ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 143 ที่แท้ที่นี่คือโลกบำเพ็ญเซียนแห่งอารยะ
หลี่เนี่ยนฝานสองเท้าเหยียบหลังกระเรียนขาวด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อน
ทว่านาทีต่อมา เขากลับตะลึงไปเล็กน้อย
ต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ หลังของกระเรียนขาวแข็งแรงยิ่งนัก แม้จะอ่อนนุ่ม แต่กลับไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย ราวกับผืนดินที่ปกคลุมด้วยผ้าห่ม ไม่เพียงแต่ให้รู้สึกมั่นคง ยังสัมผัสนุ่มสบายเท้ามากทีเดียว
แม้ตนกับต๋าจี่จะขึ้นไปยืนข้างบนแล้ว แต่กระเรียนขาวก็ไม่มีท่าทีว่าจะซวนเซล้มลงเลยสักนิด ยังคงตั้งตระหง่านมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน
กู้จื่อเหยาเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหลี่ พวกเราจะเดินทางกันแล้วนะ”
พวกนางไม่ได้ขี่กระเรียนขาว ทว่าเดินทางด้วยลำแสง เรื่องนี้ทำให้หลี่เนี่ยนฝานเขินอายเล็กน้อย ทุกอย่างถูกจัดไว้ ทั้งยังตระเตรียมพาหนะพิเศษให้ตนอีกด้วย
แต่พาหนะพิเศษนี้ก็สบายจริงๆ แม้จะบินอยู่ แต่ไม่มีความรู้สึกโคลงเคลงแม้แต่น้อย
ยามกระเรียนขาวกระพือปีก กระดูกด้านหลังก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว หัวค่อยๆ เชิดขึ้นเล็กน้อย ขนที่ลำคอแผ่ออกเป็นที่กำบังลม มิให้หลี่เนี่ยนฝานตกใจกับแรงลมที่มาปะทะ
หลี่เนี่ยนฝานอดพูดด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “แม่นางกู้ กระเรียนขาวตัวนี้เจ้าเลี้ยงด้วยตนเองหรือ?”
กู้จื่อเหยายิ้มตอบ “นับว่าใช่แล้วกัน ที่จริงแล้วการเลี้ยงปีศาจก็เหมือนการเลี้ยงสัตว์ สัตว์บ้านกับสัตว์ป่าที่อยู่ข้างนอกต่างกัน แม้ว่ากระเรียนขาวตัวนี้จะบำเพ็ญตบะจนกลายเป็นปีศาจ แต่นิสัยอ่อนโยน ไม่รักการต่อสู้ จึงอาศัยอยู่ในหุบเขาเมฆาครามของเรา”
“มีปีศาจบินได้เช่นนี้ไม่เลวเลยทีเดียว” หลี่เนี่ยนฝานกล่าวด้วยความอิจฉา
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเลี้ยงพวกนั้นจะเปลี่ยนเป็นปีศาจได้หรือเปล่า คงจะยาก อีกกี่ร้อยปีก็ยังเอื้อมไม่ถึง แม้เต่าเฒ่าจะให้ตนขี่ แต่น่าเสียดายที่มันบินไม่ได้
เขาส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ตนเป็นเพียงปุถุชน เลี้ยงปีศาจบ้าบออะไร อย่าให้โดนปีศาจกินเสียก่อนเถอะ
ฉินม่านอวิ๋น ลั่วซืออวี่และกู้จื่อเหยาเข้าใจได้พร้อมกันโดยไม่ต้องเอ่ย พวกนางตื่นตัวต่อคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจนัยที่แอบแฝงของผู้ยิ่งใหญ่ได้ในทันที
มาแล้ว!
คำใบ้ของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าผู้ยิ่งใหญ่ต้องการปีศาจที่บินได้ ปีศาจธรรมดาๆ ใช้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าต้องหาปีศาจระดับสูงมาสักตัวแล้ว!
พวกนางฮึดในใจพร้อมกัน จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ
ระหว่างสนทนา ทุกคนก็เดินทางมาถึงเชิงเขาแล้ว
หลี่เนี่ยนฝานเพิ่งจะตระหนักว่าเชิงเขาแห่งนี้มิใช่จุดที่ต่ำที่สุด ทว่ายังมีหน้าผาลงไปอีก!
หน้าผาที่มองไม่เห็นก้นเหว ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน ต้องข้ามหน้าผานี้ไปจึงจะถึงหุบเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป จะเห็นว่าหุบเขาแห่งนั้นมีต้นหญ้าเขียวขจี ดอกไม้บานสะพรั่ง ต้นไม้ยืนเรียงราย ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเข้าใกล้ยังเห็นผีเสื้อโบยบิน ผึ้งหยอกล้อ อากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอม
กู้จื่อเหยายิ้มให้หลี่เนี่ยนฝาน และกล่าวว่า “คุณชายหลี่ พวกเรามาถึงแล้ว”
กระเรียนขาวกางปีกออก พาดลงบนฝั่งตรงข้าม กลายเป็นสะพานสีขาวให้หลี่เนี่ยนฝานก้าวลงอย่างมั่นคงราบรื่น
หลี่เนี่ยนฝานอดทอดถอนใจไม่ได้ “ทิวทัศน์ที่นี่งดงามยิ่งนัก”
“หากคุณชายหลี่ชอบ ก็สามารถมาเป็นแขกบ่อยๆ ได้” กู้จื่อเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มตอน “ฮ่าๆๆ ไม่จำเป็นหรอก แค่มาเที่ยวเป็นครั้งคราวก็พอ”
กู้จื่อเหยารีบกล่าวว่า “หากคุณชายหลี่ต้องการมา พวกเราต้อนรับเสมอ”
ทุกคนเดินไปตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีฟ้า ครู่หนึ่งหลี่เนี่ยนฝานก็รู้สึกได้ถึงความชื้นที่ตกกระทบใบหน้า บังเกิดความเย็นเยือก
หูได้ยินเสียง “ซู่ๆๆ” ซึ่งเป็นเสียงของน้ำไหล
เดินไปหลายร้อยก้าว ทางด้านหน้าก็กลายเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มันคือหุบเขาว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
น้ำตกสายหนึ่งไหลลงมาจากก้อนเมฆ คล้ายกับตกลงมาจากฟ้า กระทบโขดหินเกิดเป็นเสียงซ่าดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า ทางน้ำใหญ่และไหลเชี่ยว น้ำกระเซ็นออกไป ส่องสว่างระยิบท่ามกลางแสงตะวัน
ใต้น้ำตกปรากฏสายรุ้งเส้นยาวจากการรวมตัวของไอน้ำ ขณะเดียวกันก็มีปลาใหญ่มากมายเรียงรายกระโดดข้ามเป็นระยะๆ เหมือนกับปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกร ยามกระโดดข้ามสะพานสายรุ้ง ช่างงดงามจับตาราวกับอยู่ในภาพวาด
ต้องบอกว่าที่นี่สวยจริงๆ!
เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในอุดมคติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลี่เนี่ยนฝานมองดูน้ำตกอยู่ครู่หนึ่งก็เดินตามกู้จื่อเหยาต่อไป ด้านหน้าปรากฏหอคอยอารามตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าห่างออกไปไม่ไกลนัก มีร่างหนึ่งกำลังมองมาทางนี้ด้วยท่าทางกระวนกระวาย
แม่นางน้อยคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีเขียวพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? หยุดคาถาได้หรือไม่?”
“รอก่อน เจ้ารีบส่งผีเสื้อติดตามไปอีกหน่อย”
“ยังมีตรงนั้นอีก ระวังผึ้งหน่อย อย่าบังคับมากเกินไป หากไปต่อยแขกผู้ทรงเกียรติเข้าล่ะก็ตายแน่!”
“ปลา ดูเหมือนแขกผู้ทรงเกียรติที่มาจะชอบดูปลา ปล่อยปลากระโดดอีกสองสามครั้ง”
“ใครควบคุมลม? ให้ลมพัดเบาลงหน่อย ไม่เห็นหรือว่าผมของแขกผู้ทรงเกียรติปลิวแล้ว ลมอ่อนพัดผ่านแก้มน่ะรู้จักไหม?”
“เร็วเข้า แขกผู้ทรงเกียรติกำลังไปทางห้องโถงแล้ว เปิดประตูห้องโถง จำไว้ว่าต้องทำตัวให้ดี อย่างไรก็ห้ามรบกวนแขกผู้ทรงเกียรติเด็ดขาด!”
…….
เดินต่อไปด้านหน้ามีสายน้ำไหล
ศาลาตามลำน้ำถูกสร้างเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ กระแสน้ำไหลเอื่อย ขั้นบันไดทรงกระบอกตั้งบนลำธารให้ผู้คนเดินผ่าน
แต่ละศาลายังมีบรรดาลูกศิษย์ของหุบเขาเมฆาครามอยู่ด้านในด้วย
บ้างก็เล่นฉิน เสียงฉินบรรเลงแผ่วเบา บ้างก็รำดาบ เงาดาบกวัดแกว่ง บ้างก็แสดงสำบัดสำนวน สุขสบายเรียบง่าย ส่วนใหญ่กำลังฝึกบำเพ็ญ ใช้มนตร์คาถา ไม่ว่าจะยิงเปลวไฟ หรือก่อลูกบอลที่สวยงามจากกระแสน้ำ ชวนให้รู้สึกทึ่ง
ศาลาแต่ละหลังเสมือนม้วนภาพ สงบเงียบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลี่เนี่ยนฝานที่มองเห็น จิตใจก็สั่นไหวเล็กน้อย
ที่แท้ชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนก็หลากหลายอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ มิน่าตนถึงได้เจอผู้มีอารยะในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนอยู่บ้าง ที่แท้ที่นี่ก็คือโลกที่รวมอารยธรรม วรรณกรรมและการบำเพ็ญเซียนไว้ด้วยกัน เป็นเช่นนี้เอง
เมื่อเดินผ่านศาลาเหล่านี้ ด้านหน้าก็ปรากฏโถงใหญ่ตั้งตระหง่าน ยิ่งใหญ่และสง่างาม กลิ่นอายที่ดูยิ่งใหญ่ทำให้หลี่เนี่ยนฝานนึกถึงพระราชวังทองคำขึ้นมา
มีศิษย์หลายคนเดินไปมาอยู่ไม่ไกล บ้างก็เดินทางด้วยลำแสงลอยผ่านอากาศไปช้าๆ เมื่อพวกเขาเห็นหลี่เนี่ยนฝาน ก็หยุดและพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร
ทุกอย่างดูธรรมดาสามัญราวกับว่าพวกเขาทำเช่นนี้เป็นปกติ
กู้จื่ออวี่ยืนรออยู่ที่ประตูห้องโถง ส่งยิ้มให้หลี่เนี่ยนฝาน “คุณชายหลี่ เชิญเข้ามาเถิด”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม
จริงๆ แล้วโครงสร้างของห้องโถงมิได้ต่างจากด้านนอก เพียงแต่กว้างขวางและให้บรรยากาศมากกว่า
กู้จื่อเหยาทำสัญญาณมือให้ทุกคนนั่งลงโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น ทันใดนั้นสาวรับใช้รูปงามร่างสะโอดสะองสองสามคนก็ยกถาดเดินเข้ามา
วางถ้วยที่เติมน้ำจนเต็มลงตรงหน้าทุกคน
เมื่อฉินม่านอวิ๋นและลั่วซืออวี่หยิบถ้วยขึ้นมา สีหน้าก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นพร้อมกัน
นี่คือธาราปลุกจิต!
ลาภปากแล้ว ลาภปากแล้ว!
ข้ารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้มากับคุณชายหลี่ หุบเขาเมฆาครามต้องเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับอย่างแน่นอน
………………………………………………