ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 151 ตระกูลหลิ่วทางเหนือ วันแห่งการกวาดล้าง!
ไม่นานอุ้งเท้าหมีและปลาหลี่ก็ถูกกวาดเรียบ
ทุกคนวางตะเกียบ มีเพียงกู้จื่ออวี่ที่เลียน้ำแกงอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งถือปลาน้องชายที่เหลือแต่กระดูก พร้อมที่จะเลียให้สะอาดหมดจด
“อร่อย อร่อยจริงๆ! นี่เป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย”
“นี่สิคือชีวิต ได้กินสักมื้อ ยังขอสิ่งใดอีก”
“อาหารโอชะตระกูลเซียน! ให้กลายเป็นเซียนก็ไม่แลก!”
หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำ สตรีทั้งสี่ก็ลูบท้องตนเองอย่างพึงพอใจ หลับตาพริ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ ปากเคลื่อนไหวรับรสชาติที่ยังค้างอยู่ในคอ
หลี่เนี่ยนฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่ที่ข้าเคยอยู่ อาหารอย่างอุ้งเท้าหมีและตัวอ่อนเสือดาว ปากอุรังอุตัง ตับมังกร ไขกระดูกหงส์ หางปลาหลี่ จักจั่นทอดกรอบ ถูกเรียกว่า ‘ขุ มทรัพย์ทั้งแปด’ รสชาติล้วนเป็นเลิศ”
เขาแค่พูดไปอย่างนั้น แต่คนฟังกลับตั้งใจอย่างมาก
กู้จื่อเหยากับคนอื่นๆ หัวใจเต้นถี่ขึ้นในฉับพลัน เลือดในร่างกายเกือบจะแข็งตัว หนังศีรษะชาหนึบ
ตับมังกร ไขกระดูกหงส์?
แน่นอนแล้ว สถานที่ที่ผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ในอดีตต้องเป็นแดนเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่มีทางเป็นแดนเซียนธรรมดาๆ ไม่อย่างนั้นตับมังกร ไขกระดูกหงส์จะมาเป็นแค่อาหารจานหนึ่งได้ อย่างไร
หลังจากนั้นพวกเขาก็อดนึกถึงบันทึกท่องประจิมขึ้นมาไม่ได้
ในวังสวรรค์ ยามที่จัดงานเลี้ยงก็มีตับมังกรและไขกระดูกหงส์ไม่ใช่หรือ?
พี่ใหญ่ พี่ใหญ่สุดเจ๋ง!
ช้าก่อน!
คุณชายหลี่บอกเราเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?
ทุกคนหัวใจสั่นไหว ดวงตาฉายแววตื่นเต้นขึ้นมาทันใด หัวใจเต้นเร็วขึ้นจนแทบจะหลุดออกมา
ในเมื่อคุณชายหลี่พูดอย่างนั้น ก็หมายความว่าตราบใดที่เราติดตามเขาและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ก็จะมีโอกาสกินตับมังกรและไขกระดูกหงส์ใช่ไหม?
ฟืด——
ทันใดนั้นเลือดในร่างกายของพวกเขาก็พลุ่งพล่านจนแทบหยุดหายใจ
คิดไม่ได้ อดทนไว้ เดี๋ยวจะเป็นลมด้วยความตื่นเต้นไปซะก่อน
ทุกคนพักผ่อนกันสักพัก กู้จื่อเหยาก็พาหลี่เนี่ยนฝานไปเยี่ยมชมสถานที่อื่นๆ ในหุบเขาเมฆาครามต่อ สัมผัสขนบธรรมเนียมประเพณีของหุบเขา กระทั่งเห็นภาพของศิษยานุศิษย์ที่กำลังฝึกฝน ช่วยให้หลี่เนี่ยนฝานเข้าใจผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นอีกมาก
กว่าจะรู้ตัว ฟ้าก็มืดแล้ว
กู้จื่อเหยากังวลใจ ถามเสียงต่ำด้วยความคาดหวังอย่างมาก “คุณชายหลี่ ในหุบเขามีที่พักมากมาย ไม่เช่นนั้นอยู่ค้างที่นี่ดีหรือไม่?”
หลี่เนี่ยนฝานครุ่นคิด “เอ่อ…จะรบกวนเกินไปหรือเปล่า?”
หุบเขาเมฆาครามสภาพแวดล้อมสวยงาม เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนเป็นมิตร ไม่เพียงแต่มีมารยาท ยังพูดจาไพเราะ ศิษยานุศิษย์หญิงก็งามสะดุดตา ทั้งยังประหยัดเงินค่าที่พักได้ด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ หลี่เนี่ยนฝานหวั่นไหวได้จริงๆ
กู้จื่อเหยาดีใจยกใหญ่ นางรีบพูด “ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลย เราเตรียมห้องพักไว้ให้ท่านแล้ว พักที่นี่เถอะ”
“เช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ รบกวนแล้ว!” หลี่เนี่ยนฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็นสตรีที่กระตือรือร้นจริงๆ
ในไม่ช้า กู้จื่อเหยาก็ทำให้หลี่เนี่ยนฝานค้างที่นี่ได้ ที่พำนักอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงใหญ่ เป็นเรือนที่มี หญ้าเขียวขจีล้อมรอบ ดอกไม้กลิ่นหอมดั่งทะเล น้ำไหลเอื่อย
แสงสุดท้ายของอาทิตย์ลับขอบฟ้า เสียงร้องของแมลงและนกก็ค่อยๆ เงียบหายไป ม่านกลางคืนเคลื่อนเข้าปกคลุม แสงจันทร์สีเงินส่องลงมา
บางครั้งบางคราวนกฮูกบินผ่าน ร่อนลงบนกิ่งไม้ ทำให้ใบไม้สั่นไหว กลางคืนมืดสงัด
“แอด”
มีเสียงเปิดประตูเบาๆ ต๋าจี่ในชุดสีขาวเดินออกจากห้อง เงยหน้ามองจันทร์สว่างไสวบนท้องฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในสายลมราวกับเทพธิดาแห่งวังจันทรา
นายท่าน สิ่งที่ท่านต้องการจะทำ ต๋าจี่ต้องรับรองว่ามันจะสมบูรณ์แบบ!
ความเร็วของนางสูงมาก ร่างพลันเลือนราง หายวับไปในความมืดยามราตรี
โลกบำเพ็ญเซียน เรียกภาคเหนือว่าพรมแดนทางเหนือ
พรมแดนทางเหนือมีแนวโน้มแห้งแล้ง ทรัพยากรการเพาะปลูกจำกัดเมื่อเทียบกับพรมแดนทางใต้ นอกจากนี้ พรมแดนทางเหนือยังถูกควบคุมโดยตระกูลใหญ่หลายตระกูล ทรัพยากรถูกผูกขาดโดยตระกูลใหญ่ เหล่านี้ ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนแผ่ขยายมากขึ้น สำนักกับพรรคที่เล็กๆ รวมถึงผู้ที่ไร้สำนักต่างถูกขูดรีด ในบรรดาตระกูลใหญ่นั้น ตระกูลหลิ่วอยู่เหนือสุด
เพราะตระกูลหลิ่ว…เคยมีเซียน!
ไม่นานนี้ตระกูลหลิ่วมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าทั้งตระกูลหลิ่วจะอยู่ในสภาวะตึงเครียดที่ไม่อาจอธิบายได้ มีการตามตัวผู้บำเพ็ญเซียนของตระกูลหลิ่ วหลายคนกลับมา แม้กระทั่งตอนดึกท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลหลิ่วยังมีผู้บำเพ็ญเซียนคอยลาดตระเวน ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมสิ่งใด
พฤติกรรมดังกล่าวย่อมดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งพรมแดนเหนือ ใกล้ตระกูลหลิ่ว มีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายรายล้อม เคลื่อนไหวไปมาเพื่อสืบข้อมูล
ไม่น่ามีใครโง่เขลาพอจะหาเรื่องตระกูลหลิ่ว ระดมคนมามากมายเช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้มากว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ตระกูลหลิ่วกำลังเตรียมการเพื่อสิ่งนี้
ตระกูลหลิ่วครอบครองพื้นที่กว้างขวาง ลานกว้างมากมาย จวนใหญ่ที่ใจกลางสุดยังคงมีแสงไฟสว่าง
ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่ที่ด้านบนสุดของห้องโถง แววตาล้ำลึก ประกายคมกริบวาบผ่าน ชวนให้คนไม่กล้ามอง แผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมสง่างาม บรรยากาศในห้องโถงต่ำลงถึงจุดเยือกแข็ง
เสียงแหบพร่าดังออกจากปากเขา “ได้ข่าวหรูเซิงหรือไม่?”
ชายชราคนหนึ่งฝืนใจก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ท่านเจ้าตระกูลหลิ่ว ตอนนี้ยังไม่มี มีเพียงแผ่นหยกของผู้พิทักษ์ใหญ่กับรองผู้พิทักษ์…ที่หักแล้ว”
ตูม!
รัศมีที่รุนแรงยิ่งแผ่ซ่านออกจากร่างผู้เฒ่า แรงลมคลั่งพัดกระพือไปทั่วห้องโถง เกิดเสียงดังสนั่น โต๊ะเก้าอี้รอบข้างต่างก็แตกกระจายเป็นผุยผงจากใบมีดลม!
“มันผู้ใดกล้าบังอาจลงมือกับตระกูลหลิ่วของข้า!”
เสียงโกรธเกรี้ยวคำรามออกมาจากปาก ดวงตาแดงก่ำดั่งเสือคลั่งที่อยากจับใครสักคนกิน ดวงตาของเขากวาดมองทุกคนในห้องโถง “ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องกันหมด! ไปสืบมา รวบรวมคน ตามข้ าบุกไปที่หุบเขาเมฆาคราม!”
ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจคนผู้นั้น
ช่างไม่รู้ที่ตายเสียจริง
เจ้าตระกูลโกรธมาก ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหน มีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตาย ถูกกระชากจิตฉีกวิญญาณยังนับว่าโชคดี
ดูเหมือนว่าอีกไม่นานจะเกิดพายุนองเลือดขึ้นในโลกบำเพ็ญเซียนแล้ว
ตอนนี้เองศิษย์หนุ่มคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยว่า “ท่านเจ้าตระกูลหลิ่ว เรื่องที่ท่านให้ไปสืบ ข้ามีเบาะแสบางอย่าง ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ”
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดดำเปลี่ยนไป เขากล่าวว่า “อ้อ? รีบพูดมาเร็ว”
“สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นศิษย์คนใหม่ของสำนักจินเหลียนที่รับมาจากราชวงศ์เซียนเฉียนหลง สถานะของนางในสำนักจินเหลียนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่แปลกก็คือเห็นได้ชัดว่านาง มีเพียงรากปราณระดับล่าง ทว่าความเร็วในการฝึกฝนกลับน่าประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ข้ามขั้นมาสังหารผู้บำเพ็ญจินตันครึ่งก้าว ด้วยพลังเพียงขั้นจู้จี สร้างความตื่นตกใจให้กับท ทั้งพรมแดนเหนือ”
ชะงักไปครู่หนึ่ง ศิษย์คนนั้นก็พูดต่อ “หลังจากข้าน้อยไปสืบถามมาหลายครั้งก็พบว่าที่มาของสตรีผู้นั้นลึกลับมาก ยามที่สำนักจินเหลียนยอมรับนางเป็นศิษย์ คล้ายกับมีบุรุษลึกลับ ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น แล้วมอบพรให้นาง…”
เสียงของเขาค่อยๆ หนักขึ้น ถึงกับสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “ว่ากันว่าเป็น…กระดาษเขียนคำอวยพรที่บรรจุทำนองมรรคาไม่สิ้นสุดไว้ อาจจะเป็นสมบัติตระกูลเซียน!”