ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 19 หลักแห่งฟ้าดิน
เมื่อเห็นหลี่เนี่ยนฝานรับหยกเซียนมลทินกระบี่ รอยยิ้มก็พลันฉายบนใบหน้าของไป๋อู๋เฉิน
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“จริงสิ ถ้าหากคนคนหนึ่งตกใจกลัวจนเสียสติไป พวกท่านมีวิธีรักษาบ้างหรือไม่” หลี่เนี่ยนฝานนึกถึงเรื่องของนานนาน จึงเอ่ยปากถาม
อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ย่อมต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลาย
ได้ยินหลี่เนี่ยนฝานถึงกับเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ มีหรือพวกเขาจะกล้านิ่งเฉย เริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดวิธีทันใด
หลินชิงอวิ๋นรีบเอ่ย “เสียสติ หากเป็นอย่างที่ข้าคิด คงจะเป็นเพราะวิญญาณถูกกระทบกระเทือน ข้ารู้จักสมุนไพรซึ่งใช้เยียวยารักษาวิญญาณ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการของคนที่คุณชายหลี่กล่าวถึงนั้นเป็นอย่างไร”
“นางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเพราะถูกปีศาจจับไปจึงตกใจกลัว” หลี่เนี่ยนฝานบอก
“เด็กผู้หญิง ทั้งยังเป็นปุถุชน” หลินชิงอวิ๋นส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนี้ก็ยุ่งยากแล้ว วิญญาณของนางนั้นอ่อนแอ ไม่เหมาะแก่การใช้สมุนไพรรักษาวิญญาณ มิเช่นนั้นผลอาจกลับตาลปัตรได้”
ไป๋อู๋เฉินเองก็เอ่ยว่า “สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นภายในกายเสียมากกว่า โลกภายนอกทำได้เพียงช่วยประคับประคอง นับว่ายากแล้ว”
ในใจของเขาก็ลอบหมองหม่น ปรมาจารย์เอ่ยปากทั้งที ตนเองกลับคิดหาวิธีไม่ได้ จนปัญญาจริงๆ
หลินชิงอวิ๋นดวงตาพลันเป็นประกายน้อยๆ “ข้ามีหยกบ่มวิญญาณ สามารถใช้บ่มเพาะวิญญาณของมนุษย์ พกติดตัวนานสักหน่อยไม่แน่ว่าอาจได้ผล”
“เช่นนั้นต้องใช้เวลาประมาณเท่าใด” หลี่เนี่ยนฝานมองหลินชิงอวิ๋นอย่างคาดหวัง
หลินชิงอวิ๋นจึงพูดว่า “วิญญาณนั้นรักษายากที่สุด อย่างเร็วก็สิบปี อย่างช้าก็ยี่สิบปี”
“ช้าเกินไป” หลี่เนี่ยนฝานถอนใจแผ่วเบา สำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ระยะเวลาสิบปีนับว่าสำคัญมาก
“ดูแล้วคงต้องพึ่งตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าวิธีการนี้จะได้ผลไหม” เขาพึมพำกับตนเอง
ไป๋อู๋เฉินและอีกสามคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ปรมาจารย์จะลงมือเองแล้วหรือ
เรื่องเล็กพรรค์นี้ไหนเลยจะคณามือปรมาจารย์จริงๆ นั่นละ เมื่อครู่เขาก็แค่ไม่อยากลงมือเท่านั้นเอง
“คุณชายหลี่ ไม่รู้ว่าพวกข้าสามารถอยู่ข้างๆ ดูท่านรักษาคนหรือไม่” หลินชิงอวิ๋นมองหลี่เนี่ยนฝานด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม
อีกสามคนที่เหลือก็เช่นกัน
ได้มองดูปรมาจารย์รักษาคนอยู่ข้างๆ นี่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่โดยแท้ หากได้รู้แจ้งเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก็เพียง
พอให้ใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว
“พวกท่านอยากดูข้าช่วยคน?”
หลี่เนี่ยนฝานชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขื่นเอ่ย “สิ่งที่ข้าจะทำเป็นเพียงวิธีของปุถุชน พวกท่านแน่ใจหรือว่าจะดู”
วิญญาณได้รับความเสียหายสามารถใช้วิธีการของปุถุชนรักษาได้ด้วยหรือ?
ทั้งสี่คนต่างตะลึงงันอีกครา ใจยิ่งยืนกรานจะคอยดูมากกว่าเดิม
“ย่อมได้ ข้ากำลังเตรียมตัวจะลงเขาพอดี”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนในโลกเซียนนี้ไม่ใช่แค่เป็นมิตร แต่ดูท่าแล้วน่าจะว่างมากซะด้วย ชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่กับฉันที่เป็นปุถุชนธรรมดา
“ต้าเฮย ไปเร็ว” หลี่เนี่ยนฝานร้องเรียก แล้วลงเขามุ่งหน้าไปยังเมืองลั่วเซียนพร้อมกับทั้งสี่คน
ครั้นทั้งห้าคนมาถึงเมืองลั่วเซียน ป้าจางกำลังพานานนานมาที่ประตูเมืองดังคาด
ป้าจางคิ้วขมวดมุ่นเพราะความทุกข์ ลอบปาดน้ำตา นานนานยังคงมีท่าทางเหม่อลอยดังเคย
รอบๆ ยังมีเด็กอีกหลายคนมาคอยพูดคุยกับนานนาน โดยหวังว่าการสื่อสารจะทำให้นานนานกลับมาเป็นปกติ
“คุณชายหลี่” ป้าจางมองหลี่เนี่ยนฝานราวกับเป็นเทวดามาโปรดอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าช่วยนานนานด้วยเถิด”
หลี่เนี่ยนฝานพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น “ป้าจางวางใจเถิด ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
“เด็กๆ ทุกคน พวกเจ้ามารุมล้อมนานนานเช่นนี้ไม่ดีนัก จะทำให้นานนานรู้สึกไม่ปลอดภัย ขยับขยายสักหน่อยดีไหม”
หลี่เนี่ยนฝานเดินไปข้างกายนานนาน บอกกับเด็กๆ อย่างยิ้มแย้ม
เมื่อผู้คนล่าถอยออกไปบ้างแล้ว สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมา
อันที่จริง ลึกๆ แล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่าวิธีการของตนเองจะเรียกสติสัมปชัญญะของนานนานกลับมาได้หรือไม่ กระนั้นก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลย
ทางด้านไป๋อู๋เฉินและอีกสามคนอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ ประเดี๋ยวจะได้ชมวิธีการของปรมาจารย์แล้ว ตื่นเต้นเหลือเกิน
หลี่เนี่ยนฝานหาที่ว่างนั่งลง ให้นานนานนั่งอยู่ข้างกายเขา ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “นานนาน เดี๋ยวพี่เนี่ยนฝานจะเล่านิทานหนึ่งให้ฟัง เจ้าตั้งใจฟังเข้าใจไหม
นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า…บันทึกท่องประจิม[1]”
ต้นเหตุการป่วยของนานนานมาจากปีศาจ หลี่เนี่ยนฝานจึงจงใจใช้เรื่องราวมาลดความหวาดกลัวและผลกระทบของปีศาจต่อจิตใจของนาง นอกจากนั้น ธรรมชาติของเด็กจะชอบนิทาน นี่เป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าการสนทนาแบบใด
“นิทาน ข้าก็อยากฟังนิทาน”
“พี่เนียนฝาน พวกข้าขอฟังด้วยได้ไหม”
เด็กๆ โดยรอบตื่นเต้นกันเสียยกใหญ่ พากันมองหลี่เนี่ยนฝานอย่างคาดหวัง
“ได้สิ” หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า
พวกไป๋อู๋เฉินตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คิดว่าหลี่เนี่ยนฝานจะใช้วิธีนี้ จะใช้ได้ผลจริงหรือ
ทว่าพวกเขาไม่ได้เดินออกมา หากแต่ยังคงรอคอยด้วยความสงสัย
หลี่เนี่ยนฝานปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น
บทกวีว่าไว้
ยามฟ้าดินบรรจบโกลาหล ฟะฟั่นไร้ผู้คนรางสลัว
นับแต่ผานกู่ปัดเป่าความมืดมัว กายยันตัวหยัดฟ้าแยกแผ่นดิน
สรรพสิ่งเคารพหลักธรรมชาติ ก่อกำเนิดการุญภาพทั่วแห่งหน
ใคร่รู้ปริวรรตอายุวัฒนะเพียรฝึกตน เชิญยินยลในบันทึกท่องประจิม
ว่ากันว่าฟ้าดินอายุสองแสนเก้าพันแปดร้อยปีนับเป็นหนึ่งรอบ ในหนึ่งรอบแบ่งเป็นยี่สิบอักขระ ได้แก่จื่อ โฉ่ว อิ๋น เหม่า เฉิน ซื่อ เว่ย เซิน โหย่ว ซวี และไฮ่ นับเป็นยี่สิบกิ่ง ทุกอักขระจะมีอายุหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี และในหนึ่งวัน ยามจื่อรับพลังหยาง ยามโฉ่วนกร้อง ยามอิ๋นไร้แสง ยามเหม่าอาทิตย์ขึ้น…”
อารัมภบทเช่นนี้ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อยสำหรับเด็ก แต่กลับทำให้ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ตัวสั่นเทา ดวงตาฉายประกายหวาดผวา
นี่…นี่มันหลักแห่งฟ้าดิน!
ตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ ไม่เคยมีผู้ใดสรุปหลักแห่งฟ้าดินออกมาได้ ทว่าคุณชายหลี่ถึงกับเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างง่ายดาย
นี่ก็คือเหตุผลในการก่อตัวของฟ้าดินหรือ?
นี่ก็คือวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งหรือ?
หลี่เนี่ยนฝานเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ หูของพวกเขาก็ประหนึ่งได้สดับเสียงแห่งธรรมชาติ ราวกับฟังหลักธรรมก็มิปาน
แม้ว่ามีหลายจุดที่ไม่กระจ่าง แต่ก็ยังได้ประโยชน์ไม่น้อย
คิดถูกจริงๆ ที่ตามคุณชายหลี่มา!
พวกเขาแทบกลั้นหายใจ ฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
หลังอารัมภบทจบลง ในที่สุดก็เข้าสู่เนื้อเรื่องแล้ว
“ไกลโพ้นออกไปมีดินแดนหนึ่ง นามว่าดินแดนเอ้าไหล แผ่นดินติดกับมหาสมุทร กลางมหาสมุทรมีภูเขาลูกหนึ่ง เรียกว่าภูเขาฮวากั่ว ภูเขาลูกนี้เป็นดั่งเส้นลมปราณหลักของสิบทวีป จุดศูนย์กลางแห่งเกาะเซียน ถือกำเนิดขึ้นเอง หลังแรกเบิกฟ้าแยกดิน… ”
ครั้นได้ยินว่าวานรศิลากระโดดออกมาจากหิน เด็กๆ ต่างก็ดึ่มด่ำเป็นที่สุด แม้แต่สายตาของนานนานก็ยังจับจ้องไปบนร่างของหลี่เนี่ยนฝาน
หลี่เยี่ยนฝานเห็นว่าได้ผล ก็เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติยิ่งกว่าเดิม
วานรศิลานำฝูงวานรบนเขาฮวากั่วอย่างอิสระสุขสันต์ ทว่าจากนั้นก็ขึ้นแพไม้ไผ่ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อแสวงหา
ความเป็นอมตะ ฝ่าพันอุปสรรคภยันตรายนับไม่ถ้วน จนได้กราบอาจารย์ ร่ำเรียนศิลปวิชา
โลกอันกว้างใหญ่และวุ่นวายถูกหลี่เนี่ยนฝานบรรยายราวกับนำมาแผ่หราต่อหน้าทุกคน บางครั้งบางคราวก็ปลุกเร้าความตื่นเต้นของผู้คน
ไป๋อู๋เฉินและอีกสามคนรู้สึกยิ่งดำดิ่ง สมองของพวกเขาชาหนึบ ขนลุกเกรียวไปทั่วสรรพางค์กาย
แสวงหาวิชาอายุวัฒนะ จุดมุ่งหมายสูงสุดของการบำเพ็ญเซียนของพวกเขาไม่ใช่วิชาอายุวัฒนะหรืออย่างไร
หรือว่าสิ่งที่ปรมาจารย์เล่าไม่ใช่นิทาน หากแต่เป็นเรื่องที่เขาประสบด้วยตัวเอง?
……………………………………….
[1] บันทึกท่องประจิม หมายถึงเรื่องซีโหยวจี้ หรือไซอิ๋ว