ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 2 ชะรอยว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก
รูปลักษณ์เรียบง่าย ดูแล้วไม่ได้แตกต่างกับบ้านเรือนของคนทั่วไป
“สวัสดี มีคนอยู่ในบ้านหรือไม่” เด็กสาวกระโปรงขาวร้องตะโกนที่หน้าประตูใหญ่
แกร็ก!
ประตูเปิดออกแล้ว
หลี่เนี่ยนฝานโผล่หน้าออกมาจากด้านใน
ผ่านมาห้าปี นี่เป็นแขกผู้มาเยือนคนแรก
เขามองดูเด็กสาวกระโปรงขาว ดวงตาพลันฉายแววประหลาดใจ
เป็นผู้หญิงที่สวยมาก
หรือว่าสวรรค์ได้ยินคำภาวนาของเขา จึงส่งแฟนสาวมาให้เขาแล้ว?
หลี่เนี่ยนฝานรู้ว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้มีรัศมีเบาบางแผ่รอบกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน นอกจากนั้นแล้วจากกิริยาท่าทางของนาง ก็มองออกได้ไม่ยากว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง จะมาถูกตาต้องใจเขาได้อย่างไร
เด็กสาวกระโปรงขาวมองหลี่เนี่ยนฝานอย่างพินิจพิจารณา เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงคนปุถุชน ในแววตาก็ปรากฏความผิดหวัง
เดิมทีนางจินตนาการไว้เสียอีกว่าได้พบกับปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก และจะช่วยตนออกจากภาวะคับขันในตอนนี้ได้
แต่ในเมื่อมาแล้ว นางก็นึกสงสัย ใคร่อยากเข้าไปดูด้านใน จึงเอ่ยอย่างเปิดเผย “สวัสดี ข้าชื่อลั่วซืออวี่ ขอเข้าไปนั่งข้างในได้หรือไม่”
“ได้สิ” หลี่เนี่ยนฝานเปิดประตู หันข้างให้นางเข้ามา
อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกเซียน แต่ยังเป็นสาวงาม หลี่เนี่ยนฝานไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ผูกมิตรเพิ่มขึ้นมาย่อมเป็นเรื่องที่ดี
“ขอบคุณ” ลั่วซืออวี่พาสาวใช้เข้ามา
เมื่อเข้ามาจากประตูใหญ่ก็ถึงเรือนด้านใน เบื้องหน้าเป็นทางเดินสายเล็กที่ปูด้วยหินกรวดทอดยาวตัดสลับกันไป โดยรอบยังปลูกดอกไม้นานาชนิด ส่งกลิ่นหอมรัญจวน ชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจ
ตรงกลางของเขตเรือนเป็นศาลาหลังหนึ่ง โอบล้อมด้วยโถงใหญ่และห้องหับของเรือนสี่ประสาน
ไม่รู้ว่าคิดเองหรือเปล่า ลั่วซืออวี่รู้สึกว่าทันทีที่เข้ามานั้น จิตใจของตนก็พลันสงบลง เรือนหลังนี้คล้ายกับมีพลังบางอย่างที่สามารถทำให้จิตใจของคนโปร่งโล่งนิ่งสงบลงได้
หุ่นยนต์ออกมาจากห้อง พูดกับเด็กสาวทั้งสองอย่างเป็นมิตร “ยินดีต้อนรับพวกคุณมาเป็นแขก”
“อ๊า องค์…คุณหนูระวังนะเจ้าคะ!”
สาวใช้ตกใจจนกระโดดโหยง รุดรีบเข้ามาขวางหน้าลั่วซืออวี่ไว้
หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยปากอธิบาย “แม่นางไม่ต้องกลัว นี่คือพ่อบ้านของข้า ชื่อว่าเสี่ยวไป๋ เป็นหุ่นยนต์”
“เสี่ยวไป๋ รีบขอโทษแม่นางทั้งสองเร็ว”
“ขอโทษที่ทำให้แม่นางทั้งสองตกใจขอรับ” เสี่ยวไป๋เอ่ยคำขอโทษอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังค้อมกายอย่างเป็นสุภาพบุรุษมากเสียด้วย
ลั่วซืออวี่จ้องมองเสี่ยวไป๋ด้วยความสงสัย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างตระหนก “หุ่นยนต์? ถึงกับมีสติปัญญา หรือว่าจะมีจิตวิญญาณ”
อาวุธวิญญาณ นั่นมันของในตำนาน มีเพียงอาวุธวิญญาณระดับสูงเท่านั้นถึงจะให้กำเนิดจิตวิญญาณได้!
ประเด็นคือระดับสติปัญญาของอาวุธวิญญาณนี้ล้ำเลิศเกินไปแล้ว หรือว่าจะเป็นอาวุธเซียน
ลั่วซืออวี่ยิ่งคิดยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง แววตาปรากฏความยำเกรงอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว นี่คือปัญญาประดิษฐ์ เป็นแค่เทคโนโลยีขั้นสูงก็เท่านั้น ไม่ใช่อาวุธวิญญาณแต่อย่างใด”
“เทคโนโลยีขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์?” ลั่วซืออวี่ขมวดคิ้ว ฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว
“ก็แค่เคล็ดวิชาง่ายๆ ไม่ควรค่าให้พูดถึงหรอก” หลี่เนี่ยนฝานจนปัญญา แล้วก็ขี้เกียจจะอธิบาย จึงกำชับว่า “เสี่ยวไป๋ ไปหลังเรือนเด็ดแตงโมมาต้อนรับแขก”
เสี่ยวไป๋ตอบ “ได้ครับ นายท่านผู้สูงส่งของข้า”
อาวุธรูปร่างมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิด แต่เขาถึงกับพูดออกมาว่าเป็นแค่วิธีง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ลั่วซืออวี่หายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แววตางดงามมองไปยังหลี่เนี่ยนฝานอย่างอ่อนใจ
นางได้ยินมาว่าปรมาจารย์อาวุโสมากมายฝึกตนจนเหนือปุถุชนและกลายเป็นเทพ ชื่นชอบการปลอมตัวเป็นคนธรรมดาท่องเที่ยวไปบนโลกมนุษย์ หรือว่าวันนี้นางจะได้พบแล้ว?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ในใจกังวลสุดขีด ทั้งตื่นเต้นทั้งอกสั่นขวัญแขวน
หลี่เนี่ยนฝานพาพวกนางเดินเข้าไปในศาลา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางทั้งสอง นั่งเถิด”
“อ๋า? ก็ได้” ลั่วซืออวี่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร
นางลอบมองสำรวจพื้นที่โดยรอบ ก็เห็นว่ามีฉินยาววางอยู่กลางเรือน จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “คุณชายชอบเครื่องดนตรีหรือ”
“เล่นยามว่างเฉยๆ น่ะ” หลี่เนี่ยนฝานตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ลั่วซืออวี่พยายามสานสัมพันธ์กับคนที่อาจเป็นปรมาจารย์ผู้นี้ รีบร้อนเอ่ยว่า “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง ศึกษาศาสตร์ด้านดนตรีมาหลายปี ครั้งหน้าข้าพานางมาแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณชายดีกว่า”
หลี่เนี่ยนฝานโบกมือยิ้มขื่น “ช่างเถอะ ข้ารู้แค่หางอึ่งก็เท่านั้น”
ลั่วซืออวี่เป็นผู้ฝึกเซียน เป็นไปได้มากถึงแปดเก้าส่วนที่เพื่อนของนางก็เป็นผู้ฝึกเซียนเช่นกัน แม้ว่าหลี่เนี่ยนฝานจะมีสมญานามเทพดนตรีแขวนประดับไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเครื่องดนตรีกับผู้ฝึกเซียนหรอก
ใครจะไปรู้ล่ะว่าสิ่งที่เรียกว่าแลกเปลี่ยนความรู้ที่ว่าของผู้ฝึกเซียนจะเป็นการปล่อยคลื่นเสียงออกมาหรือเปล่า ถ้าเกิดเขาถูกคลื่นกระแทกตายขึ้นมาก็แย่น่ะสิ
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวไป๋ก็ยกแตงโมมาแล้ว ทั้งยังใช้มีดหั่นผักหั่นแตงโม ยื่นให้ตรงหน้าพวกนาง “ค่อยๆ ทานนะครับ”
ลั่วซืออวี่ประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของอาวุธวิญญาณนี้อีกครา นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ออกจะแปลกตาแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากคนจริง
สิ่งที่ใส่ไว้ในอาวุธเซียนคงจะเป็นสิ่งที่มีพลังสูงอันดับต้นๆ
“แม่นาง ทานเถอะ”
หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยขึ้น ส่วนตนเองก็หยิบแตงโมขึ้นมากิน
แสงอาทิตย์ยามบ่ายออกจะแรงแยงตา บวกกับที่เพิ่งกินอาหารกลางวันเสร็จ กำลังคอแห้งอยู่พอดี กินแตงโมสักหน่อยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
เมื่อลั่วซืออวี่เห็นว่าหลี่เนี่ยนฝานกินอย่างสำราญใจ ก็หยิบแตงโมขึ้นมากินหนึ่งชิ้นอย่างอดไม่ได้
สำหรับนางแล้ว แตงโมเป็นของที่สุดแสนจะธรรมดา นางเป็นถึงองค์หญิง ของที่กินย่อมเป็นน้ำปราณผลไม้เซียน ยอดสุราธาราหยก แตงโมนั้นเป็นเพียงของที่ปุถุชนกิน นางไม่ชอบเอาเสียเลย
ทว่าในตอนนี้นางไม่อาจหักหน้าปรมาจารย์ลึกลับท่านนี้
“เอ๊ะ? เนื้อในของแตงโมงามมาก ราวกับผลึกอัญมณีสีแดงก็ไม่ปาน ส่องแสงเจิดจรัส แตกต่างกับแตงโมที่เคยเห็นราวฟ้ากับเหว”
หลังจากที่ลั่วซืออวี่พินิจพิจารณาดูแล้ว ก็แอบรู้สึกตกใจ จึงอ้าปากกัดเข้าไปหนึ่งคำ
กร้วม
กรอบมาก!
หวานมาก!
น้ำแตงโมฉ่ำไหลจากริมฝีปากและฟันเข้าไป เย้าแหย่ปลายลิ้นดุจเด็กเล่นซน
ทันใดนั้นเอง กลิ่นหอมจรุงก็กระจายไปทั่วต่อมรับรส ทำให้ลั่วซืออวี่เกือบร้องออกมา
อร่อย อร่อยมากเลย!
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าแตงโมจะอร่อยขนาดนี้ นี่ต้องไม่ใช่แตงโมธรรมดา!
อึก
น้ำแตงโมไหลลงไปตามคอของนาง ชำระล้างหลอดอาหาร แต่ผ่านไปชั่วครู่เดียว นางก็รู้สึกว่าของเหลวนี้ก็ถึงกับเปลี่ยนรูปเป็นอากาศ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย!
นี่มัน…พลังปราณ?
นางอดไม่ได้จึงกัดเข้าไปอีกคำ ครั้งนี้กัดไปคำใหญ่
รสชาติอร่อยสดชื่น ในขณะเดียวกันพลังปราณระลอกใหญ่ก็ทะลักเข้าปาก กำจายอยู่ในท้อง
พลังปราณ เป็นพลังปราณจริงๆ ด้วย!
ลำพังพลังปราณเพียงคำเดียวนี้ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผลไม้ปราณธรรมดาเลย!
กร้วมๆ!
นางหยุดไม่ได้ รสชาติล้ำเลิศกอปรกับพลังปราณเข้มข้นทำให้นางสูญเสียความสามารถในการขบคิด ตอนนี้ในสมองของนางมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือกิน กิน!
ไม่นาน แตงโมชิ้นแรกก็ลงท้องไป ตามมาด้วยชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม
หลังจากหลี่เนี่ยนฝานกินแตงโมไปสองชิ้น ก็นั่งมองลั่วซืออวี่เงียบๆ
นางเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจริงเหรอ แค่กินแตงโม อร่อยขนาดนั้นเชียว?
ลั่วซืออวี่กินเข้าไปหกชิ้นรวดจึงวางมือลง มองไปยังความเละเทะตรงหน้า ใบหน้าสวยสล้างแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ ก้มหน้าด้วยความอับอาย หลุบสายตาลง ไม่กล้ามองหน้าหลี่เนี่ยนฝาน
แต่อีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งร่างของนางก็พลันผ่าวร้อน พลังปราณไร้ขีดจำกัดระเบิดจากในช่องท้อง!
…………………………………………