ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 20 บัณฑิตจิตนิยม
พวกไป๋อู๋เฉินรู้สึกว่าตนได้ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่แล้ว สมองวิงเวียนอยู่ครามครัน
กระนั้น ความตื่นเต้นที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นในใจ
นี่ต้องเป็นเรื่องราวของเซียนอย่างแน่นอน สิ่งที่เขาเล่าก็คือโลกของเซียนใช่ไหม
มิน่าเล่าทันทีที่ฟังก็รู้สึกได้ถึงทำนองมรรคา ไม่แน่ว่าในนั้นอาจมีวิถีอายุวัฒนะก็เป็นได้!
พวกเขาตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลี่เนี่ยนฝานเล่าเรื่องอย่างใจเย็น ไม่นานก็เล่าถึงวานรศิลาเข้าไปในถ้ำเพื่อกราบอาจารย์ผู่ถีขอร่ำเรียนวิชา
คนทั่วไปที่ผ่านไปมาในเมืองลั่วเซียน เมื่อได้ยินเรื่องเล่าของหลี่เนี่ยนฝาน ต่างก็วางมือจากงาน เข้ามาร่วมวงฟังด้วย
เดิมทีโลกนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนและปุถุชนอยู่ร่วมกัน ปุถุชนสนใจใคร่รู้เรื่องราวของเซียนกว่าสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น โลกที่หลี่เนี่ยนฝานเล่านั้นแสนอัศจรรย์ ต่อให้พวกเขาเป็นปุถุชน ก็ยังคิดว่าผู้คนในนั้นเก่งกาจกว่าเซียนเสียอีก
ในตอนนั้นเอง บัณฑิตสวมเสื้อสีฟ้ามอซอคนหนึ่งค่อยๆ เดินผ่านประตูเมืองมา
แววตาของเขาเหม่อลอย ราวกับสูญเสียเป้าหมายในชีวิต และกำลังขบคิดปัญหาบางอย่าง ปากพึมพำคำพูดที่ฟังไม่ชัดอยู่เป็นครั้งคราว
เขาเดินเข้ามาในเมืองลั่วเซียน ต่อให้ที่หน้าประตูเมืองมีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาแม้แค่จ้องมอง เขาดำดิ่งอยู่ในโลกของตนเอง คล้ายกับว่าโลกภายนอกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา
และในเวลานั้น ก็มีเสียงหนึ่งผ่านเข้ามาในโสตประสาทของเขา
“พระอาจารย์กล่าว “ใน ‘พระคัมภีร์’ แบ่งเป็นสามร้อยหกสิบพระคัมภีร์ย่อย ทุกคัมภีร์ย่อยล้วนนำไปสู่มรรคผล เจ้าจะเรียนคัมภีร์ใดเล่า” หงอคงตอบ “พระอาจารย์คิดว่าอย่างไรเหมาะสม ศิษย์ย่อมปฏิบัติตาม” พระอาจารย์กล่าว “ข้าจะสอนคัมภีร์ ‘ซู่เหมิน’ ให้เจ้าเป็นอย่างไร” หงอคงถาม “คัมภีร์ซู่เหมินเป็นอย่างไรหรือ” พระอาจารย์ตอบ “คัมภีร์ซู่เหมินก็คือการติดต่อดวงวิญญาณ ทำนายและดูฤกษ์ยาม เพื่อให้เข้าใจหลักแสวงหาเคราะห์ดีหลบเลี่ยงเคราะห์ร้าย” หงอคงเอ่ย “เรียนคัมภีร์นี้แล้วจะมีอายุวัฒนะไม่แก่ไม่ตายหรือไม่” พระอาจารย์ตอบ “ไม่ได้! ไม่ได้!” หงอคงพูด “เช่นนั้นไม่เรียน! ไม่เรียน!…”
ดวงตาอันว่างเปล่าของบัณฑิตผู้นั้นก็ค่อยๆ สุกสกาวขึ้นมา ฝีเท้าหยุดชะงัก เข้ามารวมกลุ่มฟังอย่างตั้งใจ
จากนั้น พระอาจารย์ผู่ถีก็เอ่ยถึงพระคัมภีร์อีกหลายเล่ม ให้ซุนหงอคงเลือก ทว่าซุนหงอคงฟังแล้วไม่ใช่คัมภีร์อายุวัฒนะ จึงล้วนแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
หลี่เนี่ยนฝานสัมผัสได้ว่าลมหายใจของผู้ฟังโดยรอบเริ่มถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด บางคนถึงกับตาแดงแล้ว
หนึ่งในนั้นเห็นจะเป็นไป๋อู๋เฉินซึ่งเด่นชัดที่สุด
ในใจของพวกเขาเริ่มร้อนรน ‘นี่คือวิถีซึ่งไร้สิ่งใดเทียบเทียม! เจ้าลิงโง่ถึงกับปฏิเสธซะได้! เจ้าลิงโง่ เจ้าลิงโง่นี่นะ! ร่ำเรียนวิชาอะไรสักอย่างสิ นั่นมันเทียบเท่ากับวิถีเซียนเชียวนะ ไม่สิ ยอดเยี่ยมกว่าเซียนด้วยซ้ำไป!’
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังสงสัยอีกว่า สรุปแล้วพระอาจารย์ผู่ถีผู้นี้เป็นคนอย่างไร สอนวิชาได้ตั้งมากมาย น่ากลัวเกินไปแล้ว!
แม้แต่เรื่องแบบนี้ คุณชายหลี่ก็เล่าได้เสียละเอียดยิบ เช่นนั้นเขาต้องอยู่ถึงระดับใดกัน
ไป๋อู๋เฉินไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขารับไม่ไหวหรอก
ยามที่พระอาจารย์ผู่ถีไม่ปรารถนาจะสั่งสอนหงอคงแล้ว และจากไปด้วยความเดือดดาล จิตใจของผู้คนต่างก็ดำดิ่ง
เข้าสู่เรื่องราวตามไปด้วย ประหนึ่งว่าตนเองได้คลาดจากวิถีทางอันยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน
ทว่า ครั้นซุนหงอคงไปหาพระอาจารย์กลางดึก ลมหายใจของทุกคนก็พลันถี่รัวขึ้นอีกคำรบ
หลี่เนี่ยนฝานกระตุ้นความตื่นเต้นของทุกคนอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยิ้มบางพร้อมเอ่ยว่า “เอาละ วันนี้เล่าถึงตรงนี้ก่อน ไปเดาเรื่องราวล่วงหน้าแล้วค่อยมาฟังต่อครั้งหน้า”
“ไม่นะ คุณชายหลี่ได้โปรดเล่าอีกรอบเถอะ”
“ไอ้หยา ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วหรือนี่ ภรรยาข้าต้องโมโหแน่!”
“คุณชายหลี่ พรุ่งนี้จะเล่าอีกหรือไม่ ข้าจะมาฟัง”
ทุกคนล้วนมองหลี่เนี่ยนฝานอย่างคาดหวัง แม้แต่นัยน์ตาของนานนานก็ยังสั่นไหว
หลี่เนี่ยนฝานลูบศีรษะของนานนาน “ทุกคนวางใจเถอะ พรุ่งนี้เวลานี้ข้าจะมาเหมือนเดิม”
“คุณชายหลี่ ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ!” ป้าจางเองก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของนานนาน ปลื้มปีติจนร่ำไห้ออกมา ค้อมกายขอบคุณหลี่เนี่ยนฝานไม่หยุด
“ป้าจาง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ รอให้นานนานหายดีก่อนแล้วค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยปาก
ไป๋อู๋เฉินและอีกสามคนเดินมาตรงหน้าของหลี่เนี่ยนฝาน ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวราวกับว่านักเรียนประถมเห็นอาจารย์อย่างไรอย่างนั้น
ในใจของพวกเขาก็รู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน ซุนหงอคงได้ร่ำเรียนวิชาอายุวัฒนะจริงหรือ วิชาอายุวัฒนะแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน นี่เป็นสิ่งที่พวกเขายึดเหนี่ยว
กระนั้นแล้วต่อหน้ากลับไม่กล้าเร่งเร้า
ได้ฟังคุณชายหลี่เล่าเรื่องราวเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นวาสนาอันสูงส่งของพวกเขาแล้ว
ใครจะไปคิดเล่าว่า คุณชายหลี่จะถึงกับเล่าเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อช่วยเด็กผู้หญิงปุถุชนคนหนึ่ง นี่สิจึงจะนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
ไป๋อู๋เฉินมองหลี่เนี่ยนฝานด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “คุณชาย พรุ่งนี้พวกข้ายังมาฟังเรื่องเล่าที่นี่ได้หรือไม่”
เขารู้สึกกังวลอยู่บ้าง เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในโลกเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ อย่างเขาจะมีคุณสมบัติที่จะฟังหรือ
“ก็แค่นิทานเท่านั้น ทำไมจะไม่ได้เล่า” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มตอบ
ผู้บำเพ็ญเซียนพวกนี้กฎระเบียบเยอะจริงๆ ฟังนิทานยังต้องขออนุญาต นิสัยใจคอดี ดีเหลือเกิน
ไป๋อู๋เฉินและอีกสามคนดีใจยกใหญ่ เมื่อคุณชายหลี่ยืนยันแล้ว ในใจพวกเขาก็พลันมั่นใจขึ้นมา
ไป๋อู๋เฉินค้อมกายพลางเอ่ย “คุณชายหลี่ วันนี้รบกวนมากแล้ว ขอตัวก่อน”
หลินชิงอวิ๋นเองก็เอ่ยเสียงเบา “คุณชายหลี่ วันนี้ขอลาตรงนี้ พรุ่งนี้ผู้น้อยจะมาฟังคำสั่งสอนของท่านอีกครั้ง”
“อื้ม บ๊ายบาย”
หลี่เนี่ยนฝานโบกมืออย่างสบายใจ
เขาเหลือบมองเวลา แล้วเดินอาดกลับไป
เพิ่งจะเดินไปถึงประตูเมือง บัณฑิตคนหนึ่งก็เข้ามาขวางไว้
บัณฑิตผู้นี้มีกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียนรุนแรง ราวกับคำว่า ‘บัณฑิตอ่อนปวกเปียก’ เป็นคำที่เกิดมาเพื่อเขา เขาคำนับหลี่เนี่ยนฝานพร้อมเอ่ย “ข้าชื่อเมิ่งจวินเหลียง คำนับคุณชาย”
“สวัสดีคุณชายเมิ่ง ข้าชื่อหลี่เนี่ยนฝาน” หลี่เนี่ยนฝานมองเขาอย่างสงสัย “ไม่รู้ว่าคุณชายเมิ่งมีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า”
สายตาของเมิ่งจวินเหลียงเป็นประกาย มองหลี่เนี่ยนฝาน “ข้าอยากถามคุณชายว่า มีวิถีอายุวัฒนะจริงหรือไม่”
หลี่เนี่ยนฝานมองไปยังบัณฑิตตรงหน้า เลิกคิ้วเล็กน้อย ทำไมนึกไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามประเภทนี้
บัณฑิตคนนี้ทั้งตัวมีเพียงกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนที่เขาเคยพบ คงจะเป็นเพียงปุถุชน
ถึงแม้การที่ปุถุชนแสวงหาวิถีอายุวัฒนะจะพอเข้าใจได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สมเหตุสมผล
จะบอกนายแบบไม่ปิดบังเลยนะ ฉันเองก็อยากอายุยืนยาวเหมือนกัน!
เขาพยายามจะลดทอนความมัวเมาในวิถีอายุวัฒนะของบัณฑิตคนนี้ จึงเอ่ยปากโน้มน้าว “ธรรมชาติมีวัฏจักร วิถีอายุวัฒนะนั้นเป็นไปไม่ได้”
“แต่ข้าอ่านจากหนังสือ ในนั้นบอกว่าเซียนจะมีอายุยืนยาว”
บัณฑิตพูดอย่างดื้อดึง “เหตุใดเซียนทำได้ แล้วปุถุชนทำไม่ได้เล่า ข้าหาตำราทั้งหมดแล้ว ไม่พบวิถีอายุวัฒนะ ตราบจนได้ฟังเรื่องเล่าของท่าน ท่านต้องรู้วิถีอายุวัฒนะเป็นแน่ ได้โปรดสอนข้าหน่อยเถิด!”
เจ้าบัณฑิตคนนี้ต้องอ่านหนังสือจนบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ใช้ชีวิตอยู่ในอุดมคติอย่างนั้น
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า เอ่ยปากถามว่า “เซียนสามารถใช้การบำเพ็ญตบะเพื่อรักษาพลังชีวิตของตนเองให้คงที่ แต่ปุถุชนไม่อาจทำได้ เจ้าเข้าใจปุถุชนบ้างหรือไม่”
บัณฑิตชะงักงันไป
ตัวเขาเป็นปุถุชน ทว่าไม่เข้าใจปุถุชนเลยสักนิด
แต่ไหนแต่ไรมา เขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับโลกของตำรา สิ่งที่อ่านล้วนเป็นความรู้จากตำรา ทุกสิ่งล้วนหยุดอยู่ที่หลักการและทฤษฎี และที่มากกว่านั้นก็พึ่งแต่จินตนาการของตนเอง!
เขามีความรู้มากมาย แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่รู้อะไรเลย
ใช้คำพูดของโลกเดิมที่หลี่เนี่ยนฝานจากมาก็คือบัณฑิตคนนี้โอนเอียงไปทางจิตนิยม
ตราบใดที่ข้าไม่อยากตาย ข้าก็จะไม่ตาย
………………………………………………….