ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 55 ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
ตอนที่ 55 ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
ฉินม่านอวิ๋นไม่กล้าเอ้อระเหยแม้แต่น้อย เร่งความเร็วเต็มขั้นไปตลอดทาง
เรือเหาะจอดลงบนลานกว้างของอารามเต๋าหลินเซียน ฉินม่านอวิ๋นสาวเท้าเดินไปยังสถานที่ซึ่งอาจารย์ปิดด่านกักตน
“ศิษย์พี่ฉิน”
“ศิษย์พี่ฉินมาแล้ว”
“คำนับศิษย์พี่ฉิน”
ลูกศิษย์ของอารามเต๋าหลินเซียนต่างเอ่ยทักทายฉินม่านอวิ๋น ฉินม่านอวิ๋นก็เพียงผงกศีรษะตอบ ฝีเท้าเร่งรีบไม่ลดละ
เมื่อเดินไปถึงตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง นางจึงได้หยุดฝีเท้าลง เคาะกำแพงหินของตำหนักเสียงดัง ‘ก๊อกๆๆ’ สามครั้ง
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง
ก็มีเสียงดังขึ้น
ประตูหินเปิดออก
ฉินม่านอวิ๋นเดินเข้าไป
ห้องหินแบ่งเป็นสองชั้น โดยมีผลึกแก้วแผ่นหนึ่งกั้นไว้
เมื่อมองผ่านแผ่นผลึกแก้วไป พอจะเห็นนักพรตสวมชุดคลุมยาวท่านหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่อีกฝั่งอย่างเลือนราง บนศีรษะมีปิ่นปัก ในมือถือแส้หางม้า
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “ม่านอวิ๋นคำนับท่านอาจารย์”
เสียงแก่ชราดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของผลึกแก้ว “เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก นำตัวจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลับมาแล้วหรือ”
“เรียนอาจารย์ เปล่าเจ้าค่ะ” ฉินม่านอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างหนักแน่น “แต่ว่าศิษย์รู้ตำแหน่งในตอนนี้ของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าท่านหนึ่งด้วย”
น้ำเสียงแก่ชราเจือปนความฉงนใจ “ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า? ผู้ใดกัน เจ้าถึงได้ยกย่องเขาเพียงนี้”
น้ำเสียงของฉินม่านอวิ๋นเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส “ปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวกท่านหนึ่ง พำนักอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง พลังลึกล้ำเกินคณานับ เป็นเขาที่ช่วยจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไว้”
เงาของผู้เฒ่าสั่นไหวน้อยๆ กล่าวด้วยความตื่นตะลึง “อัสนีบาตสวรรค์แฝงวิถีแห่งการสูญสิ้น ถึงกับช่วยคนออกมาจากด่านเคราะห์สวรรค์ได้ เยี่ยมยอดจริงๆ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถูกคนผู้นี้รับไว้ เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
“ครั้งก่อนอาจารย์บอกว่าฉินจิตสวรรค์ได้รับความเสียหาย จริงหรือไม่เจ้าคะ” อยู่ๆ ฉินม่านอวิ๋นก็ถามขึ้น
“เฮ้อ แน่นอนว่าจริง” เสียงชราทอดถอนใจ เอ่ยเสียงค่อยว่า “ก้านฉินสึกหรอไป ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะซ่อมกลับมาได้ไหม”
“ถ้าหากศิษย์ตามหาไผ่ประจักษ์มรรคาพบ จะมีโอกาสซ่อมได้หรือไม่” ฉินม่านอวิ๋นถาม
“แน่นอนว่ามี!” อาจารย์ของฉินม่านอวิ๋นมั่นใจยิ่งกว่าสิ่งใด จากนั้นกลับส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ “เพียงแต่ไผ่ประจักษ์มรรคาเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ตัวฉินของฉินจิตสวรรค์ใช้ไผ่ประจักษ์มรรคาท่อนหนึ่งมาทำเป็นฐาน นั่นนับว่าเป็นพื้นฐานของฉินจิตสวรรค์! ทั้งยังเป็นสิ่งที่ท่านปรมาจารย์มีวาสนาได้มา หาได้ยาก ยากเหลือเกิน!”
ไผ่ประจักษ์มรรคานั้นมิได้หมายถึงไผ่ชนิดใดชนิดหนึ่ง หากแต่ความสำคัญอยู่ที่การประจักษ์ในมรรคา!
แต่ว่าเพียงแค่คำพวกนี้ กลับยากเย็นเสียยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสู่สรวงสวรรค์
โบราณกาลมีตำนานเล่าว่ามีผู้ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ หลังจากที่โบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ต้นโพธิ์ต้นนั้นก็สำเร็จมรรคผลไปด้วย กลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าการมีอยู่ของไผ่ประจักษ์มรรคาจะไม่อาจเทียบกับต้นโพธิ์นั้น แต่ก็หาได้ยากยิ่ง เงื่อนไขในการถือกำเนิดนั้นคล้ายคลึงกับต้นโพธิ์
ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จำต้องตื่นรู้ในมรรคา อยู่ใกล้ต้นไผ่เป็นเนืองนิตย์ ขณะทำนองมรรคาโคจรอยู่นั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นไผ่ ต้นไผ่จึงจะเติบโตได้
เพียงแต่ว่า ปรมาจารย์ซึ่งสำเร็จเป็นเซียนมีน้อยจนนับนิ้วได้ และต่อให้เป็นปรมาจารย์เหล่านั้น จะไปตรัสรู้อยู่ใกล้ต้นไผ่บ่อยๆ ได้อย่างไรกัน
เกินจริงเหลือเกิน
เรื่องนี้ล้วนแต่พึ่งพาโชคชะตา จะมีอยู่หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ อาจารย์ของฉินม่านอวิ๋นก็ถอนหายใจอีกครา
ฉินจิตสวรรค์สืบทอดต่อมาถึงทุกวันนี้ นับเป็นสมบัติล้ำค่าระดับอาวุธเซียนเพียงชิ้นเดียวของอารามเต๋าหลิน เซียน บัดนี้ได้รับความเสียหาย หากตนละสังขารไป จะมีหน้าไปพบอาจารย์ได้อย่างไรกัน!
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของอาจารย์ ในใจของฉินม่านอวิ๋นก็เริ่มสั่นคลอน ไร้ความมั่นใจขึ้นมาฉับพลัน
สิ่งที่ตนนำกลับมาเป็นไผ่ประจักษ์มรรคาจริงหรือ
นางหยิบไม้ไผ่ท่อนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ เอ่ยถามเสียงอ่อน “อาจารย์ ไผ่นี้ใช่ไผ่ประจักษ์มรรคาหรือไม่”
อาจารย์ของนางส่ายหน้าโดยไม่ต้องยั้งคิด “จะเป็นไปได้อย่าง…”
เจ้าเด็กคนนี้ช่างไร้เดียงสา ไผ่ประจักษ์มรรคาไหนเลยจะพบได้ง่ายปานนั้น
ทว่าชั่วครู่ต่อมา เขาก็ต้องชะงักงัน ดวงตาจับจ้องเขม็งอยู่ที่ไม้ไผ่ท่อนนั้น จ้องจนดวงตาแทบถลนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็พลันลุกพรวดราวกับเด้งขึ้นมา พุ่งชนกำแพงผลึกแก้วตรงหน้าเต็มแรง!
ผนังผลึกแก้วถึงกับอยู่ในสภาวะของเหลว นูนออกมาเป็นรูปร่างคนประหนึ่งฟองน้ำ
เสียง ‘โป๊ะ!’ ดังครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าหนวดขาวผมขาวโพลนยุ่งเหยิงก็ปรากฏกายต่อหน้าฉินม่านอวิ๋น
เขาฉวยไม้ไผ่ท่อนนั้นมา น้ำเสียงสั่นเทา “ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดูหน่อย”
สองมือของเขาลูบคลำไม้ไผ่นี้ไม่หยุด ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วยด้วยความตื่นเต้น เอ่ยสะอึกสะอื้น “เป็นไผ่ประจักษ์มรรคา เป็นไผ่ประจักษ์มรรคาจริงๆ ด้วย!”
คิดไม่ถึงว่าในชีวิตนี้จะยังมีโอกาสได้เห็นไผ่ประจักษ์มรรคา เหมือนฝันเหลือเกิน
นอกจากนั้น ถึงแม้ว่าไผ่ประจักษ์มรรคานี้จะสั้นไปสักหน่อย แต่คุณภาพนับว่าดีกว่าไผ่ท่อนนั้นที่อาจารย์นำกลับมา ดีกว่ามากเสียด้วย!
ไผ่นั้นของอาจารย์ ยามที่นำกลับมาก็ได้รับความเสียหายไปมากแล้ว คล้ายกับว่าจะถูกอัสนีบาตสวรรค์ฟาดใส่จนดำมิดหมีไปทั้งต้น ไม่เช่นนั้นตอนนี้ฉินจิตสวรรค์ก็คงไม่พังเช่นนี้หรอก
ไผ่ประจักษ์มรรคาท่อนนี้ มีคุณค่าต่ออารามเต๋าหลินเซียนมากโข
ของล้ำค่าเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาหรืออย่างไร
อาจารย์ของฉินม่านอวิ๋นกล่าวอย่างตื่นเต้น “ม่านอวิ๋น ไผ่ท่อนนี้เจ้าได้แต่ใดมา”
“ข้าได้มาจากปรมาจารย์ท่านนั้น” ฉินม่านอวิ๋นเอ่ยตอบ
อาจารย์ของนางเอ่ยด้วยความเหลือเชื่อ “ปรมาจารย์ท่านนั้นยินดีมอบของล้ำค่าระดับนี้ให้เจ้า?”
ฉินม่านอวิ๋นรู้สึกกระดากใจอยู่สักหน่อย นางไม่อยากทำร้ายจิตใจอาจารย์ของตน ทว่ายังตอบไป “อาจารย์ เดิมทีปรมาจารย์ท่านนั้นเตรียมจะนำไผ่ประจักษ์มรรคานี้ไปเผาไฟ ข้ากลัวว่าจะเสียของ จึงบากหน้าเอ่ยปากขอจากเขามา”
“อะไรนะ?!”
อาจารย์เด้งตัวขึ้นทันใด หนวดเคราแทบชี้ขึ้นฟ้า “ผะ…เผา?!”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้าอย่างขมขื่น หยิบเศษไม้ออกมาจากถุงผ้า “ปรมาจารย์ท่านนั้นคล้ายกับกำลังประดิษฐ์ของบางอย่าง ทั้งหมดนี้เป็นวัสดุเหลือใช้ สำหรับเขาก็เป็นเพียงเศษขยะ”
เศษขยะ?
สมบัติค่าควรเมืองในสายตาตน กลับเป็นเพียงขยะในสายตาผู้อื่น?
ผู้เฒ่ายืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าอึ้งงัน
“อาจารย์ ท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” ฉินม่านอวิ๋นกังวลว่าอาจารย์ของตนจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้เฒ่าก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง เอ่ยอย่างตะลึงลาน “มะ…ไม่เป็นไร มีความอาจหาญเพียงนี้ ย่อมต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า! เจ้าไม่ได้ล่วงเกินเขากระมัง?”
“อาจารย์ ข้าไหนเลยจะกล้า ไม่ทันได้ประจบด้วยซ้ำ” ฉินม่านอวิ๋นชะงักไปชั่วขณะ แล้วกระซิบว่า “อาจารย์ ข้านำหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีที่ติดตัวไปมอบให้ปรมาจารย์โดยพลการ”
“ดีแล้ว ทำได้ดีแล้ว”
ผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจยาว แย้มยิ้มอย่างพออกพอใจ “สมแล้วที่เป็นศิษย์ข้า ทำหน้าที่ได้ดีสมใจข้า ปรมาจารย์คงเห็นว่าเจ้ารู้ความ จึงยินดีมอบไผ่ประจักษ์มรรคาให้ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นเศษขยะ เขาก็คงไม่ยอมให้คนมาหยิบไปง่ายๆ! เจ้าได้พบโอกาสอันยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นวาสนาของอารามเต๋าหลินเซียน รีบเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังเร็ว”
ในตอนนั้น ฉินม่านอวิ๋นก็เล่าเรื่องราวรอบหนึ่งโดยไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งฟังไป ดวงตาของผู้เฒ่าก็ยิ่งเบิกกว้าง ท้ายสุดถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอด
เฮือก
………………………………