ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 56 สหายกระบี่คู่ยินดีช่วยเหลือ
ตอนที่ 56 สหายกระบี่คู่ยินดีช่วยเหลือ
ปรมาจารย์!
ปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก!
ผู้เฒ่ามีชีวิตมาสามพันปี สามสิบชาติภพ นี่เป็นปรมาจารย์ที่เยี่ยมยอดที่สุดที่เขาเคยพบในชีวิตนี้!
การได้พบกับบุคคลระดับนี้ เดิมทีก็นับเป็นโชคแล้ว แต่หากได้ผูกมิตรด้วยแล้วจะเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่!
รุ่งแล้ว ข้ารุ่งแล้ว!
ใบหน้าแก่ชราของเขาแดงก่ำ เต็มตื้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
“จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าปรมาจารย์เตือนมา?” ผู้เฒ่ามองฉินม่านอวิ๋นพลางเอ่ยถาม
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า “อาจารย์ เป็นเพราะจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง สถานที่พำนักของปรมาจารย์จึงมักมีผู้บำเพ็ญเซียนโผล่มาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ปรมาจารย์ถูกรบกวน”
“ปัง!”
ผู้เฒ่าทำให้ก้อนหินข้างกายป่นเป็นผุยผง บริภาษด้วยความเดือดดาล “เหิมเกริม เหิมเกริมนัก! เจ้าคนพวกนั้นวอนตายเสียแล้ว!”
เขามองฉินม่านอวิ๋น เอ่ยอย่างเร่งร้อน “ไฉนเจ้าถึงเพิ่งจะมาบอกข้าเอาป่านนี้ คำเตือนสำคัญเช่นนี้จำต้องสะสางเป็นอันดับแรกจึงจะถูก! รีบนำกำลังทั้งหมดของอารามเต๋าหลินเซียนไป ต้องช่วยปรมาจารย์ขจัดความทุกข์ร้อนนี้ให้จงได้!”
“ปรมาจารย์ยังมีคำเตือนใดอีกหรือไม่” ผู้เฒ่าเอ่ยปากถาม น้ำเสียงแฝงความคาดหวังอย่างห้ามไม่อยู่
คำเตือนของปรมาจารย์คืออะไรน่ะหรือ นั่นไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็นโอกาส เป็นโอกาสทองที่จะเอาใจปรมาจารย์
อย่างไรเล่า!
ฉินม่านอวิ๋นกัดริมฝีปาก จากนั้นจึงเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนใจ “อาจารย์ ปรมาจารย์ชอบดื่มหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปี ศิษย์สัญญากับปรมาจารย์ไว้ว่าจะมอบหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีให้เขาอีก ให้กิน…เต็มที่…”
“ฮ่าๆๆๆ วะฮ่าๆๆๆ”
ใครจะรู้ ว่าผู้เฒ่ามิได้ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย ทว่ากลับหัวเราะลั่น เปรมปรีดิ์เหลือเกิน
“ดี เป็นเรื่องที่ดียิ่ง!”
ผู้เฒ่าใบหน้าแดงก่ำ “หยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีนี้ทำให้ปรมาจารย์หวนระลึกถึงรสชาติของบ้านเกิด ความรู้สึกนี้มิใช่สิ่งที่สมบัติล้ำค่าทั่วไปจะทำได้! สำหรับปรมาจารย์ ต่อให้มอบอาวุธเซียนให้ ก็คงไม่แม้แต่จะชายตามอง แต่กลับเป็นหยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีที่เข้าตา สวรรค์เข้าข้างอารามเต๋าหลินเซียนของข้าจริงๆ!”
หลังจากนั้นก็พูดกับฉินม่านอวิ๋นอย่างสัตย์จริง “ศิษย์ข้า พลังบำเพ็ญของเจ้ายังไม่ล้ำลึกมากพอ ไม่สามารถเข้าใจความนัยของปรมาจารย์ เรื่องพรรค์นี้แค่กินให้เต็มที่แล้วพอที่ไหนกัน ต้องแบกน้ำแข็งทมิฬพันปีไปทั้งก้อน!”
อย่าว่าแต่น้ำแข็งทมิฬพันปีเลย ต่อให้ต้องยกอารามเต๋าหลินเซียนทั้งหมดให้ก็ไม่มีปัญหา แต่จะถูกใจปรมาจารย์หรือ?
“อาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว” ฉินม่านอวิ๋นมีสีหน้าได้รับคำสั่งสอน
ผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างกระหยิ่มใจ ร่างกายคลอนน้อยๆ เคลื่อนที่ออกมาจากห้องหิน “จะรอช้าไม่ได้ รีบไปจัดการปัญหาหนักใจของปรมาจารย์เร็ว!”
……
ท้องฟ้าเหนือราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
ลำแสงของผู้บำเพ็ญเซียนเหาะเหินไปมา พวกเขามองกันไปมา ล้วนแต่ขมวดคิ้วมุ่น
นี่มันอะไรกัน ผู้คนมากมายค้นหามานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ขนของจิ้งจอกเก้าหางสักเส้นก็ยังไม่พบ
ไม่น่าจะเป็นไปได้ จิ้งจอกเก้าหางผ่านด่านเคราะห์สวรรค์มา ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บหนัก จะไปหลบอยู่ที่ใดได้
ในตอนนั้นเอง แสงกระบี่สายหนึ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนักไป๋!”
“เจ้าสำนักไป๋ เห็นร่องรอยของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางบ้างไหม”
ไป๋อู่เฉินสีหน้าเย็นเยียบ ขี่กระบี่เคลื่อนมา ปราณเซียนลอยล่อง กระบี่ทอแสงไปรอบด้าน ห้าวหาญเหลือแสน
ข่าวว่าเขาทะลวงถึงขั้นชูเชี่ยวแพร่สะพัดไปแล้ว อีกทั้งเขาเหาะตระเวนในพื้นที่แถบนี้แต่แรกเริ่ม ตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพร้อมกับคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น ทำให้มีชื่ออยู่บ้าง ผู้คนไม่น้อยล้วนรู้จักเขา
ฝูงชนต่างแย้มยิ้มเป็นมิตรกับเจ้าสำนักไป๋ ลอบคิดว่า ‘เจ้าสำนักไป๋เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ เขาไม่เพียงกุลีกุจอตามหาโดยรอบ ยังพยายามส่งข่าวแก่ผู้อื่นว่าตรงไหนหาแล้ว ไม่มีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ตรงไหนปรากฏร่องรอยของมัน เพื่อให้ทุกคนไปตามหาดู คล่องแคล่วดีเหลือเกิน’
ความเร็วของผู้ฝึกกระบี่นั้นเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปมาก ไป๋อู๋เฉินกระตือรือร้นเช่นนี้ ไม่เพียงกระฉับกระเฉง ยังยินดีแบ่งปันข้อมูล ทำให้ทุกคนสะดวกเป็นอย่างมาก
มีใจช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้ นับเป็นความดีงามบนโลกบำเพ็ญเซียนเชียวนะ
ในยามนี้ ใครบ้างเล่าจะไม่ปิดบังข่าวเกี่ยวกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เพราะหวังรวยเงียบ ผู้ที่ใจกว้างถึงเพียงนี้มี
น้อยนัก
นอกจากเจ้าสำนักไป๋แล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่อีกท่านหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ เขามีนามว่าจ้าวซานเหอ แม้อายุจะมากพอควร ทว่ายังยืนหยัดอยู่แนวหน้า นับว่าหาได้ยากนัก
ทั้งสองได้รับยกย่องว่าเป็นสหายกระบี่คู่ ผู้คนสรรเสริญไม่หยุดหย่อน
ไป๋อู๋เฉินพยักหน้ากับผู้คนอย่างเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยว่า “ทุกท่าน บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างไปร้อยลี้ ปรากฏร่องรอยของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ครั้งนี้เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่พูดมากความ ทุกท่านรีบไปเร็ว!”
“ในที่สุดก็หาจิ้งจอกเก้าหางพบแล้วหรือ”
“ขอขอบคุณข้อมูลจากเจ้าสำนักไป๋ ภายภาคหน้าอย่าลืมมาเป็นแขกที่อารามปี้โหยว”
“ข้อมูลสำคัญเช่นนี้เจ้าสำนักไป๋ยังยินดีแบ่งปัน อันที่จริงทำให้พวกข้ากระดากใจยิ่งนัก น้ำใจครั้งนี้ ข้าจะจดจำขึ้นใจ”
ไป๋อู๋เฉินสีหน้าเรียบเฉย แสดงมาดของประมุขสำนัก “ทุกท่านเกรงใจแล้ว รีบออกเดินทางเถิด”
ไม่ทันขาดคำ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งไปยังทิศทางนั้น
อีกด้านหนึ่ง จ้าวซานเหอก็ขี่กระบี่เคลื่อนมา พลางป่าวประกาศว่า “จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางปรากฏตัวแล้ว โอกาสมาถึงแล้ว รีบตามข้าไปดูเร็ว!”
ไม่ทันไร ผู้บำเพ็ญเซียนอีกโขยงใหญ่ก็ถูกชักนำไป
ราชวงศ์เซียนเฉียนหลงเองก็คอยลอบเติมเชื้อไฟอยู่เช่นกัน ในชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนก็ไปรวมตัวกันที่นั่นโดยมิได้นัดหมาย
เพียงแต่ว่า พวกเขายังไม่ทันได้ไปถึง
ก็มีเสียงแก่ชราดังมาจากที่แห่งนั้น ฟังดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าผู้ใด
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเล่า หนีไปที่ใดแล้ว ยังไม่คืนร่างเดิมออกมาอีก”
พรึ่บ!
ทันใดนั้นเอง พลังปราณมหาศาลดุจห้วงมหาสมุทรก็แผ่คลุมผืนฟ้า สายสมหยุด หมู่เมฆนิ่ง!
ผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเงาร่างของผู้เฒ่านิ่งค้างกลางอากาศ ปราณเซียนโหมกระพือ มองลงมายังผู้คนเบื้องล่าง
“เจ้าอารามเต๋าหลินเซียน เหยาเมิ่งจี!”
“ปรมาจารย์เมิ่งจีถึงกับมาด้วยตนเอง? จบสิ้นแล้ว เช่นนี้ใครจะไปสู้ได้เล่า”
“จี๊ดๆๆ!”
เสียงร้องของสุนัขจิ้งจอกซึ่งตื่นตระหนกดังขึ้น จากนั้นก็เห็นหมู่เมฆหลากสียกจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมา
จิ้งจอกตัวนั้นคล้ายกับถูกพลังบางอย่างกักขังไว้ หางทั้งเก้าของมันกวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไร้ประโยชน์
ไม่นาน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ถูกลากมากลางอากาศ ตามเงาร่างของปรมาจารย์เมิ่งจีหายไปพร้อมกัน
ฟ้าดินกลับไปเงียบสงบอีกครา
ผู้คนจับจ้องจิ้งจอกเก้าหางถูกปรมาจารย์เมิ่งจีพาไปต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปแย่งเลยสักคน
เฮ้อ พลังไม่อาจเทียบเทียม ต่อให้มีโอกาสมากมายกว่านี้ก็คงคว้าน้ำเหลววันยังค่ำ
ไป๋อู๋เฉินมองฟ้า สบถออกมาทันใด “บัดซบ! จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถูกพาตัวไปเช่นนี้ เสียเวลาข้าโดยเปล่าประโยชน์”
รอบกายของเขา ปราณกระบี่แผ่ซ่าน ทำลายต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบจนราบคาบ เห็นได้ชัดว่าโทสะพลุ่งพล่าน
ผู้บำเพ็ญเซียนโดยรอบต่างเอ่ยปากปลอบประโลม
“เจ้าสำนักไป๋อย่าได้คิดมาก อารามเต๋าหลินเซียนไม่ใช่ผู้ที่พวกเราจะล่วงเกินได้”
“นั่นสิ ก็แค่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ช่างเถิด ช่างเถิด”
“เจ้าสำนักไป๋วุ่นวายมานานเพียงนี้ ทุกคนล้วนจดจำน้ำใจได้”
ไป๋อู๋เฉินกระตือรือร้นตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงเพียงนี้ ทั้งยังช่วยเหลือผู้คนไว้มากโข สุดท้ายกลับพลาด ผู้คนย่อมเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ
ไป๋อู๋เฉินส่ายหน้า รำพันว่า “ช่างเถิด ข้าไปละ!”
ทันใดนั้นก็ขี่กระบี่ขึ้นฟ้า หายไปจากตำแหน่งเดิมในชั่วพริบตา
จ้าวซานเหอก็ทอดถอนใจ โบกมือเบาๆ “เฮ้อ ทุกท่านแยกย้ายเถิด แยกย้ายได้แล้ว”
จากนั้นก็ขี่กระบี่จากไปทันที
ผู้บำเพ็ญเซียนที่เหลืออยู่ก็มองหน้ากันไปมา เดิมทีพวกเขามาที่นี่เพื่อตามหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง บัดนี้ในเมื่อไร้ความหวัง ก็แยกย้ายกันทะยานลำแสงกลับไปอย่างไม่ลังเล
…………………………………………