชุดเทาเดินออกมาทีละคน ใบหน้าพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เอ่ยปากว่า “ผู้พิทักษ์กับรองผู้พิทักษ์ตระกูลหลิ่ว คารวะท่านผู้อาวุโส!”
“คนตระกูลหลิ่วรึ?” กู้ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น เผยสีหน้าประหลาดใจ
“ฉากเมื่อครู่ช่างตื่นเต้นยิ่งนัก พวกข้าทั้งสองรีบมาที่นี่ เตรียมจะลงมือช่วยเหลือ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฉากที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้น น่าทึ่งจริงๆ!”
น้ำเสียงผู้พิทักษ์ใหญ่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขามองฉินม่านอวิ๋น “ของวิเศษสิ่งนั้นของแม่นางเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ ไม่ทราบว่ามีที่มาใดหรือไม่”
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยเรียบๆ “ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งมอบให้ข้า”
“หือ? ผู้ยิ่งใหญ่?” ผู้พิทักษ์ใหญ่อึ้งไปเล็กน้อย กล่าวด้วยความอิจฉา “นึกไม่ถึงว่าแม่นางจะโชคดีถึงเพียงนี้ ได้พบเจอผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองมาด้วยเหตุใด?”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยว่า “ไม่ขอปิดบัง นายน้อยของพวกเราถูกคนชั่วทำร้ายที่นี่ พวกเราจึงรีบมา ด้วยเรื่องนี้จึงอยากให้ประมุขหุบเขากู้ช่วยเหลือสักหน่อย”
“อ้อ?” กู้ฉางชิงมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าบังเอิญรู้ว่า นายน้อยของพวกท่านได้ตายไปแล้ว”
“อะไรนะ?”
ผู้พิทักษ์กับรองผู้พิทักษ์สีหน้าเปลี่ยน ดวงตาฉายแววอาฆาต เอ่ยอย่างไร้ความปรานี “ขอประมุขแห่งหุบเขากู้โปรดบอกว่าเป็นผู้ใด!”
กู้ฉางชิงพูดติดตลก “อ้อ ก็คนที่พวกท่านเพิ่งเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่เมื่อครู่นี้ไงล่ะ พวกท่านว่าบังเอิญหรือไม่? แปลกใจไหม?”
ผู้พิทักษ์กับรองผู้พิทักษ์อ้าปากค้าง สมองดังหวึ่งๆ อึ้งอยู่กับที่ ไม่มีคำพูดใด
ความหนาวเหน็บผุดขึ้นจากฝ่าเท้า พุ่งทะลุขึ้นฟ้า จนหนังศีรษะพวกเขาชา หวาดกลัวถึงจุดสูงสุด
หลิ่วหรูเซิงเกิดอะไรขึ้น?
เขาเป็นหมูรึ? ถึงได้โง่จนไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น!
ผ่านไปนาน สีหน้าผู้พิทักษ์เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามระงับความหวาดกลัวในใจ ปั้นหน้ายิ้ม “บังเอิญจริงๆ เฮ้อ ดูท่าไม่พูดความจริงคงไม่ได้ เมื่อครู่ที่ข้าพูดไปเป็นเรื่องไ ไร้สาระ ทุกท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ต่อไปนี้ที่ข้าพูดถึงจะเป็นเรื่องจริง”
เขาเผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย เอ่ยด้วยความขมขื่น
“จริงๆ หลิ่วหรูเซิงมิใช่คนตระกูลหลิ่วอีกแล้ว เขาหักหลังตระกูลหลิ่ว จึงถูกตระกูลหลิ่วขับไล่ไปนานแล้ว! แต่กลับยังใช้ชื่อตระกูลหลิ่วบังหน้า เที่ยวก่อกรรมทำชั่วตามอำเภอใจ น่ารังเก กียจเป็นที่สุด ที่พวกข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อจับตัวเขากลับไป ตายแล้วก็ดี ตายแล้วก็ดี!”
รองผู้พิทักษ์ก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้แหละ หากไม่มีเรื่องใดแล้วพวกเราขอตัวก่อน ทุกท่านไม่ต้องส่ง”
เมื่อสิ้นเสียง พวกเขาก็หันหลังเตรียมตัวหนี
ทว่าวินาทีถัดมา งูไฟสายหนึ่งก็รัดพวกเขาไว้
หัวใจทั้งสองตกลงสู่ก้นเหว กล่าวด้วยความตกใจปนโกรธเกรี้ยว “ผู้อาวุโสกู้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
กู้ฉางชิงยิ้มตอบ “ท่านทั้งสอง ข้าไม่พูดคงไม่ได้ พวกท่านมาได้เสียพอดิบพอดี ข้าก็กังวลอยู่ว่าจะทำความดีชดเชยความผิดได้อย่างไร พวกท่านมาให้ถึงที่ เช่นนั้นก็ไม่พูดมากให้เสียเ เวลา ข้าจะส่งพวกท่านออกเดินทางเลยแล้วกัน!”
เพลิงงูไฟลุกโชน เพียงชั่วพริบตา ก็ไม่หลงเหลือเงาผู้เฒ่าทั้งสองอีกต่อไป
“นี่ก็ถือเสียว่าเป็นดอกเบี้ยแล้วกัน”
กู้ฉางชิงสูดหายใจ หันตัวกลับโค้งคำนับไปทางเซียนเค่อจวีอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยความสัตย์จริง “ฉางชิงรู้สึกผิดและละอายใจต่อการกระทำที่ไม่รู้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านผู้ ยิ่งใหญ่รอชมผลงานของข้า ให้ข้าได้ชดใช้ความผิดของตน!”
ผู้เฒ่าที่เหลืออีกสามคนได้รู้ว่าประมุขแห่งหุบเขาของตนเคยกระทำเช่นนี้มาก่อน ก็ตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือดและกลายเป็นสีดำ
“ประมุขหุบเขา ท่านเลอะเลือนแล้วรึ! นี่มิใช่ทำให้ทางแคบลงหรือ?”
“คำสั่งของผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ยังกล้าปฏิเสธ ประมุขหุบเขา ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินท่านต่ำไปจริงๆ”
“ตระกูลหลิ่วใช้อำนาจในทางที่ผิดจนเคยตัว สมควรได้รับภัยในครั้งนี้”
“เข่นนั้นยังรออะไรอยู่? เอาเวลาไปกวาดล้างตระกูลหลิ่วสิ!”
“ไปกันเถอะ!”
……..
วันรุ่งขึ้น
ท้องฟ้าสว่างด้วยแสงแรกของวัน หลี่เนี่ยนฝานยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้ว”
มองจากด้านใน โลกทั้งใบราวกับถูกชะล้าง ทุกอย่างกลับเหมือนใหม่ สดใสสวยงามอย่างมาก
“ต๋าจี่น้อย เช้านี้อยากกินอะไร? กับข้าวดูเหมือนจะเหลือไม่มากแล้ว”
“อะไรง่ายๆ ก็พอ” ต๋าจี่มองหลี่เนี่ยนฝาน ริมฝีปากบางขบเม้ม พูดด้วยความหงุดหงิด “น่าเสียดายต๋าจี่ทำอาหารไม่เป็น ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องลำบากคุณชายหลี่ให้ลงมือทำด้วยตนเอง”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ไม่เป็นไร อีกอย่างที่บ้านก็ยังมีเสี่ยวไป๋ไม่ใช่หรือ?”
เขาทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้อ ในวันที่ไม่มีเสี่ยวไป๋ คิดถึงเขาจริงๆๆ”
ทั้งสองทานอาหารเช้าที่เรียบง่าย ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาเบาๆ
“ก๊อกๆๆ”
“คุณชายหลี่อยู่หรือไม่?”
ตามมาด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อมของฉินม่านอวิ๋น
“แกร็ก”
หลี่เนี่ยนฝานเปิดประตู เห็นคนที่อยู่ด้านนอก ก็พูดด้วยความประหลาดใจ “เป็นพวกท่านเองรึ อรุณสวัสดิ์”
ฉินม่านอวิ๋น ลั่วซืออวี่และสองพี่น้องกู้จื่อเหยายืนอยู่นอกประตู
ฉินม่านอวิ๋นพูดเสียงต่ำ “คุณชายหลี่ เรื่องใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว”
นางยังมีความกังวลอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะเห็นสัญญาณฝนหยุดตก นางคงไม่กล้ามารบกวนหลี่เนี่ยนฝาน
หลี่เนี่ยนฝานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจโล่ง “ลำบากพวกท่านแล้วจริงๆ”
ฉินม่านอวิ๋นใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย รีบเอ่ย “คุณชายหลี่ จริงๆ แล้วสองท่านนี้คือบุตรชายหญิงของประมุขแห่งหุบเขาเมฆาคราม เรื่องนี้เพราะพวกเขาถึงได้สำเร็จอย่างราบรื่นเช่นนี้”
หลี่เนี่ยนฝานมองสองพี่น้องกู้จื่อเหยาด้วยความประหลาดใจ แม้จะเดาได้ว่าทั้งสองมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงบุตรของเจ้าแห่งหุบเขา
ตนได้เกาะขาใหญ่เช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ฉันทำมื้อเช้าครั้งก่อนอย่างพิถีพิถัน
“อย่างไรก็ขอบคุณจริงๆ!” หลี่เนี่ยนฝานมองพวกเขา กล่าวเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “กินอะไรมาหรือยัง? ไม่เช่นนั้นเข้ามานั่ง มาดื่มสุราสักหน่อยหรือไม่?”
“ไม่…ไม่ต้องหรอก” กู้จื่อเหยากลืนน้ำลาย ปฏิเสธอย่างยากลำบาก
ครั้งนี้พวกเขารับคำสั่งจากท่านพ่อให้มาเอาใจผู้ยิ่งใหญ่ ทำความดีลบล้างความผิด แม้ผู้ยิ่งใหญ่จะเกรงใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะถือโอกาสขอกินฟรี
พูดออกไปพวกเขาคงไม่เชื่อ ข้าปฏิเสธพรมื้อนี้ด้วยตนเอง ผีเท่านั้นที่รู้ว่าข้าต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใด