ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 145 เคยบอกว่าหนึ่งดาบร่วมท่องสุดขอบโลก
ผู้มีอารยะเช่นนี้ต้องการเป็นเพื่อนกับตน
ไม่แน่ว่าอาจจะได้กอดขาใหญ่อีกขาก็เป็นได้
หลี่เนี่ยนฝานคิดอยากผูกมิตรอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ขอถามว่าภาพเหล่านี้เป็นผลงานของคนในหุบเขาเมฆาครามของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
กู้จื่อเหยาส่ายหน้า รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ไม่ใช่ ภาพทั้งสามนี้บรรพบุรุษของหุบเขาเมฆาครามได้มาด้วยโชคจากอาณาจักรลึกลับสามแห่ง ท่านพ่อของข้าชอบมันมาก จึงแขวนไว้ที่นี่ มาชื่นชมเป็นครั้งคราว”
อันที่จริงภาพวาดทั้งสามนี้ไม่ใช่ภาพวาดธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกแขวนไว้ที่โถงข้าง แม้แต่สองพี่น้องอย่างพวกเขาก็ยังเข้ามาชมไม่ได้ง่ายๆ วันนี้ทุกอย่างเปิดให้เข้าเยี่ยมชมเพื่อ หลี่เนี่ยนฝานโดยเฉพาะ
ทั้งลั่วซืออวี่และฉินม่านอวิ๋นต่างมองดูจนล่องลอย ไอเซียนของเซียน ไอมารของมาร และไอปีศาจของปีศาจล้วนทำให้พวกนางเกิดความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่าง
ผู้ที่สามารถวาดภาพนี้ได้จะต้องเป็นคนในตระกูลเซียนเป็นแน่ คนในภาพวาดก็คงไม่ใช่คนในโลกมนุษย์เช่นกัน!
หลี่เนี่ยนฝานเลิกคิ้ว ถอนหายใจเบาๆ “ที่แท้ก็มาจากที่ต่างๆ กันสามแห่ง”
ทันใดนั้นการประเมินภาพวาดทั้งสามของเขาก็ลดลงไปอีกระดับ
หากภาพเหล่านี้มาจากคนละคนกัน เช่นนั้นระดับของผู้วาดภาพก็ถือว่าธรรมดา การวาดภาพหลากหลายอารมณ์ กับวาดเพียงอารมณ์เดียว ความแตกต่างไม่ใช่น้อยเลย
นี่เห็นได้ว่าประมุขแห่งหุบเขาเมฆาครามก็เป็นอีกคนที่มีอารยะ อีกทั้งมาตรฐานภาพวาดของเขาก็ไม่ได้สูงนัก
พวกกู้จื่อเหยาผงะไปเล็กน้อย
หากได้ยินไม่ผิด น้ำเสียงของคุณชายหลี่ยามนี้ดูเหมือนกำลัง…ดูถูก?
ระดับของคุณชายหลี่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะจินตนาการได้เลยจริงๆ
“เอ๋?”
หลี่เนี่ยนฝานตกตะลึงครู่หนึ่ง เพิ่งพบว่ามีรูปปั้นสีดำที่ดูน่ากลัววางอยู่ใต้ภาพวาดซึ่งเป็นตัวแทนของมาร
เขาหยิบรูปปั้นขึ้นมาดูสักพักจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ที่นี่มีคนชอบแกะสลักด้วยหรือ? ฝีมือไม่เลวเลย ได้มาจากที่ใดหรือ?”
“เอ่อ นี่…”
กู้จื่อเหยาหน้าซีดเผือดในทันที นางรู้สึกเพียงหนังศีรษะชาหนึบ ร่างกายเกือบจะซวนเซ
ชั่วครู่เดียว นางก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา!
ไม่เพียงแค่นาง สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปกะทันหัน หัวใจเต้นถี่ แทบหยุดหายใจ
เพียงเพราะพวกเขามองข้ามสิ่งหนึ่งไป
มารที่ปรากฏเมื่อคืนนี้เป็นหลี่เนี่ยนฝานที่ขับไล่ไป ซึ่งหมายความว่ารูปปั้นนี้ก็ควรเป็นของเขา ทว่าพวกเขากลับลืมนำไปให้ และเก็บไว้เสียเอง!
บัดนี้ผู้ยิ่งใหญ่ถามถึง มิใช่เท่ากับถามหาความผิดหรอกหรือ?
มือและเท้าของกู้จื่อเหยาเย็นเฉียบ จึงได้แต่กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าบังเอิญเก็บได้เมื่อไม่นานมานี้ หากคุณชายหลี่สนใจ ก็เอาไปเถอะ”
“ฮ่าๆๆ ข้าเอาเครื่องอัดอากาศไปแล้ว จะเอาไปอีกคงไม่ได้” หลี่เนี่ยนฝานแย้มยิ้มส่ายหน้า วางรูปปั้นกลับที่เดิม
เมื่อเห็นว่าเขาไม่โกรธ ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หนังศีรษะของกู้จื่อเหยายังคงเยือกเย็น ภายในใจยากจะสงบอยู่นาน
นางหนาวเหน็บไปทั้งตัว รู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกิน
ต้องเป็นเพราะตนมอบไข่มุกปลุกจิต ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่สัมผัสได้ถึงความความจริงใจเป็นแน่ ผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่ถามไล่บี้ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงต้องเหน็บหนาวแล้วเป็นแน่
โชคช่วยจริงๆ!
กู้จื่อเหยาไม่จำเป็นต้องเตือน กู้จื่ออวี่ก็รีบเก็บรูปปั้นแล้วบรรจุพร้อมกับภาพวาดทั้งสาม เพื่อเตรียมจะมอบให้ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เรียบร้อยแล้ว
คนทั้งหมดออกเดินต่อ
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงสวนด้านหลังแล้ว
สิ่งที่หลี่เนี่ยนฝานไม่คาดคิดคือ นอกจากสวนด้านหลังของหุบเขาเมฆาครามจะปลูกดอกไม้และพืชจำนวนหนึ่งแล้ว ยังเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นส่วนใหญ่อีกด้วย
ในหมู่สัตว์เลี้ยงมีสัตว์หายากและแปลกประหลาดมากมายที่ทำให้ดวงตาของหลี่เนี่ยนฝานเบิกกว้าง
สวนด้านหลังใหญ่โตราวกับโลกของสัตว์ป่า มีสัตว์นานาชนิดวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ฉินม่านอวิ๋นและลั่วซืออวี่สบตากัน คุณชายหลี่ชอบกินอาหารป่าเสียจริง แม้แต่ยามที่เห็นสัตว์ แววตาก็ยังเปลี่ยนไป
“โอ้โห หมีอ้วนจัง!”
หลี่เนี่ยนฝานผงะไปครู่หนึ่ง สายตาตกกระทบมุมหนึ่งของสวนด้านหลัง แววตาประหลาดใจ
มันคือหมีดำตัวใหญ่ที่รูปร่างใหญ่มากๆ ในสัตว์จำพวกหมี ท้องของมันปูดออกมาราวกับเนินเขา กำลังนอนหลับสบายอยู่บนพื้น
ด้วยรูปร่างเช่นนี้คงยากสักหน่อยที่จะตื่นตัว
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ตกลงที่อุ้งเท้าหมี เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่สมัยอดีตอุ้งเท้าหมีเป็นอาหารโอชะที่หายากยิ่ง ที่ว่ากันว่าไม่อาจถือทั้งอุ้งเท้าหมีและปลา จำต้องสละปลาแล้วเอาอุ้งเท้าหมี
จำได้ว่าในละครทีวีที่ดูยามอยู่โลกก่อน อุ้งเท้าหมีก็เป็นของชั้นสูงเช่นกัน ตนอยากจะลองชิมมาตลอด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลย
แม้ว่าจะมาถึงโลกบำเพ็ญเซียนแล้ว ตนก็ยังไม่อาจกินอุ้งเท้าหมีอย่างที่คิดได้
กู้จื่อเหยาที่เฝ้าดูหลี่เนี่ยนฝานอยู่ตลอด รับรู้ได้ถึงการกลืนน้ำลายของหลี่เนี่ยนฝาน จากนั้นเมื่อมองตามสายตาเขาไป ก็พลันปรากฏสีหน้าเข้าใจ
นางแทบจะพูดออกไปอย่างไม่ต้องคิด “คุณชายหลี่ หมีตัวนี้อวบอ้วนแข็งแรง เป็นอาหารกลางวันที่เตรียมไว้ให้ท่านพอดี กำลังเตรียมคนลากไปเชือด”
“โอ้ มื้อกลางวันทานหมีรึ?” หลี่เนี่ยนฝานแสดงความสนอกสนใจ
สีหน้ากู้จื่ออวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองกู้จื่อเหยาอย่างไม่เชื่อสายตาและเอ่ยอย่างลังเลว่า “กิน…กินหมี?”
กู้จื่อเหยาหันมาจ้องมองกู้จื่ออวี่และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สงสัยเลยว่า “ใช่ กินหมี! เจ้ารีบไปเตรียมสิ!”
กู้จื่ออวี่ลดไหล่ลงทันที “อ้อ”
หัวใจเขาราวกับถูกกรีด หมีตัวนี้เขาตั้งใจจับมาจากป่าเพื่อเลี้ยงโดยเฉพาะ
เพราะหลังจากฟังบันทึกท่องประจิม เขาก็ชอบปีศาจหมีดำที่ไร้เดียงสาในเรื่องมาก แม้แต่พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ใช้ปีศาจหมีดำเฝ้าประตู เขาจึงอดจินตนาการจะทำเช่นนั้นไม่ได้
เขาเพิ่งพาหมีดำตัวใหญ่กลับมาอย่างกระตือรือร้น และป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างดีทุกวัน บางครั้งเขาก็กัดฟันมอบสมบัติล้ำค่าให้
คิดว่าต่อไปตนเดินทาง ก็จะมีปีศาจหมีดำที่องอาจยิ่งใหญ่คอยติดตาม ฉากนี้ต้องเท่มากแน่ๆ
ไม่ง่ายที่จะเลี้ยงหมีดำให้อวบอ้วนสมบูรณ์ขนาดนี้ มาบัดนี้จะฆ่าแกงเอามากินหรือ?
มันยังไม่ได้บำเพ็ญตบะเป็นปีศาจเลย เป็นแค่ทารกเท่านั้น
หัวใจกู้จื่ออวี่สั่นไหวเล็กน้อย เขามองพี่สาวด้วยแววตาที่น่าสงสาร
“ยัง ไม่ รีบ ไป อีก!” กู้จื่อเหยาพยายามใจเย็น กัดฟันพูดคำต่อคำ
กู้จื่ออวี่หดหัว เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เขารีบสาวเท้าเดินไปหาหมีดำที่กำลังหลับใหล
เขามองดูหมีดำตัวใหญ่ด้วยน้ำตาคลอเบ้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าหมีน้อย ข้าขอโทษนะ ข้าเคยบอกเจ้าว่าหนึ่งดาบร่วมท่องสุดขอบโลก แต่เจ้าคงต้องนำไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว ว”
เขาเหลือบมองกู้จื่อเหยาปราดหนึ่ง ก่อนจะลากหมีดำเข้าไปในป่าลึกอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้กลายเป็นฉากนองเลือด
ลากไปพลาง ปากก็พูดไม่หยุด “เจ้าหมีน้อย อย่าโทษข้าเลยนะ ข้าถูกบังคับจนหมดหนทางจริงๆ!”
“ข้าจำตอนนั้นที่พาเจ้ากลับมาได้ เดินอย่างรีบร้อน ลืมไปว่าเจ้ายังมีลูกหมีอีกสองตัว ข้าจะไปตามหาพวกมัน ดูแลพวกมันอย่างดี และช่วยให้พวกมันเติบโต!”
“เจ้าวางใจเถอะ ในฐานะพี่ชายที่แสนดี ข้าจะไม่กินเจ้าแน่นอน! จะว่าไปแล้ว เป็นที่ต้องตาของผู้ยิ่งใหญ่ ก็นับว่าเป็นพรของเจ้า เกิดใหม่ชาติหน้าไม่เลวแน่นอน ไปสบายเถอะนะ…”