ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 69 คุ้นตาไหม
“ขึ้น…ขึ้นโต๊ะ?”
จิ้งจอกหกหางสมองมึนตึ้บ ดวงตาเรียวกะพริบปริบๆ
เมื่อวานยังเป็นจักรพรรดิปีศาจจอมวางก้าม วันถัดมากลายเป็นสำรับอยู่บนโต๊ะไปเสียแล้ว?
ผ่านไปอีกสักพักก็กลายเป็นกองอาจมแล้วไม่ใช่หรือ
เฮือก
โลกใบนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก
จิ้งจอกหกหางตัวสั่นเทิ้ม
“เอ๊ะ?” ต๋าจี่มองไปยังบั้นท้ายของจิ้งจอกหกหาง ใบหน้าฉายแววปลื้มปีติ “เจ้ากำลังจะงอกหางที่เจ็ดแล้ว? ข้ารู้ว่าสิ่งที่คุณชายหลี่มอบให้นั้นมีประโยชน์นัก!”
จิ้งจอกหกหางฉีกยิ้มจนตาหยี เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ “ฮ่าๆ ข้ากำลังจะตามท่านพี่ทันแล้ว”
ต๋าจี่เผยสีหน้าใคร่ครวญ อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นว่า “ทันทีที่จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินตายไป ละแวกนี้ก็ล้วนโกลาหลขึ้นมา มิสู้ให้เจ้าเป็นจักรพรรดิปีศาจเสียเลยดีกว่าหรือ?”
บัดนี้เหล่าปีศาจบริเวณใกล้เคียงล้วนชุลมุนวุ่นวาย ส่งเสียงร้องระงมไม่หยุด มีผลต่อการนอนของคุณชายหลี่ ปัญหานี้จำต้องสะสาง
นอกจากนั้นแล้ว หากน้องสาวของตนได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิปีศาจ ภายภาคหน้าย่อมจะช่วยเหลือคุณชายหลี่ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้คุณชายหลี่ได้สัมผัสสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตในฐานะปุถุชน!
ยิงศรดอกเดียวได้นกหลายตัว!
ดวงตาของต๋าจี่พราวประกายขึ้นเรื่อยๆ
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้งจอกหกหางกลับค่อยๆ เลือนหาย แทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง เอ่ยเสียงสั่นเครือ “จะ…จักรพรรดิปีศาจ?
ข้าเป็นไม่ได้หรอก!” จิ้งจอกหกหางส่ายหน้าระรัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง
“เจ้ามั่นใจหน่อยได้ไหมเล่า ใกล้จะมีเจ็ดหาง ระดับพลังก็เข้าใกล้ขั้นชูเชี่ยวแล้ว ยังขี้ขลาดตาขาวเพียงนี้” ต๋าจี่
ลูบศีรษะเล็กของจิ้งจอกหกหาง ต้องโทษที่เมื่อก่อนตนปกป้องมันดีเกินไป ทำให้มันอ่อนประสบการณ์ในการต่อสู้
หางของจิ้งจอกหกหางพันพาดต๋าจี่ พูดอ้อยอิ่งน่าสงสาร “ข้าไม่เป็น!”
“ไม่ได้!” ต๋าจี่สีหน้านิ่งทันใด กล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อคืนวานเป็นโชคดีของตนเอง สองคนนั้นเป็นผู้ที่นายท่านส่งไปช่วยชีวิตเจ้า! นายท่านไม่เพียงช่วยเจ้า ยังมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้า ถ้าหากไม่อาจสะสางเรื่องรำคาญใจให้นายท่าน เจ้าจะมีประโยชน์อันใด”
“แต่ว่า…ข้าสู้พวกท่านไม่ได้” จิ้งจอกหกหางหน้าม่อยคอตก “ไม่เช่นนั้นท่านพี่ก็ไปเป็นเถิด”
“ข้าต้องรั้งอยู่รับใช้นายท่าน” ต๋าจี่ส่ายหน้า นัยน์ตาฉายแววลึกล้ำ จากนั้นจึงเอ่ย “วางใจเถิด เจ้าฟังพี่ พี่จะช่วย
เจ้าคิดหาวิธี!”
เพื่อคุณชายหลี่ นางจำต้องขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิปีศาจให้จงได้!
“จริงสิ นี่เป็นของว่างที่พี่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เจ้า ข้าวต้มหนึ่งชาม กับข้าวเล็กน้อย ทั้งยังมีแอปเปิลหนึ่งผล” ต๋าจี่หยิบของกินออกมาวางไว้เบื้องหน้าของจิ้งจอกหกหาง
ใบหูของจิ้งจอกน้อยตั้งชี้ แล้วเริ่มลงมือกินด้วยความตื่นเต้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันได้ลิ้มลองของดี เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ตะกละตะกลามนัก แต่กลับซาบซึ้งจับใจ
ของกินเหล่านี้หากอยู่ในโลกภายนอก ต้องเป็นสมบัติที่ถูกผู้คนรุมแย่งยื้อกันเป็นแน่!
สิ่งสำคัญก็คือนอกจากแฝงไปด้วยทำนองมรรคา ยังอร่อยมากเสียด้วย!
“ซู้ดๆ!”
จิ้งจอกน้อยมุดศีรษะเข้าไปในชามข้าวอย่างห้ามไม่อยู่ ปากขยับอย่างว่องไว ไม่ทันได้กลืนด้วยซ้ำไป
กว่ามันจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครา ขนสีขาวเต็มใบหน้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำข้าวเหนียวเหนอะ เลอะเทอะจนน่า
ขบขัน
ชั่วขณะต่อมา ก็เห็นลิ้นเล็กสีชมพูยื่นออกมาจากปากของจิ้งจอกน้อย เลียดไปจากมุมปากข้างซ้าย
“ซู้ด”
อาหารตรงหน้าถูกกวาดเรียบในชั่วพริบตา!
“อร่อย อร่อยเหลือเกิน!” จิ้งจอกน้อยตบท้องอย่างอิ่มเอิบ ดวงตายิ้มหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ต๋าจี่เอื้อมมือไปอุ้มมันขึ้นมา “อย่ามัวสนใจแต่รสชาติ รีบฝึกฝน หมั่นเพียรเพิ่มพูนพลังของตนเอง!”
“อื้อ…”
……
วันต่อมา แสงแดดยามรุ่งอรุณส่องสะท้อนขุนเขา
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพาดรุณีน้อยอีกคนหนึ่งขี่ลำแสงทะยานมายังเชิงเขา เริ่มเดินขึ้นเขาไปด้วยใบหน้าระคนความ
กระวนกระวาย
หลินชิงอวิ๋นมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ พูดอย่างอดไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าข้าไม่ได้มาเพียงไม่กี่วัน ที่นี่ถึงกับ
ใหญ่โตขึ้นมาก”
นางยังจำได้ว่าครั้งก่อนเป็นเพราะว่าเรื่องจิ้งจอกเก้าหางข้ามผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ ผู้บำเพ็ญเซียนนับไม่ถ้วน
มุ่งหน้ามายังที่นี่อย่างล้นหลาม สำแสงพาดผ่านเต็มท้องนภา นึกไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นจะไปแล้ว
แต่ทว่า…เหล่าปีศาจในป่าดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมา
อีกทั้งยังอลหม่านไปทั่ว เมื่อครู่นางเห็นปีศาจหมูกำลังต่อสู้กับปีศาจพยัคฆ์ มีปีศาจตัวเล็กตัวน้อยมามุุงดู
เรื่องนี้อยู่ใต้จมูกปรมาจารย์เชียวนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ปีศาจแผลงฤทธิ์ รบราฆ่าฟันกัน เห็นจะเป็นเพราะมังกรไร้เศียร” หลินมู่เฟิงขมวดคิ้ว กล่าวด้วยความคลางแคลง
“เพียงแต่ว่าจักรพรรดิปีศาจจันทราเดิมก็อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ไฉนจึงเกิดเหตุการพรรค์นี้ได้”
หลินชิงอวิ๋นรีบพูดขึ้นว่า “หรือว่าจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินตายไปแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” หลินมู่เฟิงหุบยิ้มส่ายหน้า “จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินอยู่มาสี่พันปี เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเซียนต้าเฉิงขั้นเหอถี่ ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว คิดจะสังหารมันนั้นยากยิ่ง จะตายได้อย่างไร”
“ขั้นเหอถี่!” หลินชิงอวิ๋นพลันหน้าถอดสี
แม้นางจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินมาโดยตลอด กระนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายเก่งกาจปานนี้
บิดาของตนเพิ่งทะลวงขั้นเฟินเสินสำเร็จ จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินเป็นถึงขั้นเหอถี่ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ฝึกตนต้าเฉิงอีก!
ในยุคที่ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ระดับตู้เจี๋ยปรากฏในใต้หล้า มันจึงไร้เทียมทานที่สุด!
“ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา สิ่งสำคัญในตอนนี้คือไปเยี่ยมเยียนปรมาจารย์อย่างเหมาะสม” หลินมู่เฟิงกล่าวน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าบอกข้อห้ามของปรมาจารย์ให้ข้าฟังอีกทีซิ!”
หลินชิงอวิ๋นผงกศีรษะ เมื่อฉุกคิดว่าประเดี๋ยวจะไปพบปรมาจารย์ ในใจก็พลันกังวลขึ้นมา
“เท่าที่ข้ารู้ ข้อห้ามของคุณชายหลี่มีเพียงข้อเดียว คือเขาจะคิดว่าตนเป็นปุถุชน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมองว่า
สมบัติล้ำค่ารอบตัวเป็นเพียงสิ่งของธรรมดา ทั้งยังไม่ชอบถูกคนมองออกอย่างปรุโปร่ง ครั้งก่อนลั่วซืออวี่เรียกคุณชายหลี่ว่าผู้อาวุโสหลี่ ผลคือทำให้คุณชายหลี่ขุ่นเคืองใจ”
นัยน์ตาของหลินมู่เฟิงฉายแววลึกล้ำ ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว!”
“เป็นไปได้มากว่าปรมาจารย์จะกลับคืนสู่สามัญ! เหนือกว่าเซียน ไม่แน่ว่าอาจสำเร็จมรรคผลไปแล้ว สำหรับเขาแล้วเซียนและปุถุชนมิได้แตกต่างกัน ในสายตาของเขาทรัพย์สมบัติล้ำค่าและสิ่งของธรรมดาสามัญนั้นเหมือนกัน”
“นั่นเทียบได้กับที่ปุถุชนชอบหาเงิน ทว่าหากปุถุชนคนหนึ่งมาพูดมากความเรื่องเงินต่อหน้าเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกรำคาญใจ นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ามิได้อยู่ในระดับเดียวกัน เช่นเดียวกับผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเรา ในสายตาของปรมาจารย์ย่อมไม่ชอบสิ่งที่พวกเราทำเช่นกัน”
น้ำเสียงของหลินมู่เฟิงเปี่ยมความเศร้าหมอง “ระดับของปรมาจารย์นั้นเกินกว่าที่พวกเราจะเข้าใจ เขาทำเช่นนี้ย่อมมีความหมายลึกซึ้ง สิ่งเดียวที่พวกเราควรทำก็คือตามน้ำไป! ทำจิตใจให้มั่นคง ห้ามทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคืองเป็นอันขาด!”
ไม่ทันไร เรือนสี่ประสานก็ปรากฏแก่สายตา “ท่านพ่อ ที่นี่แหละเจ้าค่ะ”
หลินมู่เฟิงพยักหน้า กล่าวอย่างประหลาดใจ “คล้ายจะเร้นลับแต่ไม่เร้นลับ คล้ายจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา สม
แล้วที่เป็นที่พำนักของปรมาจารย์”
หลินชิงอวิ๋นค่อยๆ ย่างกายเดินไป เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “คุณชายหลี่อยู่บ้านหรือไม่”
ไม่นาน ก็มีเสียงดัง ‘แกร็ก’ ประตูใหญ่ถึงเปิดออก
ต๋าจี่ยื่นหน้าออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นหลินชิงอวิ๋นก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เป็นท่านเองหรือ?”
หลินชิงอวิ๋นย่อมรู้จักต๋าจี่ จึงรีบคำนับ “ชิงอวิ๋นคำนับแม่นางต๋าจี่”
นางเป็นถึงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแปลงกาย ทั้งยังได้อยู่ข้างกายปรมาจารย์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ล้วนจัดว่าเป็นผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินเป็นอันขาด
หลินมู่เฟิงก็รู้ตัวตนของต๋าจี่ จึงรีบกล่าวว่า “ข้าเป็นพ่อของชิงอวิ๋น มีนามว่าหลินมู่เฟิง คำนับแม่นางต๋าจี่”
ต๋าจี่คลี่ยิ้มบาง “ไม่ต้องเกรงใจ ครั้งก่อนต้องขอบคุณที่ท่านมอบโอสถวิเศษเหล่านั้นให้ เข้ามาก่อนเถิด”
“รบกวนแล้ว”
หลินชิงอวิ๋นและหลินมู่เฟิงค่อยๆ เดินเข้าไปยังเรือนสี่ประสานด้วยจิตเปี่ยมความเลื่อมใสระคนกระวนกระวาย
เมื่อเทียบกับคราก่อนซึ่งหลินชิงอวิ๋นมาที่นี่ เรือนหลังนี้เปลี่ยนแปลงไปมากโข
ในเรือน สุนัขสีดำตัวใหญ่นอนหลับตาพริ้มอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างสงบเงียบ
สถานที่ซึ่งมีสายน้ำรินไหล มีภูเขาจำลองสีเขียวมรกตลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน จรัสแสงงามตา
โดยรอบปลูกไม้ประดับนานาพันธุ์ ทั้งไม้ดอกแปลกตาหญ้าหายาก ให้ดอกออกผล เสี่ยวไป๋กำลังถือบัวรดน้ำรด
พืชพรรณเหล่านั้น
ช่างเปี่ยมสุนทรีย์และความอิสรเสรีดังภาพอันวิจิตรงดงาม
เพียงแต่ว่า…เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าไม้ประดับเหล่านี้คุ้นตาเสียเหลือเกิน
………………………………………………..