ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 61 ตายอย่างเลิศหรู
“อึกๆ”
ฉินม่านอวิ๋นและเหยาเมิ่งจีสมองแทบระเบิด เส้นเลือดทั่วทั้งสรรพางค์กายคล้ายตีย้อนกลับ จนต้องกลืนน้ำลายไปหลายคำอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
เมิ่งเหยาจีเค้นรอยยิ้มซึ่งดูย่ำแย่เสียยิ่งกว่าร่ำไห้ เอ่ยเสียงสั่นเครือ “นะ…นายท่านสุนัข ข้าเป็นคนรักสุนัข เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ต้าเฮยมิได้สนใจเหยาเมิ่งจี แต่กลับมองฉินม่านอวิ๋น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าท่านเป็นแขกนายท่าน รู้กฎของนายท่านหรือไม่”
ฉินม่านอวิ๋นชะงักไป เดิมทีนางก็คุ้นกับต้าเฮยอยู่ ในยามนั้นก็นึกขึ้นได้ในที่สุด คุณชายหลี่เลี้ยงสุนัขสีดำไว้ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ เหมือนว่าจะเป็นตัวนี้ละ
สมองของนางแล่นปราด ทันใดนั้นก็กระจ่างในคำพูดของต้าเฮย จึงรีบเอ่ยว่า “รู้! ข้ารู้กฎ!”
ต้าเฮยพยักหน้า “จำไว้ นายท่านของข้าอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ในร่างปุถุชน อย่าทำลายความสำราญใจของนายท่าน ข้าเป็นเพียงสุนัขพื้นบ้านธรรมดาตัวหนึ่ง ส่วนนกอินทรีตัวนั้นก็เป็นอินทรีภูเขาธรรมดาตัวหนึ่ง คงเข้าใจความหมายของข้ากระมัง”
“เข้าใจแล้ว นายท่านสุนัขวางใจเถิด พวกข้ารับรองว่าจะไม่มีพิรุธเป็นอันขาด” ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้ารัว
พลังทั้งหมดของต้าเฮยอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันใด จนไม่แตกต่างกับสุนัขพื้นเมืองทั่วไปเลยสักนิด หันหลังเดินจากไปอย่างเย็นชา
ฉินม่านอวิ๋นและเหยาเมิ่งจีพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้ เสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทั้งสองมองหน้ากัน รู้สึกโชคดีที่เอาชีวิตรอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้มาได้
เหยาเมิ่งจีเอ่ยถามอย่างยากลำบาก “ม่านอวิ๋น เจ้ารู้จัก…นายท่านสุนัขหรือ”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า พูดอย่างหนักแน่น “นายท่านสุนัขคงจะเป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองข้างกายปรมาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบ เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงสุนัขสีดำทั่วไปตัวหนึ่ง นึกไม่ถึง…”
นางยิ้มขื่นส่ายหน้า ตนนี่โง่เขลาเสียจริง สุนัขที่ได้อยู่ข้างกายคุณชายหลี่ไหนเลยจะธรรมดา
“มิน่าเล่า” เหยาเมิ่งจีชะงักไป จากนั้นก็เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหว “ในเมื่อปรมาจารย์ชื่นชอบอาศัยอยู่ในฐานะปุถุชน พวกเราห้ามขัดข้อห้ามของปรมาจารย์เป็นอันขาด! แต่ถ้าหากจะจากไปเช่นนี้ก็คงไม่สุภาพ มิสู้หลบก่อนดีกว่า รอประเดี๋ยวแสร้งทำเป็นบังเอิญพบก็แล้วกัน”
“ต้าเฮย เหยื่ออยู่ที่ไหน”
หลี่เนี่ยนฝานไล่ตามต้าเฮยมาอย่างยากเย็น มองตามสายตาของต้าเฮย ก็เห็นเงาสีดำยักษ์ใหญ่สายหนึ่งโบยบินอยู่กลางอากาศ ปีกคู่มหึมากำลังกระพือพั่บๆ
“โอ้โห นกอินทรีตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย!”
หลี่เนี่ยนฝานดวงตาพราวระยับ ดูท่าโชคดีไม่เบา ในที่สุดก็จับเหยื่อได้แล้ว!
จับนกอินทรีได้ตัวหนึ่ง อย่างนั้นกิจกรรมล่าสัตว์ของวันนี้เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
เขาหยิบคันธนูเขาวัว ค้อมเอวเล็กน้อย ทาบศรธนู สายตานิ่งสงบเฉียบแหลม เล็งเป้าไปยังนกอินทรียักษ์ใหญ่ตัว
นั้น
ในใจของเขาตุ้มต่อมตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ จำได้ว่าในละครโทรทัศน์โลกเดิม เมื่อใดที่เกาทัณฑ์ยิงอินทรียักษ์ ย่อม
เป็นฉากคลาสสิก วันนี้เป็นคิวบู๊ของท่านหลี่แล้ว!
ท่วงท่าสง่างาม ลงมือได้แม่นยำ
สวบ!
ลูกธนูพุ่งเข้าใส่ ทะลวงกลางร่างอินทรีภูเขา!
“แผละ!”
ตามมาด้วยเลือดสดสาดกระเซ็นดังบุปผาสีชาด
“ฮ่าๆๆ ยิงเข้าแล้ว! ไปเร็ว!” หลี่เนี่ยนฝานมองอินทรียักษ์ซึ่งร่วงอยู่บนพื้น รอยยิ้มฉายวาบบนใบหน้า พาต๋าจี่วิ่งไปยังทิศทางของอินทรีภูเขา ต๋าจี่มองดูอินทรีภูเขาที่หล่นลงมา ความฉงนใจผุดขึ้นบนใบหน้า
ไฉนอินทรีภูเขาถึงได้เหมือนกับจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินไปได้
เมื่อเข้าใกล้ ความคลางแคลงบนใบหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก เป็นจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน
เฮือก
นี่มันอะไรกัน
พลังของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินเล่า?
ทันใดนั้น ข้างหูของนางก็มีเสียงดังขึ้น “ไม่ต้องตกใจ ข้าทำเองแหละ! เจ้าคงเข้าใจความหมายของข้า”
ต๋าจี่มองไปยังต้าเฮยอย่างแปลกใจ จากนั้นก็มีสีหน้าคล้ายกับกำลังใช้ความคิด
ข้าเข้าใจแล้ว!
นายท่านชอบใช้ชีวิตอยู่ในฐานะปุถุชน ทว่า…บนโลกนี้มีพวกไร้ยางอายอยู่มาก ภูติผีปีศาจก็แผลงฤทธิ์ยิ่งกว่า ยากที่นายท่านจะหลีกเลี่ยงความรำคาญใจ ส่งผลกระทบต่อความสำราญใจของนายท่านในฐานะปุถุชน
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หากต้องลำบากปรมาจารย์มาลงมือเอง นั่นก็เท่ากับว่าพวกข้าไม่ได้ความแล้วละ
เมื่อเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น พวกเขาต้องเป็นผู้ปูวิถีทางอันบริสุทธิ์ผุดผ่องให้แก่นายท่าน ไม่ให้ใครหน้าไหนมาสร้าง
ปัญหาให้นายท่าน! ทำให้นายท่านสัมผัสชีวิตเยี่ยงปุถุชนโดยปราศจากเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ!
ชั่วขณะนั้นนางก็พบเป้าหมายของตน ความมุ่งมั่นผุดพรายขึ้นในดวงตา
ฝ่ายเหยาเมิ่งจีและฉินม่านอวิ๋นก็ค่อยๆ ขยับเข้าประชิด ทั้งสองพยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ เดินไปพลางพูดคุยไปพลาง
ครั้นเดินผ่านไปทางนั้นพอดิบพอดี ฉินม่านอวิ๋นก็เอ่ยขึ้นอย่างตกอกตกใจ “คุณชายหลี่ แม่นางต๋าจี่?”
“เอ๊ะ? แม่นางฉิน บังเอิญจังเลย” หลี่เนี่ยนฝานล่าเหยื่อได้สำเร็จ อารมณ์ดีไม่เบา พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ฉินม่านอวิ๋นรีบเอ่ย “นั่นสิ ข้ากับอาจารย์ผ่านมาที่นี่พอดี คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับคุณชายหลี่ที่นี่”
“ฮ่าๆๆ ข้าออกมาล่าสัตว์ ยังนับว่าได้น้อยอยู่นัก” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มร่า ยังไม่ลืมที่จะลูบหัวต้าเฮยพลางเอ่ยชื่นชม
“ต้าเฮย ทำได้ดีมาก”
“โฮ่งๆ…”
ฉินม่านอวิ๋นมองท่าทางว่านอนสอนง่ายของต้าเฮย ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ประหนึ่งว่าต้าเฮยที่ตนเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงภาพมายา
นี่มันสุนัขเซียนชัดๆ! ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดเช่นเดียวกับผู้ยิ่งใหญ่ ถึงกับเลียนเสียงสุนัข และกระดิกหาง
ได้ด้วย?
มารดาเถอะ โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!
นางรีบเบือนหน้าไป ด้วยเกรงว่าจะเผยพิรุธออกไป
ทางเหยาเมิ่งจีก็สงบจิตสงบใจได้ เอ่ยอย่างสุภาพนอบน้อม “คุณชายหลี่ ข้าเหยาเมิ่งจี เป็นอาจารย์ของม่านอวิ๋น
ได้ยินนางเอ่ยถึงท่านมานานแล้ว วันนี้ได้พบตัวจริงสักที”
“ผู้เฒ่าเหยาเกรงใจแล้ว ข้าเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง มีอันใดน่าพบกัน” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยอย่างอดไม่ได้
เป็นเช่นนี้จริงด้วย คุณชายหลี่ชอบมองว่าตนเองเป็นปุถุชน ต่อไปจะต้องระวังให้มาก ห้ามทำให้เสียเรื่อง ยั่วโทสะคุณชายหลี่
เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ปรมาจารย์ทั่วไปก็มักจะมีนิสัยพิลึกพิลั่นต่างกันไป นิสัยแปลกๆ ของคุณชาย
หลี่นับว่าปกติแล้ว
เขาเอ่ยขึ้นทันใด “คุณชายหลี่ไม่ต้องถ่อมตัวไป บันทึกท่องประจิมของท่านเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก อีกทั้ง
ข้ายังเคยได้ยินว่าท่านเขียนโคลงคู่ขึ้นมา ผู้คนทั้งใต้หล้าล้วนตกใจ ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก อยากมาชื่นชมตั้งนานแล้ว”
ผู้มีอารยะ เป็นผู้มีอารยะแน่นอน
หลี่เนี่ยนฝานพลันผุดรอยยิ้ม ดูแล้วตนก็นับว่ามีชื่อเสียงบ้างเล็กน้อยในแวดวงศิลปะและงานประพันธ์บนโลก
เซียน แม้แต่ผู้เฒ่าระดับนี้ยังอยากมาดู
“เช่นนั้น ผู้เฒ่าไปชมที่บ้านข้าไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าต้องรบกวนแล้ว” เหยาเมิ่งจีเอ่ย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้าง
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า เตรียมแบกอินทรียักษ์ไป
ไหนเลยจะรู้ว่า เหยาเมิ่งจีกระตือรือร้นยิ่งนัก จะเข้ามาช่วยเขาแบกให้ได้
ให้คนแก่ผมขาวทำเรื่องพรรค์นี้ หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกกระดากเหลือเกิน แต่ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายมีน้ำใจยิ่งนัก เขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ก็ได้ ถึงอย่างไรผู้เฒ่าคนนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน อยากแบกอินทรียักษ์ย่อมไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส
มีอาจารย์แบบนี้คอยสั่งสอน มิน่าล่ะลูกศิษย์ถึงได้มารยาทงดงามอย่างฉินม่านอวิ๋น
“ฉึบๆ!”
หลี่เนี่ยนฝานฉวยมือดึงศรธนูซึ่งปักอยู่บนร่างของอินทรียักษ์ ก่อนจะเก็บลงกลับไปในตะกร้าใส่ศรธนู
เหยาเมิ่งจีชะงักงันไป สายตาของเขาจับจ้องที่ศรธนู แทบอยากเอาดวงตาเข้าไปแนบติดให้รู้แล้วรู้รอด
ไผ่ประจักษ์มรรคา?
เป็นไผ่ประจักษ์มรรคาจริงๆ!
เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกต ยามนี้จึงพบว่าศรธนูในตะกร้าของคุณชายหลี่นั้นถึงกับทำมาจากไผ่ประจักษ์มรรคาทั้งหมด!
ไฉนถึงได้มีคนยอมนำไผ่ประจักษ์มรรคามาทำเป็นศรธนู
นี่มันไผ่ประจักษ์มรรคาเชียวนะ เมื่อนำมาทำเป็นศรธนู หมายความว่าเมื่อยิงออกไปหนึ่งดอกเท่ากับว่าไม้ไผ่ลดลงไปหนึ่งท่อนไม่ใช่หรอกหรือ ต้องฟุ่มเฟือยถึงขนาดไหนกัน!
เหยาเมิ่งจีปวดใจจนใบหน้าบูดเบี้ยว
เมื่อมองคันธนูเขาวัวในมือของหลี่เนี่ยนฝาน ก็พบว่าใช้ไผ่ประจักษ์มรรคาไปไม่น้อย
เดี๋ยวก่อนนะ!
เหยาเมิ่งจีหันหน้ากลับไปจ้องมองตะกร้าสะพายหลังใบนั้นโดยละเอียด!
เฮือก
สานมาจากไผ่ประจักษ์มรรคาเชียวหรือ!
มารดาเถอะ ต้องมีไผ่ประจักษ์มรรคามากถึงเพียงใดกัน!
เขาจำได้ว่าฉินม่านอวิ๋นเคยบอกว่าไผ่ประจักษ์มรรคาที่นางนำมานั้นเป็นเพียงเศษวัสดุที่เหลือจากการประดิษฐ์ ของของคุณชายหลี่ ตอนนี้เขาเชื่อสนิทใจแล้ว
ที่แท้สิ่งที่ตนได้มานั้นเป็นเพียงส่วนเหลือทิ้งชั้นเลวที่สุดของไผ่ประจักษ์มรรคาซึ่งคุณชายหลี่ไม่เห็นค่า
เมื่อนึกถึงว่าตนดีอกดีใจเสียยกใหญ่ยามได้รับเศษไผ่ประจักษ์มรรคาซึ่งถูกทิ้งขว้างท่อนหนึ่งเช่นนั้น นัยน์ตา
ของเหยาเมิ่งจีก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเหลือแสน
นี่มันโลกของผู้ยิ่งใหญ่หรือ
อยากตามคุณชายหลี่ไปเก็บขยะที่บ้านจริงๆ
เขามองศพของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน ก็ทอดถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “สหายเอ๋ย วิธีการตายของเจ้านั้น
ช่างเลิศหรู เหมาะสมเหลือเกิน!”
……………………………………………………