ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 28 แปลงกาย ด่านเคราะห์อัสนี
รัศมีแสงสีขาวผ่องสองจุดดูประหนึ่งภูติแห่งหุบเขา ประดับประดาโลกหล้าใบนี้
นัยน์ตาดำสนิทของจิ้งจอกเก้าหางมีประกายสุกใสสว่างวาบ เผยให้เห็นแววตาการคิดเยี่ยงมนุษย์ ราวกับว่ากำลังหวนระลึกถึงอดีต
“ท่านพี่ ไม่ต้องแปลงร่างแล้วได้ไหม พวกเราซ่อนตัวอยู่ด้วยกันบนเขาไม่ได้หรือ”
ดวงตาของจิ้งจอกหกหางปรากฏความวิตกกังวล เสียงกังวานใสเปล่งออกมาจากปาก ย่อมรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของเด็กสาวแรกรุ่น
จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้า สายตาแน่วแน่ “มนุษย์กับปีศาจนั้นต่างกัน ต้องแปลงร่างเท่านั้นถึงจะตอบแทนบุญคุณได้”
“ไม่แปลงร่างพวกเราก็คอยแอบปกป้องเขาได้นี่” จิ้งจอกหกหางถามอย่างไม่เข้าใจ
ในห้วงสำนึกของจิ้งจอกเก้าหางปรากฏเงาร่างนั้นอย่างห้ามไม่อยู่ พึมพำเสียงเบา “เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก”
ในวันนั้น มันหายใจรวยริน เป็นคนผู้นั้นที่ทำแผลพันแผลให้อย่างเอาใจใส่ มันจึงมีชีวิตรอดมาได้
ถึงแม้มันจะไม่เข้าใจมาโดยตลอด เห็นชัดๆ ว่าเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เพราะเหตุใดจึงรักษาบาดแผลของตนได้ และหลังจากนั้นการบำเพ็ญตบะของตนก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็สำเร็จเก้าหางแล้ว
จิ้งจอกหกหางน้ำเสียงระคนสะอื้น “ท่านพี่ ด่านเคราะห์สวรรค์ของการแปลงกายนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ข้าไม่อยากให้วิญญาณของท่านแหลกสลาย ท่านไม่อยู่แล้ว ข้าจะทำอย่างไรเล่า”
“ตอนนี้เจ้ามีพลังพอที่จะปกป้องตนเอง หากข้าแปลงร่างสำเร็จ ยังต้องให้เจ้ามาช่วยข้าเสียด้วยซ้ำ” จิ้งจอกเก้าหางเอ่ย
สายตาของมันแข็งกร้าวเล็กน้อย หางทั้งเก้าโบกสบัดไปมา “ข้าสัมผัสได้ โอกาสในการแปลงร่างของข้าใกล้เข้ามาแล้ว!”
พูดจบ มันก็กระโดดลงจากต้นไม้ กระโจนไปไกลราวกับขี่สายลมอันแผ่วเบา
“ท่านพี่”
จิ้งจอกหกหางน้ำตาเอ่อคลอดวงตา รีบร้อนกระโดดติดตามไป
หากอสูรต้องการกลายร่าง นอกจากต้องผ่านการบำเพ็ญตบะเดินพันปีแล้ว ที่สำคัญคือต้องเผชิญกับด่านเคราะห์สวรรค์ของการแปลงกายอีกด้วย
มนุษย์เป็นนายแห่งสรรพวิญญาณ ปีศาจอสูรแปลงร่างนับว่าขัดหลักธรรมชาติ ด่านเคราะห์สวรรค์ที่ต้องประสบพบเจออาจรุนแรงยิ่งยวด หากไม่ระวังวิญญาณอาจแหลกสลายไป
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ปีศาจอสูรยืนหยัดต้านทานด่านเคราะห์อัสนีได้สำเร็จ ตบะที่สั่งสมมานับพันปีก็จะมลายหายไป จำต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่แต่ต้น
ถึงจะบอกว่าหลังจากแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว การบำเพ็ญตบะใหม่จะรวดเร็วกว่าเก่า ทว่าต้องเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่ศูนย์ หากวันดีคืนดีมีศัตรูคู่อาฆาตมาตามล้างแค้น ย่อมเป็นไปได้ว่าจะตายสถานเดียว!
นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าเป็นปีศาจ สิ่งที่พวกเขาล้วนใคร่อยากพบพานมากที่สุดก็คือปีศาจที่เพิ่งกลายร่าง
ยามนั้นพลังตบะของปีศาจจะอ่อนแอที่สุด ทว่าตันปีศาจกลับแข็งแกร่งที่สุด หากจับได้ก็เปรียบประหนึ่งสวรรค์ประทานแป้งทอดไส้เนื้อให้อย่างไรอย่างนั้น
ฉะนั้น ปีศาจแปลงกายจึงเป็นการนำชีวิตของตนเองมาล้อเล่น โดยทั่วไปแล้วปีศาจที่เลือกแปลงกายมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักใช้ร่างเดิมไม่ก็อยู่ในร่างครึ่งคนครึ่งปีศาจ
‘เมื่อใดที่ข้าแปลงเป็นคนแล้ว ก็จะสามารถรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายได้’ จิ้งจอกเก้าหางคิดเช่นนั้น ดวงตาเปี่ยมความคาดหวังและมุ่งมั่น
ระยะเวลาหนึ่งเดือน รู้สึกผ่านไปเร็วเหลือเกินในโลกบำเพ็ญเซียน
“เปรี้ยง!”
วันนั้น กลุ่มเมฆหนาทึบพลันปรากฏ บดบังแสงแดดสิ้น ไม่มีแสงส่งผ่านแม้แต่ช่องเดียว ท้องฟ้ามืดมิดลงในชั่วพริบตา
เป็นช่วงเวลาเที่ยงวันแท้ๆ แต่กลับมืดมิดเช่นยามราตรี
อัสนีบาตแหวกกลีบเมฆ ผ่าฟาดตามเสียงฟ้าคำราม หากเงยหน้ามองฟ้า จะถึงกับเห็นงูยักษ์สีเงินเลื้อยผ่านชั้น
เมฆ
“ไม่หรอกมั้ง วันนี้จะโชคร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลี่เนี่ยนฝานยืนอยู่กลางป่า ยิ้มขื่นมองฟ้าพลางส่ายหน้า
วันนี้เขานึกครึ้มขึ้นมา จึงพาต้าเฮยออกมาเดินเล่นในป่า พร้อมกับลองหาดูว่ามีสัตว์ป่าให้ล่าได้บ้างไหม ทำไมฝนนึกจะตกก็ตกลงมาอย่างนี้ล่ะ
เปาะแปะๆ
ในเวลาช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาที ฝนเม็ดโตก็หยดลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน
“รีบหาที่หลบฝนกันก่อนเร็ว” หลี่เนี่ยนฝานรีบร้อนมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“โฮ่งๆๆ!”
ต้าเฮยเห่าไปในทิศทางหนึ่งอยู่หลายครั้ง สี่ขาควบออกไปทันควัน
หลี่เนี่ยนฝานไล่ตามต้าเฮยไป ไม่ทันไรก็เห็นถ้ำบนเขาแห่งหนึ่ง
“โชคเข้าข้างอยู่นะเนี่ย นี่เป็นถ้ำจริงๆ ด้วย ต้าเฮย ทำดีมาก!”
หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะร่า เอ่ยชมเสียยกใหญ่
หารู้ไม่ว่า เมื่อครู่นี้ปีศาจหมีเพิ่งจะตาลีตาเหลือกหนีออกไปจากที่นี่ด้วยความหวาดกลัว
“เปรี้ยงๆ!”
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกับที่หลี่เนี่ยนฝานเข้ามาในถ้ำ สายอัสนีบาตหนาเท่าปากชามก็ฝ่าฟาดจากฟ้าลงสู่สัก
ที่หนึ่งกลางป่า!
โลกที่ถูกกลืนอยู่ในความมืดมิดก็พลันส่องสว่าง
ฝนห่าใหญ่เทลงตามมา
หลี่เนี่ยนฝานยืนอยู่ที่ปากถ้ำ ทอดสายตาไปไกลสุดเส้นขอบฟ้า
“โครม!”
อัสนีบาตอีกสายหนึ่งผ่าลงเบื้องล่าง ครานี้รุนแรงกว่าคราก่อนเสียอีก ประดุจเป็นเสาค้ำสวรรค์สีเงินตั้งตระหง่านคั่นฟ้าดิน
น่ากลัวเหลือเกิน
หลี่เนี่ยนฝานมองดูด้วยความตื่นอกตกใจ หนาวสะท้านไปทั้งร่าง
โลกของผู้บำเพ็ญเซียนน่ากลัวจริงๆ ด้วย ในโลกเดิมเขายังไม่กล้าจินตนาการถึงสายฟ้าแบบนี้ด้วยซ้ำ ผ่าใส่ทั้งเมืองจนเป็นอัมพาตได้ทั้งเมืองเชียวนะ ต่อให้มีสายล่อฟ้าก็ไร้ประโยชน์
“หืม?”
หลี่เนี่ยนฝานหรี่ตาเล็กน้อย ยืนนิ่งงันไปทั้งตัว
ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตาฝาดไป ด้านล่างของสายฟ้า คล้ายกับว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่
โคตรจะเท่เลย!
ต้านแรงสายฟ้าพรรค์นี้ได้ ต้องอยู่ในระดับพี่ใหญ่ของโลกบำเพ็ญเซียนแน่นอน แล้วตนก็คงไม่ได้กำลังเจอพี่ใหญ่สองคนต่อสู้กันอยู่ใช่ไหม
หลี่เนี่ยนฝานหน้าผากเต้นตุบๆ ในใจตกประหม่า
ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน
เขาไม่ได้มีความคิดจะเข้าไปร่วมประสมโรงแม้แต่น้อย ต้องการเพียงรีบหนีไปให้ไกล
ตนเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา ลำพังควันหลงของการต่อสู้ก็เพียงพอให้เขากลายเป็นเถ้าถ่าน คนวอนตายเท่านั้นถึงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ขณะที่กำลังคิด ท้องฟ้าก็สว่างวาบขึ้นมา!
เปรี้ยง!
อัสนีบาตสายที่สามฟาดลงมา เมื่อเทียบกับสองสายก่อนหน้า อัสนีบาตครานี้เปล่งแสงสีแดง เห็นได้ชัดว่าพลังก็แข็งแกร่งขึ้น
หลี่เนี่ยนฝานมองเห็นอย่างแจ่มชัด ด้านล่างของสายอัสนีบาตมีบางอย่างอยู่ ทั้งยังแลดูคล้ายกับบินขึ้นฟ้าไป
“ผู้บำเพ็ญเซียนจากไหนเนี่ย ดันมาอยู่กันที่นี่ได้” หลี่เนี่ยนฝานขมขื่นใจสุดแสน
สิ่งที่น่ายินดีก็คือสายฟ้านี้ไม่ได้เคลื่อนตำแหน่งเลย หลี่เนียนฝานจึงพอเบาใจลงได้
เขากอดต้าเฮย คนหนึ่งสุนัขหนึ่งพึ่งพากันเพื่อความอยู่รอด
หลังจากอัสนีบาตสายที่เก้าจบลง เมฆครึ้มก็กระจายออกในที่สุด สายฝนหยุดลง แสงอาทิตย์พลันสาดส่องลงมา
หลี่เนี่ยนฝานยืบอาบแสงแดด เขาประทับใจจนแทบร่ำไห้ ทำเอาตกใจแทบแย่
เขาไม่กล้ารอช้า เดินออกจากถ้ำ มุ่งหน้าไปยังทิศตรงกันข้ามกับสายฟ้าอย่างเร็วรี่
“ต้าเฮย เร็วหน่อย” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยเร่งเร้า
บนเขาหลังฝนตกเละเทะเกินทน รองเท้าและชายกางเกงของหลี่เนี่ยนฝานเปรอะเปื้อนดินโคลน ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าชะลอความเร็ว
ใครจะไปรู้ล่ะว่าผู้บำเพ็ญเซียนด้านหลังสองคนจะเกิดอาละวาดสู้กันขึ้นมาอีก
ถ้าหากมาตีกันตรงนี้ ตนคงต้องตายแหงแก๋แน่นอน
ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนน่ะหรือ
หลี่เนี่ยนฝานไม่อยากเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมาล้อเล่น
เมื่อตัดผ่านป่าแห่งนี้ได้ เบื้องหน้าก็ปรากฏทะเลสาบขนาดยาว น้ำใสดังกระจก ราวกับเป็นริบบิ้นเส้นยาวทอด
ผ่านหุบเขา
เดินตามทะเลสาบสายนี้ไป ก็จะถึงเรือนสี่ประสานของหลี่เนี่ยนฝาน