ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 42 น้ำชาและโชควาสนา
ฉินม่านอวิ๋นมองจักรพรรดิลั่ว พลางพูด “จักรพรรดิลั่ว ที่นี่ถึงอย่างไรก็เป็นดินแดนในอาณัติของท่าน ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของอาจารย์ อยากจะให้พวกท่านช่วยตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง อารามเต๋าหลินเซียนจะต้องตอบแทนอย่างเต็มที่!”
จักรพรรดิลั่วตกใจจนสะดุ้งโหยง
ตอบแทนอย่างเต็มที่บ้าบออะไรกัน!
สองฝ่ายไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน ไฉนต้องมาผลักข้าเข้ากองเพลิงด้วยเล่า
จะแย่งคนจากปรมาจารย์ไป แม้แต่จะคิดเขายังไม่กล้าเลย
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปเพราะเหตุใด” จักรพรรดิลั่วถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
ฉินม่านอวิ๋นเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “จักรพรรดิลั่ววางใจเถิด พวกข้ามิได้คิดร้ายต่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ยิ่งไม่มีทางทำร้ายนาง เดิมทีมันก็เป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาล บัดนี้กลายร่างเป็นมนุษย์ พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเป็นเลิศ มีโอกาสจะสำเร็จเป็นเซียนมากที่สุด พวกข้าเพียงอยากขอร้องให้นางเข้าอารามเต๋าหลินเซียน และยังพร้อมใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอุ้มชูนาง หวังว่านางจะสำเร็จเป็นเซียน”
“ฟู่ว”
จักรพรรดิลั่วถอนหายใจยาว ถ้าหากฉินม่านอวิ๋นมาด้วยเจตนาร้าย เกรงว่าเขาคงไล่นางออกไปเดี๋ยวนั้น ต่อให้ต้องล่วงเกินอารามเต๋าหลินเซียนก็ไม่เสียดาย!
ตอนนี้ต๋าจี่เป็นคนของหลี่เนี่ยนฝานแล้ว ต่อให้สวรรค์มาสั่งเอง หากมีเจตนาร้ายต่อนาง ก็นับว่าเป็นศัตรูของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
จักรพรรดิลั่วปรารถนาจะประจบประแจงอย่างภักดี
เมื่อเห็นจักรพรรดิลั่วนิ่งเงียบ ฉินม่านอวิ๋นก็พูดต่อว่า “จักรพรรดิลั่ว วิถีการสำเร็จเซียนนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ทุกวันนี้เส้นทางระหว่างเซียนและปุถุชนถูกตัดขาด พันปีมาแล้วที่โลกบำเพ็ญเซียนของพวกเราไม่มีผู้ใดสำเร็จเป็นเซียน การปรากฏตัวของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นโอกาสครั้งสำคัญของพวกเรา!”
น้ำเสียงของนางจริงใจระคนกระตือรือร้น
“แม่นางฉินวางใจเถิด ข้าจะทำเต็มที่” จักรพรรดิลั่วผงกศีรษะตอบรับ
เส้นทางระหว่างเซียนและปุถุชนถูกตัดขาด? ไม่กระมัง ในราชวงศ์เซียนเฉียนหลงของข้ามีขาใหญ่สุดโหดท่านหนึ่ง ยอดเยี่ยมกว่าเซียนเสียอีก
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอยู่ข้างกายเขา หากข้าบอกเจ้า เจ้าจะกล้าไปชิงมาหรือ
จักรพรรดิลั่วทำได้เพียงแดกดันอยู่ในใจ
ฉินม่านอวิ๋นคิ้วขมวดเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าจักรพรรดิลั่วค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
นี่เป็นถึงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเชียวนะ หรือว่าจักรพรรดิลั่วจะไม่สนใจ
ถึงได้ไม่ฟังแม้แต่คำพูดของอารามเต๋าหลินเซียนของพวกข้า
นางโน้มน้าวต่อว่า “จักรพรรดิลั่ว จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินก็กำลังตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอยู่เช่นกัน หากปล่อยให้พวกมันหาพบ เกรงว่ามันคงจะกินตันปีศาจของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปทั้งอย่างนั้น โลกนี้จะไม่มีจิ้งจอกเก้าหางเหลืออยู่อีกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราต้องลงมืออย่างว่องไว!”
“แม่นางฉินวางใจเถิด ข้ารับรองว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะต้องปลอดภัย” จักรพรรดิลั่วกล่าวอย่างหนักแน่น
เขาแค่นหัวเราะอยู่ในใจ จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินมันกระจอก แค่ขนคุณชายหลี่เส้นเดียวก็กำราบมันได้แล้ว
ยามนั้น จงซิ่วอยู่ในคลังสมบัติของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
ที่นี่คือสถานที่ซึ่งมีไว้สำหรับเก็บโอสถวิเศษของราชวงศ์เซียนเฉียนหลงโดยเฉพาะ
ถึงแม้นางจะรู้ว่าโอสถวิเศษชั้นดีล้วนยกให้คุณชายหลี่ไปแล้ว ทว่ายามที่เห็นคลังสมบัติโล่งๆ ก็ยังปรับตัวไม่ได้อยู่
บ้าง
‘หวังว่าคุณชายหลี่จะเมตตาตอบแทนน้ำใจสักหน่อย ทำให้ราชวงศ์เฉียนหลงของพวกข้ารุ่งเรืองขึ้นไปอีก’ จงซิ่วคิดในใจ
ผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นคุณชายหลี่ ต่อให้ทำเรื่องเล็กน้อยเท่าซอกเล็บ ก็นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว
จงซิ่วทอดถอนใจคราหนึ่ง แล้วจึงเริ่มค้นหาใบชา
อารามเต๋าหลินเซียนเป็นขุมกำลังระดับยักษ์ใหญ่ และยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์เซียนเฉียนหลง ย่อมต้องใช้ของดีที่สุดไปรับรอง
ยามปกติ จักรพรรดิลั่วจะนำใบชาชั้นดีมาเก็บไว้ที่นี่
นางกวาดสายตามอง ก็บังเอิญเห็นถุงชาซึ่งแอบซ่อนไว้ในมุมหนึ่ง
“เอ๊ะ? ทำไมไม่ยักเคยเห็นใบชานี้มาก่อน หรือว่าจะเป็นของใหม่” จงซิ่วชะงักไป หยิบถุงใบชานั้นขึ้นมามองสำรวจ
ถุงไม่ใหญ่นัก ดูแล้วแสนธรรมดา บรรจุภัณฑ์ใบชาแตกต่างกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ดูแปลกใหม่ยิ่งนัก
“ใบชาที่จักรพรรดินำมาเก็บไว้ในนี้ต้องไม่ธรรมดา มิสู้นำไปชงดีกว่ากระมัง”
……
ในโถงใหญ่ จักรพรรดิลั่วยังคงสนทนาอยู่กับฉินม่านอวิ๋น ลั่วซืออวี่เองก็คอยพูดคุยกับนางอยู่ด้านข้างเช่นกัน
เพียงแต่ว่า เห็นได้ชัดว่าฉินม่านอวิ๋นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ตุบตับๆ”
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
จงซิ่วมือถือถาด ยกน้ำชาเข้ามา
จักรพรรดิลั่วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “แม่นางฉิน การตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ชั่วข้ามคืน ไม่อาจรีบร้อน มิสู้มาดื่มชาก่อนเถิด”
ฉินม่านอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าอยากไปดูสถานที่ที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผ่านด่านเคราะห์สักหน่อย”
นับว่านางมองออกว่าราชวงศ์เซียนเฉียนหลงไม่รีบร้อนจริงๆ อีกทั้งชานี้ยังเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง สำหรับนางแล้วมิได้ยั่วยวนใจเท่าไรนัก
“ท่านพี่ม่านอวิ๋น ดื่มชาสักนิดแล้วค่อยไปเถิด ไม่ได้เสียเวลาเท่าไหร่หรอก” ลั่วซืออวี่เอ่ยปากโน้มน้าว
จักรพรรดิลั่วก็กล่าวว่า “นั่นสิ แม่นางฉิน ถึงแม้ราชวงศ์เฉียนหลงของพวกข้าจะเทียบไม่ได้กับอารามเต๋าหลินเซียน แต่ใบชานี้ก็มิใช่ของหาง่าย พบได้ยากเสียยิ่งกว่าโอสถวิเศษ”
ฉินม่านอวิ๋นไม่อาจปฏิเสธ ในตอนนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่น้ำชา
เอ๊ะ?
สายตาของนางชะงักค้างไป
ชานี้ไม่เหมือนกับชาที่นางเคยเห็นมาก่อน ใบชาจมลงก้นจอก ไร้ซึ่งสิ่งเจอปน
น้ำชาเป็นสีน้ำตาลอ่อนวรรณะหนึ่ง ใสกระจ่างนิ่งสงบ มองไกลๆ ดูคล้ายอำพันชั้นดี
“น้ำชานี้…ไม่ธรรมดา!”
นางเห็นโลกมามาก ศึกษาเกี่ยวกับใบชามาไม่น้อย แต่ถึงแม้นางจะเชิดชูตนเองว่าได้ลิ้มลองชาชั้นเลิศสารพัดชนิด เมื่อเห็นน้ำชาจอกนี้ก็ยังไม่อาจต้านทานความยั่วยวนได้
ใบหน้าของจักรพรรดิลั่วปรากฏรอยยิ้มกระหยิ่มใจในที่สุด
ชาที่ตนเก็บไว้ย่อมไม่ธรรมดา แม้แต่แม่นางฉินก็ยังตกตะลึง
เขาเองก็ยกจอกชาขึ้นมาจิบเช่นกัน
ทันทีที่มองไป ก็ชะงักงันไปทันที
หืม?
นี่มันชาอะไรกัน ที่ผ่านมาใบชาที่ข้าใช้รับรองแขกเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้กระมัง
จงซิ่วไปหามาจากไหนกัน
ในตอนนั้น ม่านชิงอวิ๋นก็วางจอกชาลงตรงหน้าของตนแล้ว
กลิ่นหอมอ่อนๆ สดชื่นของใบชาทำให้สมองของนางตื่นตัว ชาดี!
นางเม้มปากเบาๆ
น้ำชารสขื่นไหลเข้าปาก เย้าหยอกปลายลิ้น จนจมูกของนางส่งเสียงออกมาเบาๆ ด้วยความเพลิดเพลินอย่างห้ามไม่อยู่ หลับตาลงอย่างสบายใจ
นางไม่ได้กลืนน้ำชาลงคอ หากแต่ลิ้มรสอย่างละเมียดละไม
รสชาติของน้ำชากลับกลายเป็นขมเฝื่อนกว่าเดิม ทว่าห้วงสำนึกของนางแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ความทรงจำแต่เก่าก่อนทะลักเข้ามา ความสับสนในหัวใจพลันกระจ่าง ปมปัญหาที่คิดไม่ตกก็คลี่คลายตามไปด้วย
น้ำชาไหลลงลำคอไปทีละน้อย เรื่องอดีตลอยล่องดุจกลุ่มควัน
ความรู้สึกไม่อาจควบคุม ขอบตาของนางถึงกับมีน้ำตาคลอหน่วย
นางหาได้สนใจไม่ จิบน้ำชาคำที่สองต่อ
ผึ่ง!
ชั่วขณะนั้นเอง ข้างหูของนางก็ได้ยินเสียงแห่งธรรมชาติ สมองพลันโปร่งโล่ง ทั้งใจเบาสบาย
นอกจากนางแล้ว จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่ก็เริ่มลิ้มลองชาแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ตกสู่สภาวะเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
ชาเพียงจอกเดียว ถึงกับทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะตื่นรู้เชียวหรือ!
ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ กว่าฉินม่านอวิ๋นจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววแห่งการตื่นรู้
เมื่อมองจอกชาในมืออีกครั้ง ก็พบว่ามันว่างเปล่าเสียแล้ว
นี่มันชาอะไรกันแน่
ต่อให้เป็นชาชั้นเยี่ยมที่สุดของอารามเต๋าหลินเซียนก็ยังเทียบไม่ติดแม้แต่ปลายก้อย!
นำมาเปรียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ชาจอกหนึ่ง ก็คือโอกาสในการตื่นรู้ครั้งหนึ่ง ต่อให้นางสำเร็จขั้นหยวนอิงแล้ว ก็รู้สึกว่าได้รับประโยชน์มากโข
……………………..