ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 18 หยกเซียนนี้ไม่เลว ใช้เป็นตะเกียงไฟฟ้าได้
นี่คือข้าวต้มเปล่าจริงๆ หรือ ถึงกับกระตุ้นความอยากอาหารของผู้บำเพ็ญเซียนได้
พวกไป๋อู๋เฉินเกิดคำถามอยู่ลึกๆ ในใจ
ในตอนนั้น ไป๋ลั่วซวงก็ซดข้าวต้มจนเกลี้ยงชาม ความอิ่มเอมของการอิ่มท้องทำให้ใบหน้าของนางเปี่ยมความสุข ลูบท้องของตนเองเบาๆ
“ฟู่”
นางถอนหายใจยาว กำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ กลับพลันรู้สึกร้อนกรุ่นไปทั่วสรรพางค์กาย
พลังปราณในร่างกายของนางเริ่มควบคุมไม่ได้ สมองเปล่าโล่งในชั่วพริบตา สิ่งที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความรู้สึกลึกล้ำเสียยิ่งกว่าลึกล้ำ
“หวึ่งๆๆ!”
ในหูของนางคล้ายกับจะมีเสียงดังขึ้น มองจากภายนอกแล้ว ร่างของนางกลายเป็นภาพลวงตาลอยล่อง
“นี่ นี่คือ…”
พวกไป๋อู๋เฉินดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็ง ทุกคนล้วนงงงัน
ตื่นรู้!
นี่คือการตื่นรู้!
ลมหายใจของพวกเขาเริ่มกระชั้นผิดปกติ จนแทบคำรามออกมา
เหตุใดอยู่ๆ ถึงตื่นรู้ได้
ในชั่วขณะนั้น พวกเขาก็คิดไปต่างๆ นานา สายตาไปหยุดอยู่ที่ข้าวต้มเปล่าหม้อนั้นซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหิน
นี่ไม่มีทางเป็นข้าวต้มธรรมดา เรื่องความอร่อยเอาไว้ก่อน ข้าวต้มนี้มีเสียงแห่งมรรคาแฝงอยู่!
หลินชิงอวิ๋นกำมือแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป ความเสียใจอย่างสุดซึ้งถาโถมขึ้นในใจ แทบอยาก
ตบตัวเองสักฉาดให้รู้แล้วรู้รอด
‘ตัวข้าโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ สิ่งที่ปรมาจารย์ระดับนี้กินจะเป็นข้าวต้มธรรมดาได้อย่างไรกัน สำหรับปรมาจารย์ระดับนี้ ต่อให้เป็นเพียงขยะก็คงดึงดูดให้ผู้คนนับไม่ถ้วนมาช่วงชิงกันกระมัง เมื่อครู่พลาดโอกาสกินข้าวต้มไปเสียแล้ว อ๊ากกก ทำไมข้าถึงโง่ขนาดนี้!’
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ต้องคุกเข่าเลีย นางก็จะกินข้าวต้มให้ได้สักชาม
ไป๋อู๋เฉินและซูหย่าสีหน้าขมขื่นเช่นเดียวกัน นึกถึงท่าทางที่ลูกสาวแสดงออกเมื่อครู่ นางบอกใบ้พวกเขาอย่าง
ชัดเจนแล้ว ไฉนตนต้องปฏิเสธที่จะกินข้าวต้มด้วย เฮ้อ โชคครั้งใหญ่หลุดลอยไปเสียแล้ว!
ไม่รู้ว่าหากพูดปะเหลาะไปตอนนี้จะทันหรือไม่
พวกเขาทั้งสามอ้าปาก กำลังจะเอ่ยปากขอข้าวต้มอย่างไม่สนใจใคร
ทว่ากลับเห็นว่าหลี่เนี่ยนฝานผุดลุกขึ้น ยกหม้อข้าวต้มไป
“ต้าเฮย มากินข้าวได้แล้ว”
สุนัขพื้นเมืองสีดำตัวหนึ่งวิ่งตะบึงเข้ามาจากหลังเรือน ศีรษะมุดเข้าไปในชามอาหารของตน สวาปามข้าวต้มในหม้ออย่างรวดเร็ว
สวบๆๆ
มันกินอย่างสำราญใจเหลือเกิน
พวกไป๋อู๋เฉินชะงักงันไปทันใด จ้องมองต้าเฮยขอบตาแดงก่ำ ทำได้เพียงกลืนน้ำลายอย่างจนปัญญา
‘นั่นมันข้าวต้มที่มีเสียงแห่งมรรคาระคนอยู่เชียวนะ! เอาไปให้สุนัขกินได้ยังไง ไม่ได้ ไม่ได้!’
ต้าเฮยซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะคล้ายกับจะจับสังเกตทั้งสามคนได้ การเคลื่อนไหวของมันหยุดชะงัก เหลือบมองทั้งสาม แล้วหันหลังกลับ ให้ก้นเผชิญหน้ากับพวกเขาแทน ก่อนจะกินอาหารต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
ท่าทางเย็นชา ประหนึ่งว่ากลัวพวกเขาสามคนจะมาแย่ง
“ข้า…” พวกไป๋อู๋เฉินหน้าแดงก่ำ แต่กลับไม่กล้าลงมือ
หลี่เนี่ยนฝานสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านเป็นอะไรหรือ”
“ไม่ ไม่ได้เป็นอะไร” ไป๋อู๋เฉินมุมปากกระตุก ตอบพลางยิ้มขื่น
ในใจของพวกเขานั้นแสนเจ็บปวด ทำได้เพียงมองไปรอบๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตน
แต่ทันทีที่มองไปยังมุมหนึ่งของเรือน นัยน์ตาของพวกเขาก็พลันหดเกร็ง จับจ้องไปยังกระบี่เล่มยาวสีดำไม่วางตา เพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
กระบี่จุ้ยหมัว เป็นกระบี่จุ้ยหมัวจริงๆ!
ไป๋อู๋เฉินมั่นใจว่าตนไม่มีทางจำผิด กระบี่จุ้ยหมัวซึ่งทำให้โลกข้างนอกต้องหลั่งเลือดดุจห่าฝน บัดนี้กลับถูกวางทิ้งไว้ส่งเดชที่มุมผนัง
แม้ว่ากระบี่จุ้ยหมัวจะเป็นกระบี่มาร ทว่าแฝงไปด้วยพลังมหาศาลไร้สิ้นสุด เทียบได้กับอาวุธวิญญาณชั้นดี เป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิง
หลินชิงอวิ๋นเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณชายหลี่ กระบี่เล่มนั้น…”
“กระบี่เล่มนี้ไม่รู้มาจากไหน มาอยู่ที่หน้าประตูบ้านข้า ข้าเห็นว่าคมดี จึงเอาไปใช้ตัดฟืน” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เก็บได้?
ตัดฟืน?
ไป๋อู๋เฉินยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ
เขาย่อมรู้ดีว่ากระบี่เล่มนี้มาปรากฏที่ประตูหน้าบ้านของหลี่เนี่ยนฝานได้อย่างไร ความหมายของปรมาจารย์ก็คือสำหรับเขาแล้ว กระบี่มารเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ นั่นไม่ได้เท่ากับว่าเก็บมาหรอกหรือ
ส่วนเรื่องที่กระบี่จุ้ยหมัวถูกปรมาจารย์นำไปตัดฟืน พวกเขากลับคิดว่าปกติ นี่นับว่าเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งแล้ว
หลินชิงอวิ๋นไม่รู้ว่าควรพรรณนาความรู้สึกนี้ว่าอย่างไร ความตกใจทั้งหมดในชีวิตของนางมารวมกันยังไม่มากเท่าวันนี้
นี่มันยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหรืออย่างไร
ปิ๊ง~
ไป๋ลั่วซวงลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยแลดูพร่าเลือนอยู่บ้าง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง
ขั้นจู้จีช่วงกลาง!
ตนเองกินข้าวต้มไปเพียงชามเดียว ถึงกับทะลวงจากขั้นจู้จีช่วงต้นไปถึงขั้นจู้จีช่วงกลาง
นางตระหนักได้ว่าข้าวต้มชามนั้นไม่ได้มีเพียงธาราปราณ แม้แต่เมล็ดข้าวและผักดองเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่ของธรรมดา!
ของเหล่านี้ก็เหมือนกับปรมาจารย์นั่นละ มองจากภายนอกเป็นเพียงปุถุชน แท้จริงแล้วกลับสูงส่งไม่อาจเอื้อม
ไป๋ลั่วซวงได้ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ รีบลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างตกอกตกใจ “ขอบ ขอบคุณคุณชายหลี่”
“ก็แค่ข้าวต้มชามเดียว ขอบคุณทำไมกัน”
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า เด็กคนนี้ดีจริงๆ เพียงแต่ตื่นตูมง่ายไปหน่อย แค่ข้าวต้มชามเดียว ต้องดีใจถึงขนาดนี้เลย
หรือ
ไป๋อู๋เฉินหยิบกล่องไม้ออกมา เอ่ยว่า “คุณชายหลี่ ครั้งก่อนลูกสาวข้านำภาพวาดแผ่นหนึ่งกลับไป มีคุณประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นสินน้ำใจเล็กน้อยของพวกข้า เพื่อแสดงความขอบคุณ ขออย่าได้รังเกียจเลย”
“พวกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกประหลาดใจ มาเยี่ยมเยือนก็มาแล้ว ยังนำของขวัญมาให้ด้วย
ดูแล้วพวกเขาจะเป็นคนที่ชอบภาพวาดจริงๆ
เขาเองก็ไม่ได้แสร้งเหนียมอาย เปิดกล่องดู ก็เห็นว่าข้างในบรรจุหยกทรงกระบี่ชิ้นหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเนื้อหยกชิ้นนี้คืออะไร ถึงได้คล้ายกับแหล่งกำเนิดแสง ส่องสว่างแสงสีขาวจรัสไปทั่วอยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่ได้สว่างจนแสบตา เห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษ
หลินชิงอวิ๋นยกมือขึ้นปิดปาก มองไปยังไป๋อู๋เฉินด้วยแววตาเหลือเชื่อ ความตกใจโหมกระหน่ำ
หยกเซียนมลทินกระบี่ นี่คือของล้ำค่าของสำนักเซียนวั่นเจี้ยน เป็นอัญมณีที่ทำให้ผู้ที่บรรลุในจิตกระบี่กลายเป็น
เซียนกระบี่ ไป๋อู๋เฉินถึงกับนำมามอบให้ผู้อื่นเชียวหรือ
สำหรับผู้ฝึกกระบี่แล้ว หยกชิ้นนี้ไม่อาจประเมินค่าได้!
ไป๋อู๋เฉินกลับมีสีหน้าสุขุม
เขาเองก็มีความคิดในแบบของเขา
เดิมทีหลี่เนี่ยนฝานก็เป็นผู้ที่ช่วยสำนักเซียนวั่นเจี้ยนให้อยู่รอดปลอดภัย อีกทั้งภาพวาดที่หลี่เนี่ยนฝานร่างเล่นๆ
ก็มีค่ามากกว่าหยกเซียนมลทินกระบี่หลายขุม
สำหรับผู้ฝึกตนขั้นหยวนอิง หยกเซียนมลทินกระบี่มิได้มีประโยชน์มากนัก ทว่าภาพวาดแผ่นหนึ่งของหลี่เนี่ยนฝาน อย่าว่าแต่ขั้นหยวนอิงเลย ต่อให้เป็นขั้นชูเชี่ยว ขั้นตู้เจี๋ย หรือแม้แต่เซียนเองก็ยังไม่กล้ามองข้าม
หากกล่าวว่าหยกเซียนมลทินกระบี่ทำให้สำนักเซียนวั่นเจี้ยนธำรงอยู่สักหมื่นปี เช่นนั้นภาพวาดของหลี่เนี่ยนฝานก็ทำให้สำนักเซียนวั่นเจี้ยนธำรงอยู่ไปสิบล้านปี!
ข้าปรารถนาหยกเซียนมลทินกระบี่ไปยังจะมีประโยชน์อันใดเล่า
หลี่เนี่ยนฝานหยิบหยกเซียนมลทินกระบี่มาใส่มือมองอย่างพินิจพิจารณา
ใส่มือแล้วเย็นเฉียบนุ่มนวล เป็นสัมผัสที่ดีเหลือเกิน
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ยิ้มบางพลางเอ่ย “ของชิ้นนี้ไม่เลว นำมาใช้เป็นตะเกียงไฟฟ้า ให้ความสว่างกับข้าในตอนกลางคืนได้พอดีเลย”
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์
นำหยกเซียนมลทินกระบี่มาใช้เพียงเพื่อให้แสงสว่าง กระนั้นเมื่อนึกถึงกระบี่มารซึ่งถูกนำมาตัดฟืน พวกเขาจึงค่อยสบายใจขึ้นมา
……………………………………..