ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 37 โลกบำเพ็ญเซียนที่ควรค่าแก่การแซ่ซ้องสรรเสริญ
กลางป่า จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่เห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ตะลึงงันจนนิ่งไป
สองตาเบิกกว้างด้วยความอึ้งงัน มุมมองต่อโลกพลิกคว่ำไปหลายตลบ
“ขะ ขะ เขา…” ลั่วซืออวี่ริมฝีปากสั่นระริก จนคำพูดเสียแล้ว
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกัน
แค่ชี้นิ้วไปเรื่อยเปื่อยก็ทำให้ราชาปีศาจสองตนกลับคืนร่างเดิมได้เลยหรือ
นี่มันพลังอะไรกัน โลกบำเพ็ญเซียนมีตบะชั้นสูงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ที่แน่ใจได้เรื่องหนึ่งก็คือ นี่ไม่ใช่การบำเพ็ญเซียน!
“ไม่ต้องพูด! บัณฑิตผู้นี้ก็คือคนที่เรียกตนเองว่าเป็นเด็กรับใช้ของคุณชายหลี่” จักรพรรดิลั่วกล่าวเสียงขรึม สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความตะลึงลานของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าลั่วซืออวี่ ภาพฉากเมื่อครู่ช่างน่าสะพรึงกลัว ยากจะลืมเลือนไปตลอดกาล
โลกนี้อันตรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ขาใหญ่ล้วนแต่ชอบแสร้งเป็นปุถุชนอย่างนั้นหรือ ต่อไปตนเองพบเจอปุถุชนย่อมต้องเกรงใจสักหน่อย
“กร็อบแกร็บๆ!”
เมิ่งจวินเหลียงเดินเท้าเปล่า เหยียบย่ำบนพื้นลงเขาไป
ลั่วซืออวี่และจักรพรรดิลั่วล้วนไม่กล้าขยับเขยื้อน มองบัณฑิตคนนี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“พวกท่านเป็นแขกของคุณชายหลี่หรือ” เมิ่งจวินเหลียงหยุดยืน เอ่ยปากถาม
เม็ดเหงื่อใสผุดขึ้นบนหน้าผากของจักรพรรดิลั่ว เขาแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น แท้จริงแล้วหัวใจเต้นระส่ำสุดชีวิต
คนแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
เขาเค้นรอยยิ้มเปี่ยมไมตรีจิต กล่าวว่า “ใช่…ใช่แล้ว”
“อิจฉาพวกท่านเหลือเกิน ได้ไปนั่งเป็นแขกของคุณชายหลี่ ไม่รู้ว่าต้องบำเพ็ญเพียรสักกี่ปีกี่ชาติจึงจะมีวาสนาเช่น
นี้” ในใจของเมิ่งจวินเหลียงเศร้าสร้อยเหลือคณา พูดต่อว่า “พวกท่านต้องรักษาไว้ให้ดี”
หลี่เนี่ยนฝานไม่คิดจะเชิญตนเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ ดูแล้วการตื่นรู้ของเขาทำให้คุณชายหลี่ผิดหวังจริงๆ ด้วย
จักรพรรดิลั่วรีบกล่าวอย่างถ่อมตัว “คุณชายหลี่เป็นถึงปรมาจารย์ พวกข้ามีโชคถึงได้เข้าไปคอยรับใช้ ย่อมต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดี”
เมิ่งจวินเหลียงพยักหน้า สาวเท้าผ่านข้างกายพวกเขาไป
ลั่วซืออวี่กัดฟันกรอด สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ ขอถามสักหน่อย…ข้าขอยืมอ่านบันทึกท่องประจิมได้ไหม”
เมิ่งจวินเหลียงชะงักฝีเท้าลง ยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ข้าเตรียมดำเนินรอยตามบันทึกท่องประจิม เริ่มต้นจากที่นี่ มุ่งหน้าสู่ทิศประจิม ทำความเข้าใจโลกไปพลาง เผยแผ่คำสอนในบันทึกท่องประจิมไปพลาง”
ความกริ่งเกรงที่ลั่วซืออวี่มีต่อบัณฑิตผู้นี้ค่อยๆ ลดลง เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงไม่สวมรองเท้า”
“เพราะข้าต้องการสัมผัสธรรมชาติ” นัยน์ตาของเมิ่งจวินเหลียงลึกล้ำ พูดเสียงเรียบ “สองเท้าสัมผัสผืนดิน จึงทำให้ข้าซึมซับธรรมชาติได้ดีกว่าเดิม”
พูดจบ เขาก็ก้าวเท้า เดินจากไปช้าๆ
จักรพรรดิลั่วมองตามแผ่นหลังของบัณฑิตซึ่งห่างออกไปเรื่อยๆ พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “หรือว่า สิ่งที่เขาฝึกฝนจะไม่ใช่เซียน แต่เป็น…มรรคา”
“มรรคา?” ลั่วซืออวี่สีหน้าสับสน
จักรพรรดิลั่วพยักหน้า เอ่ยพลางทอดถอนใจ “ไม่ว่าจะเป็นคุณชายหลี่หรือบัณฑิตท่านนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนมีพลังที่น่าอัศจรรย์ แต่ทุกสรรพสิ่งย่อมต้องลงมือทำด้วยตนเอง วิถีทางล้วนเป็นไปตามหลักของปุถุชน นี่สิจึงจะนับว่าเป็นระดับของเทพเซียนที่แท้จริง!”
ผู้บำเพ็ญเซียนสามารถเหาะเหินเดินอากาศ คุมเมฆขี่หมอก ใช้กระแสจิต ควบคุมลมและไฟ ทำให้ตนเองสะดวกสบายขึ้นมากโข
ทว่าคุณชายหลี่และบัณฑิตท่านนั้นกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับก้าวเดินทีละขั้นตอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่กระมัง
จักรพรรดิลั่วสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวอย่างจริงใจ “ไปกันเถอะ พวกเราไปเยี่ยมเยียนคุณชายหลี่กัน!”
“แกร็ก”
พวกเขายังไม่ทันได้เคาะ ประตูก็เปิดออกเอง
หลี่เนี่ยนฝานเปิดประตูออกมามองด้วยความสงสัย “เมื่อกี้ข้าคล้ายกับว่าได้ยินเสียงอะไร เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“คงเป็นเสียงสัตว์สองตัวนั้นร้อง” ลั่วซืออวี่ชี้ไปยังวัวและหมาป่าด้านข้าง
หลี่เนี่ยนฝานกระจ่างทันใด กล่าวกลั้วหัวเราะ “พวกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว มาทั้งที ยังต้องนำเนื้อสัตว์ป่ามาด้วย เชิญเข้ามาเถิด”
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่มองหน้ากันอย่างประดักประเดิด ไม่ได้พูดให้มากความ
“จริงสิ พวกท่านได้พบบัณฑิตที่อยู่ข้างนอกไหม” หลี่เนี่ยนฝานถาม
ลั่วซืออวี่ “พบแล้ว เขาไปแล้ว”
“ไปได้สักที”
หลี่เนี่ยนฝานถอนหายใจยาว พูดอย่างจนปัญญา “คนผู้นั้นสมองไม่เข้าที่เข้าทาง ข้าอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่าวิถี
อายุวัฒนะแก่เขาจนชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ ทั้งยังเข้าใจผิด ด้วยสติปัญญาเช่นนี้ หวังว่าเขาจะไม่มาทำให้ข้าปวดหัวอีก”
ผู้พูดไม่ได้คิดมาก ทว่าผู้ฟังกลับคิดตาม
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่พลันสมองขาวโพลน ใบหน้าฉายแววตื่นตะลึงทันใด
ที่แท้บัณฑิตท่านนั้นก็ฝึกวิถีอายุวัฒนะกับคุณชายหลี่!
นั่นเป็นวิถีอายุวัฒนะเชียวนะ ฮือๆๆๆ น่าอิจฉาเหลือเกิน!
แต่ว่าเมื่อฟังความหมายของคุณชายหลี่ บัณฑิตคนนั้นคล้ายกับว่าจะไม่เข้าใจ ถึงขั้นว่าเข้าใจผิด
ประเด็นสำคัญก็คือ ต่อให้ไม่อาจเข้าใจถึงแก่นแท้ในสิ่งที่คุณชายหลี่พูด บัณฑิตคนนั้นก็ยังได้รับพลังที่เก่งกาจ
ถึงเพียงนั้น
แล้ววิถีอายุวัฒนะที่แท้จริงจะอัศจรรย์เหนือธรรมชาติขนาดไหนกัน
คุณชายหลี่มีท่าทีเดียดฉันท์บัณฑิตท่านนี้อย่างชัดเจน ผิดหวังถึงขนาดที่ไม่ให้เขาเข้าบ้าน
ในชั่วขณะนั้น จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่คิดไปต่างๆ นานา จิตใจซับซ้อนเหลือเกิน
แม้แต่การตื่นรู้ของบัณฑิตท่านนั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจวิถีอายุวัฒนะของคุณชายหลี่ได้อย่างถ่องแท้ เกรงว่าบนโลกนี้
คงไม่มีใครเข้าตาคุณชายหลี่แล้วกระมัง
น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว
นี่สิถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อยากหลบไปเป็นเศษขยะอยู่ในมุมมืดให้รู้แล้วรู้รอด
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เซียนเฉียนหลง จักรพรรดิลั่วรู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องจบหัวข้อสนทนานี้ มิฉะนั้นอาจน้อยเนื้อต่ำใจจนขาดใจตายก็เป็นได้
เขาหยิบกำไลข้อมือหยกออกมาอย่างอ่อนแรง เอ่ยปากว่า “คุณชายหลี่ นี่คือโอสถวิเศษที่พวกข้าเตรียมมาให้ท่าน”
หลี่เนี่ยนฝานรับกำไลหยกมา ใบหน้าฉายแววสนอกสนใจ
นี่คืออุปกรณ์เก็บของในโลกบำเพ็ญเซียนหรือ ท่าทางอลังการน่าดู
อยู่ในมือนุ่มนวล ดูแล้วเป็นเครื่องประดับชั้นดีโดยแท้
เขามีประสบการณ์ทะลุมิติของระบบ ฉะนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับของประเภทนี้ และเข้าไปในกำไลหยกอย่างง่ายดาย
มิติในกำไลหยกนี้กว้างขวางอย่างเหลือเชื่อ โอสถวิเศษนานาชนิดวางอยู่ด้านใน ทำให้ทั้งมิติเปล่งปลั่งเรืองรองรอบด้าน
ความคิดแล่นปราด
โอสถวิเศษและหญ้าเซียนเหล่านี้ก็ลอยจากกำไลออกมาวางเบื้องหน้าหลี่เนี่ยนฝานในทันที มีมากกว่าร้อยชนิด
กลิ่นหอมของยาพลันกำจายกรุ่นในเรือน ดมแล้วสติพลันตื่นตัวขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นบุปผาชาติหลากหลายสีสัน หรือว่าหญ้าเซียนส่องประกายแสง ก็ล้วนแต่สำแดงความเหนือธรรมดาสามัญของโอสถวิเศษ
หลี่เนี่ยนฝานดีใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นเหลือเกิน
เมื่อมีโอสถวิเศษเหล่านี้ อาการบาดเจ็บของต๋าจี่ต้องฟื้นฟูได้เร็วขึ้นแน่นอน นอกจากนั้นแล้ว หญ้าเซียนเหล่านี้ยังสามารถนำมาปลูกในเรือนของตน เพื่อตกแต่งสถานที่ เพิ่มความเท่น่าเกรงขามสักหน่อย
ใจกว้างกันจริงๆ!
ไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่ตนได้พบไม่เพียงเป็นมิตร แต่ยังมีใจช่วยเหลือผู้อื่น ปราศจากความเห็นแก่ตัว ช่างเป็นโลกบำเพ็ญเซียนที่ควรค่าแก่การแซ่ซ้องสรรเสริญเสียจริง
ต๋าจี่เดินออกมาจากเรือน ก็เห็นวัวและหมาป่านอนอ้องแม้งไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่พื้น
นี่คือสัตว์ป่าที่ล่ามาได้หรือ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยอยู่สักหน่อย
จากนั้น ทันทีที่เห็นโอสถวิเศษและหญ้าเซียนในเรือน ปากเล็กของต๋าจี่ก็อ้าค้าง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
ราชวงศ์เซียนเฉียนหลงถึงกับขนของในท้องพระคลังออกมาเชียวหรือ
แน่นอนว่านางรู้จักโอสถวิเศษเหล่านี้ เพียงแค่ชนิดเดียวก็ล้ำค่าพอให้ผู้บำเพ็ญเซียนแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตกแล้ว
หากนางยังเป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่ละก็ การได้มาซึ่งหญ้าเซียนชนิดใดชนิดหนึ่งก็นับว่าเป็นวาสนาครั้งยิ่งใหญ่แล้ว
กล่าวอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้สุ่มเลือกโอสถวิเศษชนิดใดก็ได้ในนี้ ก็ล้วนแต่เปลี่ยนชีวิตมนุษย์หรือปีศาจได้ทั้งชีวิต!
…………………………………………………….