ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 44 มุ่งสู่ประจิม เผยแผ่คำสอน
“ฟู่!”
ฉินม่านอวิ๋นหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ล้วนตื่นตะลึงกับคำพูดของลั่วซืออวี่
สีหน้าของนางหนักแน่น เอ่ยว่า “ซืออวี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่อาจพูดเรื่อยเปื่อยเป็นอันขาด! เหนือกว่าเซียนอะไรกัน นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้วนะ!”
“ท่านพี่ม่านอวิ๋น ข้าไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย ถึงขนาดที่…ข้ารู้สึกว่าคำนิยามนี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ!” สายตาของลั่วซืออวี่จริงจังเป็นที่สุด ส่วนลึกในใจของนางไหนเลยจะไม่ตื่นเต้น
ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตา ต่อให้ตีนางจนตายก็ไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีผู้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
“เจ้า…นี่…”
สายตาของฉินม่านอวิ๋นเต็มไปด้วยความซับซ้อน นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่สักพัก นางรู้ว่านางไม่ควรเขื่อ กระนั้นส่วนลึกในใจกลับมีเสียงพร่ำบอกนางว่านี่เป็นเรื่องจริง!
เหนือกว่าเซียน นี่มันมโนคติอะไรกัน
ลั่วซืออวี่ระดับพลังไม่ถึงขั้น อาจยังไม่รู้ว่าสามคำนี้มีพลังเพียงใด แต่ว่านางรู้ดี!
โลกบำเพ็ญเซียนทุกวันนี้ไม่มีผู้ใดบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน ว่ากันว่าวิธีทางการเป็นเซียนได้ถูกตัดขาด หากจะเป็นเซียนได้นั้นยากเย็นกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่ร้อยเท่า!
เพื่อที่จะสำเร็จเป็นเซียน อัจฉริยบุคคลนับไม่ถ้วนก็ถือกำเนิดขึ้นในโลกบำเพ็ญเซียน ทดลองสารพัดวิธี สุดท้ายแล้วกลับทำได้เพียงกล้ำกลืนความอัปยศนี้ไป!
ผู้มีฝีมือจำนวนมากเห็นแล้วว่าการสำเร็จเป็นเซียนนั้นไร้ความหวัง วิถีอายุวัฒนะถูกปิดกั้น จึงพากันเลือกปิดด่านกักตน ก้มหน้ายอมรับโชคชะตา
กระนั้นแล้ว…ใครจะไปคิดเล่าว่าที่นี่จะถึงกับมีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเหนือกว่าเซียนพำนักอยู่?!
ฉินม่านอวิ๋นสัมผัสได้เพียงว่าตนเองพลันหายใจลำบาก สมองขาวโพลน
ข้อมูลนี้เป็นจริงหรือเป็นเท็จกันแน่
ผ่านไปเนิ่นนาน นางถึงตั้งสติได้ ถ้าหากข้อมูลนี้เป็นความจริง เช่นนั้นโลกบำเพ็ญเซียนย่อมถึงคราวฟ้าถล่มดินทลายเป็นแน่!
ด้วยเส้นทางระหว่างเซียนและปุถุชนขาดสะบั้น การปรากฏตัวของเซียนคนหนึ่งในโลกของปุถุชนมีความหมายว่าอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
ฉินม่านอวิ๋นปรับอารมณ์ สายตามองลั่วซืออวี่ ทันใดนั้นก็ค้อมกาย คำนับลั่วซืออวี่อย่างสง่าผ่าเผย “ซืออวี่ ข้าเป็นตัวแทนของอารามเต๋าหลินเซียน อยากขอร้องเจ้า ได้โปรดช่วยแนะนำข้ากับปรมาจารย์ด้วยเถอะ”
“ท่านพี่ม่านอวิ๋น ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ลั่วซืออวี่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด อยากเข้าไปพยุงฉินม่านอวิ๋นขึ้นมา แต่กลับพบว่าพยุงนางไม่ขึ้น
นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งอารามเต๋าหลินเซียนเชียวนะ ยามนี้เพียงได้ยินเรื่องของปรมาจารย์ก็ยินดีทำถึงขนาดนี้ ลั่วซืออวี่ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี
สุดท้ายแล้ว นางก็ถอนหายใจยาวเบาๆ “ท่านพี่ม่านอวิ๋น ข้ารับปากท่าน”
ฉินม่านอวิ๋นพูดเอ่ยอย่างจริงใจ “ซืออวี่ ขอบคุณเจ้ามาก ถ้าหากเรื่องนี้ทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคือง ข้าแบกจะรับทั้งหมดไว้เอง!”
ลั่วซืออวี่เตือนว่า “ท่านพี่ม่านอวิ๋น ในเมื่อปรมาจารย์นั้นปลีกวิเวก ข้อห้ามอันดับหนึ่งก็คือการถูกคนรบกวน ดังนั้นห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด”
“วางใจเถิด ข้าจะจำใส่ใจ” ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า แน่นอนว่านางรู้ขอบเขต ครั้งแรกที่ได้ยินข้อมูลนี้ นางก็เก็บงำมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
ลั่วซืออวี่เงียบงันไปสักพัก กัดริมฝีปาก แล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ม่านอวิ๋น อันที่จริงใบชานี้เพิ่งได้มาครั้นไปเยี่ยมเยือนปรมาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ ข้าไม่กล้ารบกวนเขาหลายครั้งหลายหน ไม่สู้ท่านไปเยี่ยมเยือนบัณฑิตรับใช้ของปรมาจารย์ก่อนดีกว่าหรือ?”
“นั่นย่อมเป็นเรื่องสมควร ไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามทำให้ปรมาจารย์รำคาญใจเด็ดขาด”
ฉินม่านอวิ๋นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “บัณฑิตท่านนั้นเป็นใครหรือ”
“บัณฑิตท่านนั้น…” ลั่วซืออวี่อดนึกถึงภาพที่เมิ่งจวินเหลียงเป่าเจ้าราชาปีศาจระดับหยวนอิงสองตนนั้นเพียงชี้นิ้วจนพวกมันคืนรูปเดิม ความหวาดกลัวก็พลันวาบผ่านนัยน์ตา
“แข็งแกร่งมาก น่ากลัวมาก ข้าไม่อาจบรรยายได้ สรุปคือท่านไปแล้วจะรู้เอง”
ฉินม่านอวิ๋นตามลั่วซืออวี่ออกจากราชสำนักเซียนเฉียนหลง กลายเป็นเพียงลำแสง เหาะตรงไปยังหมู่บ้านทางฝั่งประจิม
หมู่บ้านนี้ห่างจากเมืองลั่วเซียนไปทางทิศประจิมสักสิบกงหลี่(กิโลเมตร) ไม่เจริญเท่าเมืองลั่วเซียน ทว่าก็มีตลาดขนาดกลางแห่งหนึ่ง
หลังจากลั่วซืออวี่ได้พบกับเมิ่งจวินเหลียงครานั้น ก็คอยติดตามการเคลื่อนไหวของเขามาโดยตลอด
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาอย่างบันทึกท่องประจิม เดินทางมุ่งสู่ทิศประจิมโดยเริ่มต้นจากเมืองลั่วเซียนจริงๆ
มิหน้ำซ้ำเขายังเดินเท้าเปล่า มิได้ใช้การเดินทางด้วยแสงเฉกเช่นผู้บำเพ็ญเซียนแต่อย่างใด ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ข้ามขุนเขาและสายน้ำ บ้างก็อาจมีปีศาจมาขวางทาง แต่นั่นก็เป็นการรนหาที่ตายเอง
คล้ายกับว่าจะไม่มีสิ่งใดในโลกหล้าที่ขวางกั้นการเดินทางของเขาได้
สถานีแรกของเมิ่งจวินเหลียงก็คือหมู่บ้านแห่งนี้
และในที่แห่งนี้เอง ลั่วซืออวี่ก็ได้สดับฟังบันทึกท่องประจิมที่ใฝ่หามาในที่สุด ตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็จะมาฟังตรงเวลาทุกวัน
หลักพระธรรมคำสอนนี้ เหนือกว่าโชคลาภใดๆ ทั้งปวง
วันนี้เล่าถึงซุนหงอคงป่วนตำหนักสวรรค์แล้ว ตื่นเต้นเหลือเกิน
ฉินม่านอวิ๋นก็มองสำรวจอาคารบ้านเรือนโดยรอบ เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “บัณฑิตรับใช้ปรมาจารย์มาทำอะไรที่นี่”
ลั่วซืออวี่สีหน้าจริงยัง พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “เผยแผ่คำสอน!”
“เผยแผ่คำสอน?” กลีบปากเล็กของฉินม่านอวิ๋นเผยอค้างเล็กน้อยด้วยตวามตกใจ
คำนี้มิใช่คำที่นำออกมาใช้ได้พร่ำเพรื่อ มีเพียงยามที่ปรมาจารย์แต่ละสำนักออกจากการปิดด่านกักตนออกมาเทศนาสั่งสอนจึงจะเรียกว่าการเผยแผ่คำสอนได้กระมัง
ลั่วซืออวี่จึงเอ่ยเตือนอย่างขึงขัง “หลังจากที่เข้าไปในภัตตาคาร ท่านต้องเงียบ ตั้งใจฟังบัณฑิตท่านนี้เล่านิทาน”
“เล่านิทาน? เล่านิทานให้ปุถุชนฟัง?”
ฉินม่านอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ มองดูทั้งชั้นบนและชั้นล่างคราคร่ำไปด้วยปุถุชน ในใจเต็มไปด้วยความคลางแคลง
ในใจของนางรู้สึกอึดอัดอยู่สักหน่อย เพราะทั้งนางและลั่วซืออวี่ล้วนเป็นยอดโฉมงามแห่งโลกบำเพ็ญเซียน ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนโดยรอบ
สายตาเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกคันยิบไปทั้งตัว ประหนึ่งว่ามีมดนับล้านตัวมาไต่อย่างไรอย่างนั้น
นางเป็นถึงหญิงสาวที่สวรรค์ประทานลงมา เป็นเทพธิดาแห่งอารามเต๋าหลินเซียน เป็นผู้สูงส่งกว่าใคร ต่อให้เป็นชายหนุ่มเปี่ยมพรสวรรค์จากโลกบำเพ็ญเซียน ยามที่เห็นตนก็ทำได้เพียงแต่แอบเมียงมอง ใครๆ ก็ล้วนหวาดหวั่น
ทว่าที่นี่นางถึงกับถูกปุถุชนโขยงหนึ่งจ้องมอง ไม่คุ้นชินเป็นที่สุด
หากเป็นยามปกติ นางอาจสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป หรือไม่ก็แปลงกายเป็นเซียนผู้สูงส่ง ทำให้ปุถุชนพวกนี้ไม่กล้ามองเสียเลย
เพียงแต่ว่าที่นี่ ลั่วซืออวี่เตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงทำได้แค่อดทนอดกลั้น
“ซืออวี่ เล่านิทานกับเผยแผ่คำสอนเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ” ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยถาม
ลั่วซืออวี่กำลังจะตอบ กลับเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งที่หน้าประตูภัตตาคาร จึงกลืนคำพูดลงคอในทันใด “บัณฑิตท่านนั้นมาแล้ว จำไว้ว่าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนเวลาเขาเล่านิทาน!”
ฉินม่านอวิ๋นเบนสายตาไปยังบัณฑิตคนนั้น
กลับเห็นเพียงเสื้อคลุมสีดำยาว การแต่งกายเฉกเช่นบัณฑิตอ่อนปวกเปียก กลิ่นอายรอบกายนั้นตรงตามมาตรฐานของปุถุชนธรรมดาทุกกระเบียดนิ้ว
สิ่งเดียวที่พิเศษนั่นก็คือเขาเดินเท้าเปล่า บนเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยดิน
เขาเป็นบัณฑิตรับใช้ปรมาจารย์หรือ?
ฉินม่านอวิ๋นเหลือบมองลั่วซืออวี่ด้านข้าง ก็เห็นว่าใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ดวงตาพลันคาดหวังระคนตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความเคารพยำเกรง
ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจเสแสร้งขึ้นมาได้
บัณฑิตรับใช้ผู้นี้เป็นใครกันแน่ ถึงกับทำให้ลั่วซืออวี่เป็นเช่นนี้ได้
ในตอนนั้นเอง นางหรี่ตาลงทันใด พบว่าห่างออกไปมีลำแสงเคลื่อนเข้ามาอย่างเร่งร้อน จากนั้นจึงหยุดลงที่ปาก
ประตูภัตตาคาร
คนผู้นั้นสีหน้ากระวนกระวาย ยามที่มาถึงภัตตาคารก็ไม่พูดไม่จา ผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง เผยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฉินม่านอวิ๋นตะลึงงันจนสองตาเบิกกว้าง “จักร…จักรพรรดิลั่ว?!”
………………………………………..