ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 47 ฮือๆๆ ท่านพี่กลายร่างจนโง่แล้วเนี่ย
ตอนที่ 47 ฮือๆๆ ท่านพี่กลายร่างจนโง่แล้วเนี่ย
เมิ่งจวินเหลียงมองฉินม่านอวิ๋น นัยน์ตาเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่ามีสายตาเฉียบแหลมบางอย่างซึ่งมองได้ทะลุปรุโปร่ง
เขาพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าดูปุถุชนเหล่านั้น ดวงอาทิตย์ขึ้นเริ่มงาน ดวงอาทิตย์ตกก็พักผ่อน ตรากตรำอยู่บนโลกโลกีย์นับร้อยปี ผู้บำเพ็ญเซียนสูงส่ง แต่กลับอยู่ได้พันปีหมื่นปี! พวกเขาเองก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุุใดตนถึงบำเพ็ญเซียนไม่ได้ เจ้าจะไปบอกพวกเขาไหม”
ร่างอรชรของฉินม่านอวิ๋นสั่นเทิ้ม ราวกับถูกไม้เรียวเคาะหัวให้ตื่นขึ้น นิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
ในใจของนางมีคำตอบอยู่แล้ว
นั่นก็คือ…คุณสมบัติ!
คำตอบของบางคำถาม จำต้องมีคุณสมบัติเสียก่อนจึงจะรู้ได้
เช่นเดียวกับปุถุชนกลุ่มนี้ ถ้าหากพวกเขาไปรับคำสอน ผู้ที่มีคุณสมบัติสูงกว่าจะสามารถเข้าสำนักได้ ทว่าผู้ที่มีคุณสมบัติด้อยกว่า ก็มักจะถูกไล่ไปเพราะไร้ชะตา
พวกเขาย่อมต้องถามว่า ใช้สิ่งใดมาวัดว่าพวกเขาไร้ชะตา กระนั้นก็คงไม่มีใครมาให้คำตอบแก่พวกเขา
ฉินม่านอวิ๋นยอมรับว่าตนไม่มีทางแยแสคำถามอันน่าเบื่อเช่นนี้ของปุถุชนคนหนึ่งหรอก
นางขบกรามแน่น ค้อมกายคำนับบัณฑิตอีกครา พร้อมเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสได้โปรดให้คำตอบแก่ข้าด้วย!”
บัณฑิตเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “พลวัตระหว่างฟ้าดินมีกฎของมัน ข้าก็เพียงลอบสังเกตเท่านั้น ทว่าเหตุผลโดยละเอียด เกรงว่ามีเพียงผู้ที่กำหนดกฎกลุ่มนั้นถึงจะรู้”
เขาเงยหน้าขึ้น สายตามองตรง นัยน์ตายังคงสงบนิ่ง ไม่อาจรู้ได้ว่ามองไปทิศทางใด
“ผู้ที่กำหนดกฎหรือ?”
ม่านตาของฉินม่านอวิ๋นหดเกร็งทันใด โลหิตในร่างกายสูบฉีด ไอเย็นระลอกหนึ่งพุ่งขึ้นปกคลุม จนหนาวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อสรุปนิทานที่เล่ามาทั้งหมด สิ่งที่เรียกว่าผู้กำหนดกฎนั้นไม่ใช่ตำหนักสวรรค์?!
สมองของนางขาวโพลน ไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ
เมิ่งจวินเหลียงเอ่ยปากว่า “ถ้าหากเจ้าอยากรู้เหตุผล ก็มาฟังนิทานเรื่องบันทึกท่องประจิมบ่อยๆ หากเจ้าเข้าใจมากพอ ก็คงจะตื่นรู้ได้”
“ได้รับคำสอนแล้ว” ฉินม่านอวิ๋นค้อมกายต่ำ บอกลาเดินออกมา ไม่กล้ารบกวนอีก
ในตอนนั้น เรือนสี่ประสานกลางราตรีเงียบสงัดกว่าสิ่งใด
ในเรือนสี่ประสาน มีเพียงห้องเดียวที่ยังมีแสงสว่าง
หลี่เนี่ยนฝานกำลังขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง สีหน้าจริงจัง คล้ายกับว่ากำลังออกแบบอะไรสัก
อย่าง
และบนโต๊ะเบื้องหน้าของเขา มีมีดแกะสลักเล่มหนึ่งจัดวางอยู่ที่อย่างประณีต มีลำไผ่ท่อนหนึ่ง เขาวัวคู่หนึ่ง และเอ็นวัวอีกหลายเส้น
เขากำลังเตรียมทำคันธนูและศรธนู!
ไอเดียนี้ผุดขึ้นยามที่เห็นหัววัวที่จักรพรรดิลั่วส่งมา
ไม่รู้ว่าวัวนี้เป็นชนิดใด รูปร่างกำยำ แข็งแรงกว่าวัวทั่วไป เขาวัวใหญ่มาก เอ็นวัวก็เหนียวเหลือเกิน เป็นวัสดุทำธนูที่หาได้ยากยิ่ง
หลี่เนี่ยนฝานเกิดคันไม้คันมือ สมองจึงคลอดความคิดที่จะทำธนูขึ้นมา
ลำไผ่ที่ใช้ได้ก็ตัดมาจากต้นไผ่ที่ใหญ่ที่สุดในหลังเรือน นับว่าเป็นวัสดุดีที่หายากเช่นกัน
คันธนูเขาวัวนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์งานชั้นยอดในโลกเดิมของหลี่เนี่ยนฝาน วัสดุเช่นเขาวัว ลำไผ่ เอ็นวัว และหนังสัตว์ ได้ผ่านกระบวนการมาสารพัด เป็นการทดสอบเทคโนโลยีขั้นสูง
แต่ความยากที่ว่าก็มิได้นับว่าเป็นปัญหาสำหรับหลี่เนี่ยนฝาน
‘เมื่อก่อนตนล่าสัตว์ ไม่เพียงพึ่งพาต้าเฮย บางครั้งยังต้องพึ่งพาโชค ใช้เพียงการเข้าโจมตีตัวต่อตัว ทำไมเพิ่งจะมาคิดทำธนูได้ตอนนี้ โง่เง่าจริงๆ เลย’ หลี่เนี่ยนฝานลอบคิดพลางส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
หลังจากนี้ก็จะมีธนูใช้แล้ว อยากกินเนื้อสัตว์ป่าขึ้นมาก็สะดวกขึ้นมาก
หลี่เนี่ยนฝากหยุดพู่กัน วันพอเท่านี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มลงมือทำ!
เขาพูดกับหยกมลทินกระบี่ซึ่งอยู่กลางห้อง “โคมไฟ ดับไฟเถอะ”
ทันใดนั้น แสงสว่างบริสุทธิ์ที่ส่องสว่างรอบหยกมลทินกระบี่ก็ดับลงทันใด ความมืดมิดกลืนกินไปทั้งห้อง
“โลกบำเพ็ญเซียนดีจริงๆ หยกเซียนนี้ไม่เพียงให้แสงสว่างมากเพียงพอ ยังสั่งการด้วยเสียงได้ด้วย สะดวกดีแฮะ” หลี่เนี่ยนฝานบิดขี้เกียจ ล้มตัวลงนอนบนเตียง บนต้นไม้ไม่ไกลออกไปจากเรือนสี่ประสาน จิ้งจอกหกหางขยับขาทั้งสี่ไต่ขึ้น
ยอดไม้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเรียวเล็กฉลาดเฉลียว ส่งเสียงร้อง ‘ชี่ๆๆ’ ออกมาเป็นครั้งคราว
มันกระโดดขึ้นลงไปมา เห็นได้ชัดว่ากำลังกระวนกระวาย แต่ก็แลดูน่ารักน่าชัง
ขนขาวปลอดสะอาดตาสะท้อนแสงนวลของดวงจันทร์
“แกร็ก”
ประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสานค่อยๆ เปิดออก ต๋าจี่ลอบยื่นหน้าออกมาจากด้านใน จากนั้นก็ค่อยๆ ย่างเท้าออกมา
“ท่านพี่”
จิ้งจอกหกหางมองดูต๋าจี่ ใบหน้าของสุนัขจิ้งจอกฉายแววยินดีเหลือแสน ก้นเล็กๆ ของมันขยับไปมายามวิ่งฉิวเข้าหาต๋าจี่
“ท่านพี่ เจ้ามนุษย์นั่นรังแกท่านหรือไม่” นางเอ่ยถามอย่างร้อนรน ดวงตาเปี่ยมความดุดัน เมื่อใดที่ต๋าจี่ถูกรังแก มันจะได้เด็ดหัวเจ้าปุถุชนนั่นได้อย่างสมเหตุสมผล
ต๋าจี่กอดจิ้งจอกหกหางเอาไว้พลางลูบเบาๆ “นายท่านดีกับข้ามาก เจ้าห้ามคิดร้ายต่อเขาเป็นอันขาด อันตรายยิ่งนัก”
พลังบำเพ็ญของคุณชายหลี่นั้นโดดเด่นเหนือธรรมดา จิ้งจอกหกหางก็เปรียบประหนึ่งเด็กแบเบาะเมื่อเผชิญหน้ากับเขา
“นายท่าน?”
สองตาของจิ้งจอกหกหางจ้องเขม็ง ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านพี่ ท่านถึงกับเรียกเขาว่านายท่านเลยรึ?!”
พี่สาวตนเย่อหยิ่งทะนงตน เป็นเกียรติยศแห่งสวรรค์ แต่กลับมาเรียนปุถุชนธรรมดาว่านายท่านเนี่ยนะ?
นางบอกว่าจะมาทดแทนบุญคุณไม่ใช่หรือ ต่อให้แต่งงานออกไปก็ยังดีว่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายกระมัง?
ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย!
ต๋าจี่กลับผงกศีรษะอย่างจริงจัง สีหน้าเปี่ยมความสุข “คุณชายหลี่เป็นเซียน มีบุญคุณกับข้า ข้ายอมรับเขาเป็นเจ้านายนับว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้า”
“ท่านพี่ ทะ ทะ ท่าน…” จิ้งจอกหกหางสมองขาวโพลน ทั้งห้วงความคิดมีเพียงเครื่องหมายคำถาม
มันใช้อุ้งเท้าน้อยๆ กุมศีรษะของตน ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
“ดูเร็ว พี่นำของดีมาให้เจ้าอย่างหนึ่ง” ต๋าจี่หยิบแอปเปิลผลหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
แรกเริ่มเดิมทีจิ้งจอกหกหางก็ยังคาดหวังอยู่บ้าง ทันทีที่เห็นผลแอปเปิล มันก็อึ้งงันไปโดยสมบูรณ์
ก็แค่แอปเปิลผลหนึ่ง?
มันใช้จมูกดมฟุดฟิด กลิ่นหอมมากจริงๆ ทว่าต่อให้หอมกว่านี้ก็ยังเป็นเพียงผลแอปเปิลอยู่ดี
พี่สาวของตนเป็นอะไรไป เห็นผลแอปเปิลเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างนั้นหรือ
นางไม่เข้าใจกระบวนการพวกนี้แม้แต่น้อย หลังจากกลายร่างแล้วจะโง่ลงหรือ
หรือว่าบาดแผลที่เกิดจากอัศนีบาตจะมีผลกระทบต่อสติปัญญา?
หยดน้ำตาเอ่อท้นจากขอบตาของจิ้งจอกหกหาง พูดเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ข้าเองก็นำของดีมาให้ท่าน รีบกินสักหน่อยเร็ว”
พลังสีขาวพรั่งพรูออกมาจากร่างของมัน เบื้องหน้าปรากฏหญ้าเซียนที่แตกต่างกันสามต้น
“ตุ้บ!”
ต๋าจี่มองปราดเดียวก็ล่วงรู้ความคิดของจิ้งจอกหกหาง และดีดศีรษะน้อยๆ ของจิ้งจอกหกหาง “อย่าคิดเพ้อเจ้อ ลองชิมแอปเปิลนี้แล้วเจ้าจะรู้เอง”
จิ้งจอกหกหางลูบศีรษะอย่างน่าสงสาร เพ่งพินิจผลแอปเปิลด้วยความสงสัย
ผลสีแดงสด ราวกับว่าเปล่งแสงสีแดงออกมา รูปทรงสมบูรณ์สม่ำเสมอ ดูดีเชียวละ
หรือว่าผลไม้นี้จะมีสิ่งลึกลับ?
มันอ้าปากกว่าง ลองงับไปหนึ่งคำ
“กร้วม!”
เสียงของความกรอบดังชัดเจนเป็นพิเศษกลางราตรีเงียบสงัด
น้ำฉ่ำของแอปเปิลทะลักออกมา เข้าปากของจิ้งจอกหกหาง
หืม?
จิ้งจอกหกหางชะงักงันไป จากนั้นปากเล็กก็ขยับเบาๆ ค่อยๆ เคี้ยวเร็วขึ้น
“กร้วมๆๆ”
……………………………………………..