ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 34 คุณชายหลี่กำลังเตือนสติข้าอยู่!
ณ เรือนสี่ประสาน
หลี่เนี่ยนฝานจิตใจผ่องแผ้วดีเหลือเกิน
เพียงเพราะในที่สุดในบ้านก็มีเงาคนเพิ่มมาแล้ว
หลายปีมานี้ เขาตัวคนเดียวมาตลอด ยากที่จะห้ามความรู้สึกโดดเดี่ยว
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะต้อนรับแขกเหรื่อไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแขก ทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียน หรือจะเรียก
ว่าพวกเขาไม่ใช่คนในโลกเดียวกับตนก็ได้
จะมีก็แต่วันนี้ ในที่สุดเรือนสี่ประสานก็มีคนเข้ามาอยู่เป็นคนที่สองแล้ว ทั้งยังเป็นหญิงสาวแสนสวยอีก
ถึงหลี่เนี่ยนฝานจะไม่ตัดสินคนจากภายนอก แต่ใครบ้างจะไม่อยากให้ภรรยาของตัวเองหน้าตาสะสวย
ถ้าหากอยู่ในโลกก่อนหน้า ชีวิตของเขาก็นับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว สวรรค์ก็ไม่ได้ดูแคลนเขานะเนี่ย
เวลานี้ หลี่เนี่ยนฝานกำลังแนะนำแผนผังของเรือนสี่ประสานกับต๋าจี่
เป็นไปตามความคาดหมายของหลี่เนี่ยนฝาน ระหว่างที่พูด สีหน้าของต๋าจี่ก็ค่อยๆ ฉายแววตกตะลึง
เขารู้สึกกระหยิ่มใจอยู่บ้าง ของที่นี่ล้วนเป็นของที่ระบบส่งมา แม้ว่าระบบจะตุ๋นเขาซะเปื่อย แต่คุณภาพของของเหล่านี้ยังพอเอาไปอวดเบ่งได้อยู่บ้าง อีกทั้งการประดับตกแต่งและเครื่องเรือนก็ล้วนเป็นสไตล์ของโลกเดิม ทั้งโลกบำเพ็ญเซียนไม่น่าจะมีที่ไหนหรูหราเท่าที่นี่อีกแล้ว
ต้องบอกว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียน มาที่นี่แล้วก็ต้องตกใจกันยกใหญ่
ความอวดเบ่งครั้งนี้จัดว่าประสบผลสำเร็จ
ต่อไปก็คือการแนะนำสมาชิกในครอบครัว
หลี่เนี่ยนฝานชี้ไปยังต้าเฮย “เจ้าหมาดำตัวนี้ชื่อว่าต้าเฮย ฉลาดเฉลียวมาก ต้าเฮย กระดิกหางให้ต๋าจี่เร็ว”
ต้าเฮยสีหน้าเฉยเมย แต่ก็ยังเชื่อฟังกระดิกหางไปมา
ต๋าจี่โบกมือให้ต้าเฮยอย่างเป็นมิตร
“ถัดมาก็คือสมาชิกอีกท่านหนึ่ง แล้วก็ยังเป็นพ่อบ้านของเรือนสี่ประสานด้วย”
หลี่เนี่ยนฝานตั้งใจอวดเบ่ง จึงบอกกับเสี่ยวไป๋ว่า “เสี่ยวไป๋มานี่ หลังจากนี้ต๋าจี่จะมาอยู่ที่นี่ ต้องเชื่อฟังเข้าใจไหม”
เสี่ยวไป๋ค้อมกายคำนับอย่างสุภาพ “เสี่ยวไป๋คำนับนายหญิง ขอให้นายหญิงสุขภาพแข็งแรง”
ปากเล็กของต๋าจี่ยกอ้าค้างน้อยๆ สายตาตะลึงงัน เอ่ยอย่างตกใจ “อาวุธวิญญาณ?”
“ไม่ใช่อาวุธวิญญาณ เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงชนิดหนึ่ง ภายหลังมีเรื่องอะไรก็สั่งให้เสี่ยวไป๋ไปทำ มันทำได้ดีเชียวละ” หลี่เนี่ยนฝานพูด
เห็นได้ชัดว่าต๋าจี่ไม่ได้ฟังสิ่งที่หลี่เนี่ยนฝานอธิบาย นางเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่นี่มากมายเหลือเกิน ในมุมหนึ่งอาจจะมีของล้ำค่าเทียบเท่าอาวุธเซียน ถ้าหากยังมองว่าหลี่เนี่ยนฝานเป็นปุถุชนอยู่ละก็โง่เง่าเต็มทีแล้ว
น่ากลัวว่าแม้แต่ราชสำนักเซียนยังเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวกระมัง
มิน่าเล่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นถึงได้ประจบประแจงคุณชายหลี่กันสุดชีวิต ที่แท้ก็เพราะคุณชายหลี่เป็นปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวกคนหนึ่งนั่นเอง!
ผู้ที่ตนเองอยากตอบแทนบุญคุณถึงกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ในใจของต๋าจี่พลันซับซ้อนเหลือเกิน
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากที่แปลงกายแล้วจะแต่งงานกับหลี่เนี่ยนฝาน ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก ปกปักรักษาชีวิตอันสงบสุขของเขา
ตอนนี้…คุณชายหลี่จะเห็นตนอยู่ในสายตาหรือ
ต๋าจี่เอ่ยถามอย่างกระอักกระอ่วน “คุณชายหลี่ ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ หรือ”
“ได้อยู่แล้ว เจ้าอยู่ได้อย่างสบายใจ คิดเสียว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณคุณชายหลี่ ข้าจะคอยดูแลรับใช้ท่านเป็นอย่างดี” ต๋าจี่ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ในใจตัดสินใจแน่วแน่ ในเมื่อตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะตอบแทน เช่นนั้นก็ใช้วิธีการอื่นมาตอบแทน ให้ทุ่มกำลังเต็มที่เป็นวัวเป็นม้าก็ไม่เป็นไร
“ไม่ใช่ดูแลรับใช้ เราจะปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม” หลี่เนี่ยนฝานเองก็จนคำพูด
ถึงแม้ลึกๆ แล้วหลี่เนี่ยนฝานจะรู้สึกชื่นอกชื่นใจที่ได้ยินต๋าจี่พูดเช่นนั้น แต่เขาก็ยังคิดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดของนางใหม่
“คุณชายหลี่ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ทั้งยังยอมให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดกำลัง จะไปปฏิบัติต่อท่านอย่างเท่าเทียมกันได้อย่างไร” ต๋าจี่กัดริมฝีปาก น้ำตาคลอหน่วยมองหลี่เนี่ยนฝาน “หรือว่าท่านอยากไล่ข้าออกไป”
ในใจของนางยังคิดเสริมมาอีกหนึ่งประโยค ‘ท่านอาจลืมเรื่องในครานั้นที่ได้ช่วยสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวนั้นแล้วกระมัง แต่ข้าลืมไม่ได้หรอก!’
เมื่อนับรวมกับเรื่องนี้ คุณชายหลี่ได้ช่วยชีวิตนางไว้ถึงสองครั้ง อีกทั้งในยามนี้ยังยินดีให้นางพักอยู่ที่นี่ ช่วยให้นางหลบหนีจากการตามล่าของผู้คน เท่ากับว่าช่วยชีวิตนางไว้ บุญคุณนี้ ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจชดใช้คืนได้หมด
หลี่เนี่ยนฝานเห็นต๋าจี่ทำท่าจะร่ำไห้เพราะเห็นแย้งกัน จึงทำได้เพียงพูดอย่างจนปัญญาว่า “ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
ดูสิ ผู้หญิงสมัยโบราณช่างดีและใสซื่อเพียงใด
“จริงสิ เจ้าเดินหมากเป็นไหม” อยู่ๆ หลี่เนี่ยนฝานก็ถามขึ้น
เขารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา
อันที่จริงกิจกรรมบันเทิงของที่นี่มีน้อยนิด การเดินหมากนับว่าเป็นความสนใจหนึ่งในไม่กี่อย่างของหลี่เนี่ยนฝาน
ยามปกติเขาจะเดินหมากกับเสี่ยวไป๋ แต่เสี่ยวไป๋ก็เป็นเพียงหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง เดินหมากกับมันช่างไร้อารมณ์ เหมือนกับเล่นอยู่คนเดียว ไหนเลยจะสนุกเหมือนการเดินหมากกับคนจริง
“ไม่ค่อยเป็นเจ้าค่ะ” ต๋าจี่รู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง
“ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ข้าสอนเจ้าได้” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มบาง
ทันใดนั้นก็หยิบกระดานหมากออกมา เปิดฉากประชันฝีมือที่โต๊ะหินในเรือน
“เสี่ยวไป๋ ไปคั้นน้ำแตงโมมาสองแก้ว” หลี่เนี่ยนฝานสั่ง
ผู้หญิงต้องชอบดื่มน้ำผลไม้แน่นอน
หลี่เนี่ยนฝานและต๋าจี่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน หลี่เนี่ยนฝานเดินหมากสีดำ ต๋าจี่เดินหมากสีขาว
“แกร็ก”
หลี่เนี่ยนฝานเริ่มเดินหมากก่อน
ทันทีที่วางหมากลงบนกระดาน สีหน้าของต๋าจี่ก็ชะงักงัน ทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ในสายตาของนาง กระดานหมากตรงหน้าขยายใหญ่ในฉับพลัน สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันหายไป โลกทั้งใบเหลือเพียงสีดำและสีขาว
ทั้งสองสีพัวพันกันไม่เลิกรา ถึงกับมีรสชาติของมรรคาเต็มเปี่ยม
นี่คือ…วิถีแห่งหยินหยาง?
หัวใจของต๋าจี่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง วิถีแห่งหยินหยางกดทับจนนางหายใจไม่ออก กว่าจะเดินหมากแต่ละตัวได้นั้นแสนยากเย็น
ไม่ทันไร นางก็เหงื่อกาฬโซมกาย แม้แต่แรงจะวางหมากก็ยังไม่มี
แม้ว่าพลังบำเพ็ญของนางจะสูญสลายไปสิ้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีวิถีบำเพ็ญเซียน ระดับพลังของนางยังคงอยู่ กระนั้นแล้ว เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลี่เนี่ยนฝาน วิถีทางของนางก็ไร้ประโยชน์ขึ้นมา
นี่มันเป็นการเดินหมากที่ไหนกัน นี่มันเป็นการถกเถียงหลักปรัชญาชัดๆ!
“ดูท่าแล้วเจ้าเดินหมากไม่เป็นจริงๆ” หลี่เนี่ยนฝานทอดถอนใจ
เดิมทีเขาคิดว่าต๋าจี่แค่ถ่อมตัว ไม่คิดว่าจะเล่นไม่เป็นจริงๆ
“ข้าสอนเจ้าก็แล้วกัน เจ้านำหมากมาวางที่นี่ได้ แบบนี้ กดดันฝั่งของเจ้า เดินหน้าบุก ถอยหลังตั้งรับ และตาต่อไป สิ่งที่หมากสีดำจะทำได้ก็คือเดินมาที่นี่ เจ้าก็…”
หลี่เนี่ยนฝานอธิบายไปพลางสาธิตให้ต๋าจี่ดูด้วยความใจเย็น
ต๋าจี่ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
เบื้องหน้าของนาง โลกสีขาวดำบิดวนไม่หยุด สอดประสานซึ่งกันและกันราวกับวิถีการแปรเปลี่ยนของฟ้าดิน ผันผวนรวนเร แต่กลับมองเห็นร่องรอย หลายสิ่งทำให้ต๋าจี่พลันประจักษ์แจ้งในความจริง ที่แท้…นี่ก็คือวิถีทางอันแท้จริง!
‘มิน่าเล่ายามที่ข้ากลายร่างถึงต้านทางด่านเคราะห์สวรรค์ไม่ได้ ที่แท้ก็เพราะตนเองเดินผิดวิถีทาง’ ในใจของต๋าจี่ทั้งตื่นเต้นทั้งซาบซึ้งเหลือคณานับ ‘คุณชายหลี่กำลังพยายามให้ข้าทำใจ เขาต้องเห็นว่าข้าจะไม่อาจรอดพ้นจากด่านเคราะห์สวรรค์ไปได้ จึงได้เทศนาสั่งสอนข้า เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนสติข้าอยู่!’
เพียงแค่ฟังเขาอธิบาย ระดับพลังของนางก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างหยุดไม่อยู่ เมื่อใดที่อาการบาดเจ็บภายในหายดี นางสัมผัสได้ว่าตนเองจะต้องหวนคืนสู่ระดับสูงสุดหรือระดับที่สูงกว่าก่อนหน้านี้ได้
หลี่เนี่ยนฝานพูดจนปากแห้ง ตอนนั้นเสี่ยวไป๋ก็ยกน้ำแตงโมมาสองแก้วพอดี
“ดื่มน้ำผลไม้ก่อนเถิด เจ้าต้องชอบแน่”
ต๋าจี่พยักหน้า แววตาออกจะสับสนอยู่บ้าง
คุณชายหลี่บรรยายได้ละเอียดยิบ ทว่ากฎแห่งธรรมชาตินั้นลึกล้ำเกินไป มีหลายอย่างที่ยังคงคลุมเครือและลึกล้ำเกินกว่าจะเข้าใจ อยู่ใกล้ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ดันมีม่านหมอกมาบดบัง ทำให้นางมองไม่เห็นแก่นแท้
“เฮ้อ ความเข้าใจของข้าย่ำแย่เหลือเกิน” ต๋าจี่รู้สึกละอายใจต่อคำชี้แนะของหลี่เนี่ยนฝาน
สายตาของนางหยุดลงที่น้ำแตงโมเบื้องหน้า
ในแก้วลายผลึกใส น้ำสีแดงฉ่ำส่องประกายระยับใต้แสงอาทิตย์ และแก้วใบนี้คล้ายกับจะผ่านการแช่แข็งมาแล้ว ด้านนอกอาบด้วยผลึกน้ำแข็ง เพียงแค่มองก็พาให้รู้สึกสดชื่นแล้ว
…………………………………