ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 63 ความหลังไม่อาจทนหวนระลึก
เหยาเมิ่งจีแทบอยากตบบ้องหูตนเองสักสองฉาดให้รู้แล้วรู้รอด
คุณชายหลี่เป็นใครกัน เป็นบุคคลระดับเทพเหนือปุถุชนแล้ว เปล่งวาจาเพียงน้อยนิดก็กลายเป็นมรรคาได้!
น้ำแข็งทมิฬพันปีเย่อหยิ่งจองหองกับเขา แต่ต่อหน้าคุณชายหลี่กลับทำตัวแสนต่ำต้อยเสียเต็มประดา
เป็นเกียรติยศของมันแล้วที่คุณชายหลี่เห็นมันในสายตา หยดครั้งหนึ่งจะไปใช้เวลาถึงสิบปีเหมือนเดิมได้อย่างไร ไม่อยากทำแบบเดิมแล้วรึ?
ฉินม่านอวิ๋นตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูกแล้ว อยากจะยืนเป็นอากาศธาตุแสนต่ำต้อยอยู่ข้างๆ ไปซะเลย
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “ไม่มีความดีความชอบย่อมไม่ได้บำเหน็จ ข้าไม่อาจรับของมาโดยปราศจากสิ่งตอบแทน ท่านบอกมาเถิดว่าปรารถนาสิ่งใด”
ฉินม่านอวิ๋นรู้จักลั่วซืออวี่ เป็นไปได้มากว่าผู้เฒ่าคนนี้ก็คงจะรู้จักพวกจักรพรรดิลั่วและไป๋อู๋เฉินเหมือนกัน ทุกคนก็อยู่ในแวดวงของผู้มีอารยะ ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องของตนมาบ้าง จนในใจอดรนทนไม่ไหว นึกอิจฉาถึงได้มาที่นี่เพื่อผูกมิตร
ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งที่ปรารถนา
สิ่งที่ผู้มีอารยะเสาะหาคงจะหนีไม่พ้นงานเขียนตัวอักษรหรือภาพวาด หรือไม่ก็การเดินหมากหรือการดื่มชาเทือกนั้น
แม้ว่าหลี่เนี่ยนฝานจะเป็นมือใหม่ในเรื่องบำเพ็ญเซียนถกเถียงปรัชญา แต่เรื่องงานประพันธ์หรือวาดภาพ เขาเองก็ไม่ได้มาเล่นๆ โชคดีที่ได้รับการฝึกฝนจากระบบผีบ้ามาถึงห้าปี
การได้พบผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นมิตรเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าหากสามารถใช้งานศิลปะเหล่านี้ในการคบหาและผูกไมตรีจิตกับพวกเขา จะทำให้ความปลอดภัยของเขาในโลกบำเพ็ญเซียนยิ่งทบทวีขึ้นไปอีก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้นับว่าเป็นขาใหญ่ในโลกบำเพ็ญเซียนหรือเปล่า ถ้าให้ตนได้เกาะแข้งเกาะขาสักหน่อยก็ยิ่งดี
ไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษหญ้าเซียนซึ่งมีอยู่เต็มบ้าน อีกทั้งเรื่องผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งก่อนหน้านี้มาบินไปบินมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะตนสนิมสนมกับผู้บำเพ็ญเซียน เรื่องนี้ไหนเลยจะแก้ปัญหาได้ง่ายถึงขนาดนี้
ใต้ต้นไม้ใหญ่มีร่มเงามาก[1]จริงๆ
หลี่เนี่ยนฝานพูดอย่างเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ เหยาเมิ่งจีไม่เพียงไม่ยักดีใจ แต่ในหัวใจก็ยังเต้นโครม รู้สึกเพียงว่าสมองชาวาบ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตื่นตระหนกสุดขีด
บททดสอบ!
ต้องเป็นบททดสอบอย่างแน่นอน!
ข้าควรตอบคำถามนี้ของปรมาจารย์ว่าอย่างไรดี
ถ้าหากบอกว่าจะให้เปล่า ปรมาจารย์ต้องไม่เชื่อเป็นแน่ พาลจะกลายเป็นว่าเขาไม่จริงใจ ถ้าหากมีข้อเรียกร้อง ปรมาจารย์จะมองตนเองอย่างไรกัน อีกทั้งตนจะไปขออะไรได้เล่า ทรัพย์สินของปรมาจารย์ขอได้ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ความสมดุลของเรื่องนี้เข้าใจได้ยากเหลือเกิน!
หากตอบไปแล้วไม่ถูกใจ ทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคือง เช่นนั้นตนเองก็ชะตาขาดน่ะสิ!
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที เขากลับรู้สึกว่ายาวนานนับศตวรรษจนเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผาก
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ น่ากลัวเหลือเกิน แค่เพียงประโยคเดียวก็แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งมากอนันต์ เขาบำเพ็ญเพียรมานับพันปี ยังไม่รู้เลยว่าควรตอบว่าอย่างไร
ท้ายสุดแล้ว เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดออกไป “ขะ…ข้าอยากให้คุณชายหลี่ชี้…ชี้แนะสักหน่อย”
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า ผู้เฒ่าคนนี้พูดจากำกวมและเหินห่างเหลือเกิน
นี่คงเป็นข้อเสียของผู้มีอารยะละมั้ง
“ท่านอยากให้ข้าช่วยชี้แนะเรื่องการดีดฉินหรือ” หลี่เนี่ยนฝานถามไปตามตรง
ตั้งแต่เดินเข้ามาในเรือน เขาก็สังเกตเห็นว่าเหยาเมิ่งจีจับจ้องไปยังฉินโบราณของตน ยามที่สนทนากัน สายตาก็ลอบมองไปยังฉินโบราณอยู่บ่อยครั้ง
ท่าทางระแวดระวังเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็ยังมองออกว่าเขาสนอกสนใจฉินโบราณตัวนี้เป็นพิเศษ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นผู้ที่รักในศิลปะการดีดฉิน
เหยาเมิ่งจีพลันดีใจยกใหญ่ รีบเอ่ยว่า “ใช่ ใช่แล้ว!”
สมแล้วที่เป็นคุณชายหลี่ เกรงว่าคงมองออกแต่แรกแล้วว่าข้าเดินวิถีฉิน ถ้าหากเขาสามารถชี้แนะตนสักหน่อย ก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐของตนแล้ว
หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยว่า “อย่าเรียกว่าชี้แนะเลย เป็นการแลกเปลี่ยนวิชากันเสียมากกว่า”
“คุณชายหลี่ เช่นนี้พวกเราบรรเลงเพลงด้วยกันเถิด หรือว่า…” เหยาเมิ่งจีเอ่ยถามเสียงอ่อน
“ไม่ต้องบรรเลงเพลงด้วยกันหรอก” หลี่เนี่ยนฝานปฏิเสธทันควันโดยไม่ต้องยั้งคิด ตนเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา ไหนเลยจะกล้าไปเล่นดนตรีร่วมกับผู้บำเพ็ญเซียน ไม่รักตัวกลัวตายบ้างหรือไง
ผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ย้ายขุนเขาถมมหาสมุทรได้ ถ้าหากพลังปราณพวยพุ่งออกมายามดีดฉิน แล้วตนเองบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ
“ไม่อย่างนั้นท่านเริ่มดีดก่อนเถิด ข้าคอยฟังอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานชี้ไปยังฉินโบราณซึ่งอยู่ด้านข้างแล้วบอกว่า “ฉินของข้าอยู่ตรงนั้น ท่านไปลองเล่นก็ได้”
เหยาเมิ่งจีพลันตัวสั่นทันใด ใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา ประหนึ่งได้ยินเรื่องเหลือเชื่ออย่างไรอย่างนั้น
เขาถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ “คุณชายหลี่ ข้าดีดฉินของท่านได้จริงๆ หรือ”
“ก็แค่ฉิน ทำไมถึงจะไม่ได้เล่า” หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกน่าขันอยู่บ้าง ท่าทีของผู้เฒ่าคนนี้สุดยอดไปเลย
ฟู่ ฟู่
เหยาเมิ่งจีรีบควบคุมลมหายใจ ลอบพูดกับตนเองว่า “นิ่งไว้ ข้าต้องนิ่งไว้ ห้ามมีท่าทีตื่นอกตกใจต่อหน้าปรมาจารย์เด็ดขาด”
นัยน์ตาของเขาจ้องฉินโบราณตัวนั้นเขม็งจนนิ่งราวกับเป็นรูปเคารพ ฝีเท้าค่อยๆ ก้าวไปยังฉินโบราณ
นี่มันอาวุธเซียนเชียวนะ!
ไม่สิ! น่าจะเหนือกว่าอาวุธเซียนด้วยซ้ำ!
สิ่งของระดับเทพ ข้าเล่นได้ด้วยหรือนี่
เขารู้สึกประหนึ่งตนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน สมองขาวโพลน ขอบตามีน้ำตาคลอหน่วย
ฉินโบราณเช่นนี้ ได้เห็นสักคราก็ไม่เสียดายชีวิตนี้แล้ว ยิ่งถ้าหากได้ใช้บรรเลงบทเพลง ต่อให้สำเร็จเป็นเซียนก็ไม่
อาจนำมาแลกได้!
สมแล้วที่คุณชายหลี่เป็นปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทาน ถึงกับยินดีให้คนต่ำต้อยอย่างข้าบรรเลงฉินนี้ ชีวิตแก่ๆ นี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว!
เหยาเมิ่งจีนั่งตรงหน้าฉินโบราณ ยื่นมืออันสั่นเทาออกมา ราวกับปรารถนาจะสัมผัสคนรักของตนก็มิปาน แต่กระนั้นก็กลัวว่ามือของตนจะทำให้เสื้อผ้าของคนรักเปรอะเปื้อน จึงลังเลไม่ยอมขยับ
ในตอนนั้นเอง เขาก็บังเกิดความรู้สึกว่าบุรุษยอมสละชีพเพื่อสหายรัก
การได้เป็นตัวหมากของคุณชายหลี่นั้นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต!
เขาเอ่ยกับฉินตรงหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม น้ำเสียงแผ่วเบา “ล่วงเกินแล้ว”
จากนั้นจึงใช้สองมือประคองบนฉิน
จิตวิญญาณแห่งอาวุธเซียน
เหยาเมิ่งจีแจ่มแจ้งแก่ใจ หากไม่ใช่เพราะมีคำสั่งของคุณชายหลี่ เกรงว่าฉินโบราณนี้คงระเบิดเขากระจุยไปแล้ว
เขารีบตั้งสติ ดวงตาแก่ชราฉายความรู้สึกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นโอกาสที่คุณชายหลี่มอบให้แก่ตน ทว่า…จะ
ไม่ใช่บททดสอบไปได้อย่างไร
เคียงปรมาจารย์ดั่งเคียงพยัคฆ์
หากตนดีดได้ดีก็ยังพอทำเนา หากดีดได้ไม่ดี หยามเหยียดฉินโบราณตัวนี้ เช่นนั้นอนาคตก็ดับลงแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอารมณ์กรุ่นในอก
หลังจากนั้นสิบวินาทีจึงถอนหายใจยาวออกมา
สองมือดีดลงบนสายฉิน การเคลื่อนไหวพลิ้วไหวดุจสายน้ำ บรรเลงได้เสนาะหูยิ่งนัก
“เคร้ง”
ท่วงทำนองฉินล่องลอยมา บ้างก็เนิบช้า บ้างก็เร่งเร้า ส่งออกมาปานผิวน้ำไหวกระเพื่อม แผ่ซ่านออกไปแสนไกล
ระหว่างแผ่นฟ้าและผืนปฐพี ก็พลันบังเกิดสายลมอ่อนเป็นระลอก พัดปลิวเรือนผมและหนวดสีดอกเลาของเหยาเมิ่งจี ทำให้เขาแลดูประดุจนักปราชญ์ผู้อยู่เหนือโลกีย์ทั้งปวง
หลี่เนี่ยนฝานหลับตาลง ฟังเพลงบรรเลงฉินของเหยาเมิ่งจี พลางพยักหน้าและส่ายศีรษะเป็นครั้งคราว
ดูแล้วผู้เฒ่าคนนี้คงรักศิลปะการบรรเลงฉินเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งยังใส่ความพยายามลงไปด้วย ฝีมือระดับนี้ต่อให้ใช้มาตรฐานการประเมินของระบบ ก็อยู่ในระดับที่แปดแล้ว
เพียงแต่ว่า…
เขาอดนึกถึงความสะพรึงกลัวที่ถูกระบบครอบงำในตอนนั้นไม่ได้
ตอนนั้นเขาคิดว่าระดับของการดีดฉินนั้นเมื่อถึงระดับสิบก็นับว่าแตะถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ระบบกลับแจ้งเขาว่าระดับสิบเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ถ้าหากว่ากันตามมาตรฐานของระบบ ระดับสิบนี้เป็นเพียงการปูพื้นฐาน หลังจากนี้ยังต้องมีเรื่องวุ่นวายชวนปวดสมองอย่างการเข้าถึงสุนทรีย์ของท่วงทำนอง สภาวะแวดล้อมโดยรอบ ความซาบซึ้งในใจ รวมไปถึงความรู้สึกส่วนบุคคล จึงจะนับว่าผ่านด่าน
สรุปก็คือ…ช่างเป็นความหลังที่ไม่อาจทนหวนระลึก
ใครจะไปรู้ล่ะว่าฉันผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง
…………………………………………….
[1] ใต้ต้นไม้ใหญ่มีร่มเงามาก เมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดี ย่อมได้รับความช่วยเหลือ ไม่ต้องลงแรงมาก