ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 142 กัดฟัน
ฉินม่านอวิ๋นเรียบเรียงคำพูด แล้วจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “คุณชายหลี่ ผู้เฒ่าโจวและจักรพรรดิลั่วยังมีเรื่องต้องจัดการ พวกเราเกรงว่าต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะ”
หลี่เนี่ยนฝานตอบอย่างสบายๆ “เรื่องของพวกท่านสำคัญเร่งด่วน ย่อมไม่มีปัญหา”
พวกเขาช่วยเหลือตนมากมายเช่นนี้ เห็นแก่หน้าตน ให้ตนได้ขจัดความหดหู่ เรื่องเล็กแค่นี้เขาย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว
หลังจากเรื่องครั้งนี้ ต๋าจี่ก็มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป คาดว่าไม่เพียงแต่หวั่นไหวกับตน ยังถูกกลิ่นอายของตนดึงดูดด้วย
หลี่เนี่ยนฝานพึงพอใจ โกรธเพื่อนารี นี่สิถึงเป็นสิ่งที่บุรุษควรทำ
ฉินม่านอวิ๋นผ่อนลมหายใจ หัวใจสั่นไหว
ดูเหมือนหลี่เนี่ยนฝานจะรู้เรื่องที่พวกโจวต้าเฉิงไปกำจัดตระกูลหลิ่วแล้ว ถึงได้บอกว่าเรื่องของพวกเขาสำคัญเร่งด่วน คงรอให้ตระกูลหลิ่วจบสิ้นไม่ไหวแล้วกระมัง!
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า บ่นพึมพำ “น่าเสียดาย หากรู้ก่อนคงนำเยลลี่มามากกว่านี้อีกหน่อย”
ขณะที่พูด เขาก็นำขวดใสขนาดเล็กรูปทรงแปลกๆ ออกมาขวดหนึ่ง “ป๊อก” เสียงฝาขวดถูกเปิดออก จากนั้นก็เทเยลลี่ที่อยู่ด้านในออกมา
การกินเยลลี่แก้หิวในตอนเช้าเป็นนิสัยที่เคยชินของเขาไปแล้ว
หลังจากเยลลี่ปรากฏออกมา พวกฉินม่านอวิ๋นก็รู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิรอบตัวต่ำลง คล้ายกับมีความเย็นพัดผ่านผิวหนังของตน
สองพี่น้องกู้จื่อเหยายืนตะลึง ใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับมีคลื่นใหญ่โหมกระหน่ำ
หากข้าเดาไม่ผิด นั่นคือหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีกระมัง?
มิใช่สิ่งที่อารามเต๋าหลินเซียนมีหรอกหรือ?
จำได้ว่าหลายร้อยปีก่อนตนไปขอ ใช้เวลาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน พวกเขาถึงยอมแบ่งให้ตนอย่างตระหนี่เพียงสามหยด
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้สติคืนมา กลับเห็นหลี่เนี่ยนฝานอ้าปาก หยิบเยลลี่เข้าปาก เคี้ยวเบาๆ ครู่หนึ่งก็กลืนลงไป
หลี่เนี่ยนฝานอดมองทุกคนไม่ได้ เอ่ยปากถาม “เยลลี่นี้รสชาติใช้ได้เลย เย็นชื่นใจ สัมผัสกำลังดี พวกท่านอยากกินหรือไม่?”
ตอนแรกทุกคนผงะ แต่ต่อมาต่างก็ถอยออกไปก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ โบกมือส่ายหน้า รีบตอบ “คุณชายหลี่ ไม่ต้องหรอก พวกเราเพิ่งทานอาหารเช้ามา ยังกินอะไรไม่ลง”
หัวใจพวกเขาสั่นสะท้าน
นั่นมันหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีเชียวนะ พวกข้าต้องอยากได้อยู่แล้ว!
เพียงแต่…พวกข้าไหนเลยจะกล้าเอาเข้ามากินอย่างท่าน นี่ไม่ทำเป็นไอศกรีมเลยล่ะ?
เป็นของดี แต่ไม่มีวาสนาได้เสพสุข!
นางจิตใจไม่สงบพักหนึ่ง ก็รีบระงับความตื่นเต้นในใจลง กล่าวเชิญอย่างนอบน้อม “คุณชายหลี่ ยากนักจะมีโอกาสมาสักครั้ง ไม่อย่างนั้นไปเยี่ยมชมหุบเขาเมฆาครามของข้าดีหรือไม่?”
“ไปหุบเขาเมฆาครามรึ?”
หลี่เนี่ยนฝานมีแววตาสนอกสนใจ ตนมาที่โลกบำเพ็ญเซียนก็นานขนาดนี้แล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปสำนักบำเพ็ญเซียนเลย ไม่รู้ว่าด้านในเป็นอย่างไร อีกอย่าง ฝนเพิ่งหยุดตก เหมาะสมจะเดิ นทางท่องเที่ยวยิ่งนัก
เขาขยับเล็กน้อย เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ไปหุบเขาเมฆาครามจะรบกวนพวกท่านหรือไม่?”
สองพี่น้องกู้จื่อเหยาที่กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แอบดีใจยกใหญ่ รีบร้อนกล่าว “ไม่รบกวน ไม่รบกวนสักนิด”
เป็นสองพี่น้องที่มีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสียจริง
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอบังอาจไปเยี่ยมชมสักหน่อย รบกวนแล้ว”
กู้จื่อเหยายิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณชายหลี่เกรงใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายบันทึกท่องประจิม หรือการทำอาหาร ล้วนทำให้พวกเราประทับใจยิ่งนัก มีโอกาสมาถึงที่ของพวกเรา พวกเรา าย่อมต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี”
หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะ มีมิตรสหายเช่นนี้สุขสบายยิ่งนัก มีรสนิยม!
ทุกคนออกเดินทางจากเซียนเค่อจวี เข้าสู่หอคอยสูง
อากาศสดชื่นหลังฝนตกพัดปะทะใบหน้า ชวนให้หลี่เนี่ยนฝานสูดหายใจลึกอย่างอดไม่ได้ จิตใจพลันรู้สึกเบิกบาน
เมื่อทอดสายตามองออกไป ก็เห็นต้นไม้เขียวขจีปลิวไสวไปตามสายลม ใบไม้ยังมีละอองน้ำที่ไม่จางหาย กระโดดลงมาวาดโค้งที่สดใสในอากาศ ราวกับภูติน้อย
กลางเขาว่างเปล่าหลังฝนตก สดชื่นเย็นสบายราววสันตฤดู
หากเป็นโลกก่อน ที่นี่คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับห้าดาวที่ไม่เหมือนใครแน่นอน
หอคอยสูงสองฝั่ง แผงลอยที่ปิดไปเพราะฝนตกหนักกลับมาเปิดอีกครั้ง ต่างต้อนรับบรรยากาศใหม่นี้ ทุกคนเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมาอย่างอดไม่ได้
เดินไปตามหอคอย หลี่เนี่ยนฝานถึงได้สังเกตเห็นว่า ใจกลางหุบเขาที่อยู่ไม่ไกล เส้นทางไฟเหล่านั้นได้ดับมอดลงแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสี่ที่เคยเฝ้าอยู่ก็หายไป คล้ายกับว่าถูกฝนตกครั้ง ใหญ่หนักชะล้าง ดินโคลนที่เดิมทีสีดำสนิทก็ไม่เป็นสีดำเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
หลี่เนี่ยนฝานอดแปลกใจไม่ได้ “เอ๋? การผนึกสิ้นสุดแล้วรึ?”
กู้จื่อเหยาตอบอย่างกระอักกระอ่วน “อื้ม…ใช่แล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานพูดพึมพำ “เบากว่าที่ข้าคิดเอาไว้สักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะง่ายดายเช่นนี้”
คิดไม่ถึงว่านอกจากความตื่นเต้นตระการตาที่เห็นในตอนแรก จะแอบจบลงเงียบๆ เช่นนี้
เดิมทีหลี่เนี่ยนฝานหวังว่าจะยังมีจุดไคลแม็กซ์ในตอนสุดท้าย ไม่คิดว่าแค่เสียงฟ้าร้องฝนตกหนักสักหน่อย ก็จบแล้ว
ไม่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่เคยเห็นในโลกก่อน
ฉินม่านอวิ๋นที่ได้ยินเช่นนี้ราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้องในหู ชวนให้หนังศีรษะพวกเขาชาหนึบ เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวขมขื่น
ผู้ยิ่งใหญ่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ขนาดมารปรากฏตัวออกจากโลกมาร ก็คิดว่ายังเบาไป หากหนักกว่านี้ล่ะก็ แปดส่วนเกรงว่าพวกข้าคงต้องหนาวเหน็บแล้ว!
ใช่แล้ว นกกระดาษที่ผู้ยิ่งใหญ่พับเล่นๆ สงบความโกลาหลวุ่นวายลงได้ ย่อมต้องคิดว่าไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง เกรงว่าคงมีแต่ฟ้าถล่มลงมา ถึงจะทำให้เขารู้สึกได้บ้างกระมัง
โลกของลูกพี่ช่างน่ากลัวเสียจริง
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง การพูดคุยที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีหนทางจะสอดรับกันได้
กู้จื่อเหยาลอบส่งสายตาให้กู้จื่ออวี่ กู้จื่ออวี่เข้าใจได้ทันที รีบเดินนำไปสู่หุบเขาเมฆาคราม
ผู้ยิ่งใหญ่มาเยี่ยมเยียน ย่อมต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่อาจปล่อยให้มีเรื่องใดทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ไม่พอใจแม้เพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อม หรือเค้าโครงรูปแบบ ล้วนต้อง งสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเรื่องบุคคล ต้องมั่นใจว่าระมัดระวังเป็นอย่างดี หากมีคนเขลาสักคนสองคนทำตัวทะเล่อทะล่า ทั้งหุบเขาเมฆาครามคงต้องหนาวเหน็บ!
นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็อาจมีวิกฤติตามมาได้เช่นกัน จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด!
หลี่เนี่ยนฝานเดินตามพวกเขาไปจนถึงขอบหอคอยสูง
กู้จื่อเหยาโบกมือเบาๆ ก็มีกระเรียนสีขาวตัวหนึ่งกระพือปีกบินออกมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
กระเรียนสีขาวตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก มองดูจากไกลๆ คล้ายกับเมฆขาวขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ เพียงกระพือปีกเบาๆ ก็สามารถเหินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่มีแรงลมแม้สักนิด มันหยุดลงแ แทบเท้าทุกคน ต่ำกว่าหอคอยสูงเพียงหนึ่งขั้น
“คุณชายหลี่ เชิญ” กู้จื่อเหยาผายมือเชื้อเชิญ
หลี่เนี่ยนฝานสูดหายใจ จูงต๋าจี่เดินขึ้นไปช้าๆ
อันที่จริงเขารู้สึกใจโหวงๆ อยู่บ้าง แต่มาถึงยามนี้แล้ว ภายนอกก็แสร้งทำเป็นว่าสงบนิ่ง
เหมือนกับนั่งกระเช้าข้ามเขา ไม่มีหนทางให้หันกลับ ได้แต่กัดฟันต่อไปเท่านั้น