ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 66 ไม่พบกันสิบปี สติปัญญาแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว
- Home
- ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน
- ตอนที่ 66 ไม่พบกันสิบปี สติปัญญาแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ไกลออกไปนับหมื่นลี้ทางตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับดินแดนใต้อาณัติของราชวงศ์เซียนเฉินหลง อันเป็นที่ตั้งของหอเซียนหลิงอวิ๋น
ตำหนักใหญ่สีเทาหลังคาสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ทั้งยังสร้างปีกตำหนักสารพัดรูปแบบ เสียงผู้คนดังระงม เสียงสวดเทศนาดังแว่วมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นตำหนักใหญ่หรือตำหนักปีก ก็ล้วนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางม่านหมอกเบาบาง หมอกจางนี้นิ่งค้างไม่กระจายไป ประหนึ่งหมู่เมฆบนท้องฟ้า
ครืน!
ในชั่วขณะนั้นเอง พลังปราณโดยรอบตำหนักใหญ่ก็พลันปั่นป่วนโกลาหลขึ้นมา ก่อนจะเกิดแรงดึงดูดมหาศาลจากในตำหนัก ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนมหึมา กลืนกินพลังปราณรอบข้างเข้าไปในทันใด ราวกับมัจฉากำลังฮุบเหยื่อ
ม่านหมอกข้างเคียงก็ถูกแรงสะเทือน มลายหายไปเพียงชั่วพริบตา
“ประมุขจะออกจากการปิดด่านแล้วหรือ”
“นี่เป็นสัญญาณของการทะลวงขั้น!”
“เร็ว! ทุกคนรีบรวมพลังเวทส่งให้ท่านประมุขกันเร็ว!”
ในหอเซียนหลิงอวิ๋น บรรดาลูกศิษย์ต่างมีสีหน้าเต็มตื้น ขี่ลำแสงจากทั่วทุกสารทิศตรงมายังตำหนักใหญ่โดยเร็วที่สุด
ผู้อาวุโสสามคนกุลีกุจอมาอย่างเร็วรี่ ร่างกายเบาหวิวลอยลงบนหลังคาตำหนัก
พวกเขามีสีหน้าขึงขัง สองมือประสานร่ายเวท “ศิษย์ทั้งหลายฟังคำสั่ง จงถ่ายทอดพลังเวทของตนเข้าไปยังค่ายกล ช่วยให้ท่านประมุขทะลวงขั้นได้อย่างราบรื่น!”
ตู้ม!
ทันทีที่เอ่ยออกไป โดยรอบของตำหนักใหญ่ก็ปรากฏแสงจรัสจ้า บนพื้นมีลำแสงแล่นปราดไปทั้งบริเวณ กำเนิด
เป็นรูปภาพแปลกตา
ลูกศิษย์ทั้งหลายยกมือขึ้น ส่งพลังไปบนค่ายกลโดยไม่ลังเล
พลังเวทเหล่านี้โคจรไปตามค่ายกล ท้ายสุดจึงไปบรรจบกันที่ด้านบนสุดของตำหนักใหญ่
พลังปราณรอบด้านก็โหมคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเอง แสงตะวันก็พลันทอทั่ว ร่างคนขนาดยักษ์ใหญ่ค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นกลางอากาศเหนือตำหนัก
ร่างของคนผู้นี้สวมเสื้อคลุมยาว ผมเผ้าสีขาวดุจขนนกกระเรียน ทว่าใบหน้าแช่มชื่นแจ่มใส ดวงตาพราวประ
กายมีชีวิตชีวา
ผู้เฒ่าทั้งสามซึ่งอยู่บนหลังคาต่างกล่าวอย่างเคารพเลื่อมใส “คำนับท่านประมุข”
หลินชิงอวิ๋นก็ทะยานขึ้นไปเช่นกัน แตะเท้าบนหลังคา เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อ!”
ลูกศิษย์คนอื่นๆ พากันคลี่ยิ้ม
ประมุขปิดด่านกักตนมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็ออกมาแล้วจริงๆ หรือนี่
เมื่อใดที่ท่านประมุขทะลวงขั้น ก็เท่ากับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเฟินเสิน สถานะของหอเซียนหลิงอวิ๋นย่อมถูกยกระดับขึ้นไปอีกมาก และก้าวขึ้นเป็นสำนักอันดับต้นๆ!
เมื่อถึงตอนนั้น ความอยู่ดีมีสุขก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย มีหรือพวกเขาจะไม่ดีใจ
ผู้เฒ่าชุดดำไม่ได้พบผู้คนมานานเหลือเกิน ใบหน้าผุดรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นสายตาก็เบนมายังบุตรสาว และรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “ชิงอวิ๋น ช่วงเวลาสำคัญซึ่งข้าจะทะลวงขั้น เจ้ารีบไปนำโสมวิญญาณเก้าสังคีตออกมาจากคลังสมัติ จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้ว!”
รอยยิ้มของหลินชิงอวิ๋นพลันแข็งทื่อไปทันใด นางมองบิดาของตน ละล่ำละลักคล้ายกับจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา
“หืม?” ผู้เฒ่าชะงักไป “ลูกข้า ไฉนเจ้าถึงยังยืนนิ่งอยู่อีกเล่า รีบไปนำมาเร็ว!”
หลินชิงอวิ๋นทำได้เพียงกัดฟัน “ท่านพ่อ โสมวิญญาณเก้าสังคีตยกให้คนอื่นไปแล้ว”
“อะไรนะ” ผู้เฒ่าชุดสีดำตะลึงค้าง จากนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีโสมวิญญาณเก้าสังคีตแล้วก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นจงไปนำหญ้าหนีฉางมาเร็ว ไม่ทันเวลาแล้ว”
เขาลอบกระหยิ่มใจ โชคดีเหลือเกินที่ตนเตรียมการไว้เป็นอย่างดีเพื่อที่จะทะลวงขั้น ใช้เวลาไปมหาศาลเพื่อเสาะแสวงหาโอสถวิเศษชั้นสูงถึงสิบหกชนิด การทะลวงขั้นต้องมีเสถียรภาพเป็นแน่
กว่าชั่ววินาทีต่อมา ในใจของเขาก็พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะเขาเห็นว่าบุตรสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เป็นดังคาด ทันใดนั้นก็ได้ยินหลินชิงอวิ๋นเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ โอสถวิเศษนั่นก็ยกให้คนอื่นไปแล้ว”
“แล้ว เห็ดโมราเล่า?” ผู้เฒ่าชุดดำเสียงเริ่มสั่น
“ให้ไปแล้ว…”
“เห็ดจิตมังกรเก้าใบเล่า?”
“ก็ให้ไปแล้ว…” หลินชิงอวิ๋นสมองชาหนึบ พูดเสียงเบา “ท่านพ่อ โอสถวิเศษชั้นสูงทั้งหมดนั้นข้ายกให้คนอื่นไปแล้ว…”
“อะไรนะ?!”
ผู้เฒ่าชุดดำประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด ตกตะลึงจนร่างโงนเงน มองหลินชิงอวิ๋นอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้า เจ้ามอบให้ผู้ใดไป” บุรุษชุดดำดวงตาแดงก่ำ
หลินชิงอวิ๋นนึกถึงคุณชายหลี่ ในใจก็พลันสงบลง รีบแถลงไข “คุณชายหลี่ เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทาน ชอบอาศัยอยู่บนโลกโลกีย์ในฐานะปุถุชน แม้แต่เซียนบนสวรรค์ก็ไม่อาจเทียบเทียมเขาได้!”
คุณชายหลี่?
ปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทาน?
เซียนบนสวรรค์ก็ไม่อาจเทียบเทียม?
ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อหรือไงหา?!
ร่างของผู้เฒ่ายิ่งโงนเงนมากขึ้นไปอีก แทบจะแหลกสลายอยู่รอมร่อ
เขาปักใจเชื่อเรียบร้อยแล้วว่าบุตรสาวของตนพบกับบุรุษเส็งเคร็ง เป็นไปได้มากว่าจะถูกหลอกเอาเสียแล้ว
ทรัพย์สมบัติถูดรีดไถไปหมด ไม่รู้ว่าร่างกายก็ถูกข่มเหงด้วยหรือไม่
ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าชุดดำ คนอื่นๆ ในหอเซียนหลิงอวิ๋นต่างมองไปยังหลินชิงอวิ๋น ความซับซ้อนเจือปนอยู่ในแววตา
ปกติแล้วเทพธิดาฉลาดปราดเปรื่อง ไฉนจึงถูกหลอกด้วยลูกไม้ตื้นๆ พรรค์นี้ได้ สติปัญญาของหญิงสาวซึ่งกำลังหลงมัวเมาในความรักมักจะถดถอยลง!
การทะลวงขั้นของประมุขสำนักตนหมดหวังไปแปดส่วนแล้ว
หลอกกันนี่นา!
“เอาละ เอาละ” ผู้เฒ่าชุดดำคลี่ยิ้มชอกช้ำ บุตรสาวของตนทำผิดพลาด เขาจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ
นี้ลงท้องไป รอตนออกมาจากการปิดด่าน จะไปลากคอเจ้าคนหลอกลวงนั่นมาสับให้เละ!
ในชั่วขณะนั้น เขารู้สึกประหนึ่งแก่ชราลงนับร้อยปี กล่าวเสียงแหบพร่า “แยกย้าย แยกย้ายเถิด”
ฝูงชนจากที่กำลังแช่มชื่นแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด
ผู้คนในหอเซียนหลิงอวิ๋นล้วนแต่มีสีหน้ามัวหมองไปตามๆ กัน
หลินชิงอวิ๋นกัดริมฝีปาก สับสนอยู่ในใจ ในตอนนั้นเอง สายตาของนางก็พลันเป็นประกาย จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าใช้โอสถวิเศษและหญ้าเซียนเหล่านั้นไปแลกของบางอย่างมา ไม่แน่อาจช่วยท่านได้!”
“อะไรหรือ” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยถาม
หลินชิงอวิ๋นหยิบถุงชานั้นออกมา พลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ก็คือสิ่งนี้เจ้าค่ะ สิ่งที่ปรมาจารย์มอบให้ย่อมไม่
ธรรมดา ข้าคิดว่าอาจใช้ได้”
“ใบชา?”
ชายชราชุดดำอึ้งงัน ใบหน้ากระตุกวูบ เจ้านำโอสถวิเศษและหญ้าเซียนชั้นดีทั้งสิบหกชนิดไปแลกกับถุงชาถุงเดียวเนี่ยนะ?
เขามองหลินชิงอวิ๋น ราวกับเพิ่งรู้จักบุตรสาวของตนเป็นครั้งแรก ไม่พบกันสิบกว่าปี บุตรสาวของตนเปลี่ยนไป
มาก โดยเฉพาะเรื่องสติปัญญา แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว
หลินชิงอวิ๋นมองผู้เฒ่าชุดดำด้วยความประหม่าระคนคาดหวัง เอ่ยอย่างดื้อดึง “ท่านพ่อ ท่านเชื่อข้านะ!”
ผู้เฒ่าชุดดำมองสายตาเปี่ยมความคาดหวังของบุตรสาว สุดท้ายก็หักใจปฏิเสธไม่ลง จึงพยักหน้าพลางเอ่ย “ย่อมได้”
เอาเถอะ คิดเสียว่าปลอบใจลูกก็แล้วกัน นางเพียงไม่ประสีประสา และไม่ได้ตั้งใจ
หลินชิงอวิ๋นพลันปีติยินดี รีบนำใบชาไปชงเป็นน้ำชามาให้ผู้เฒ่าหนึ่งถ้วยทันที
ณ ชั้นบนสุดของตำหนักใหญ่ ผู้เฒ่าชุดดำกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งใจกลางห้องอันว่างเปล่า
เขายกถ้วยขึ้นมา มองประเมินน้ำชาตรงหน้า
ใบชาลองล่อยเหนือน้ำ ไร้ซึ่งเศษใบชาหรือมลทินใด น้ำชาใสกระจ่าง กลิ่นหอมกรุ่นบางเบา
“จะว่าขาดทุนก็ขาดทุน แต่ก็ไม่อาจบอกปัด นี่นับว่าเป็นชาชั้นดีจริงๆ”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
บุตรสาวเติบใหญ่จนป่านนี้ นี่เห็นจะเป็นครั้งแรกที่ชงชาให้ข้ากระมัง
จะทำอย่างไรได้อีก นอกเสียจากให้อภัยนาง
เห็นได้ชัดว่าการทะลวงขั้นของผู้เฒ่าชุดดำนั้นหมดหวัง เขาเป่าน้ำชาด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงจิบเบาๆ ไปหนึ่งคำ
“เหอะๆ คนอื่นปิดด่านบำเพ็ญเพียรกินของล้ำค่า แต่ตนกลับดื่มน้ำชา นับว่าเป็นหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์แล้ว…”
……………………………………………….