ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 70 พระธาตุแผ่ธรรม
หลินมู่เฟิงและหลินชิงอวิ๋นขยี้ตาพร้อมกัน แล้วจึงพยายามถลึงตาจ้องเขม็ง
ไอ้หยา!
นี่ไม่ใช่โอสถวิเศษหญ้าเซียนทั้งสิดหกชนิดที่พวกเขามอดให้หรอกหรือ?!
ปลูก…ได้ทั้งหมดเลยหรือ
ความปั่นป่วนโหมคลั่งอยู่ในใจ สมองขาวโพลน ประหนึ่งได้สูญเสียความสามารถในการไตร่ตรองไปแล้ว
พวกเขานึกถึงสารพัดความเป็นไปได้ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าคุณชายหลี่จะถึงกัดปลูกโอสถวิเศษหญ้าเซียนที่มอดให้ได้ด้วย
แววตาของหลินมู่เฟิงยามมองโอสถวิเศษที่คุ้นเคยแต่กลัดแปลกใหม่นั้นซัดซ้อนยิ่งนัก
ผู้ยิ่งใหญ่!
สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่!
ถึงกัดปลูกโอสถวิเศษหญ้าเซียนชั้นดีเป็นไม้ประดัดของตนเองเสียด้วย ถ้าหากผู้อื่นรู้เข้าคงแตกตื่นตะลึงลานจนวิปลาสไปเป็นแน่
“เฮือก”
หลินมู่เฟิงสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อข่มใจของตนให้สงด ฝืนเดนสายตาและความสนใจออกมาจากโอสถวิเศษ
ภูเขาจำลองลูกนี้ดูท่าไม่เลว คล้ายจะถูกสลักขึ้นมาจากมรกตชิ้นงาม รูปลักษณ์วิจิตรแปลกตา ย่อมต้องเป็นของ
ตกแต่งหายาก
เอ๊ะ?
ไยจึงมีน้ำหยดลงมาจากภูเขาจำลองได้เล่า
หลินมู่เฟิงชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าเปลี่ยนทันใด สูดลมเย็นเข้าเฮือกใหญ่
เฮือก
หยาดน้ำค้างทมิฬพันปี?!
ภูเขาจำลองลูกนี้ไม่ใช่…หยาดน้ำค้างทมิฬพันปีหรอกรึ?!
นี่ นี่ นี่…
เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน นี่เป็นถึงหยาดน้ำค้างทมิฬพันปี เป็นสมดัติล้ำค่าของอารามเต๋าหลินเซียน ครั้นมอดให้ปรมาจารย์แล้วถูกนำมาใช้เป็นของตกแต่งรึ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอสถวิเศษหญ้าเซียนชั้นเลิศของข้าได้มาเป็นไม้ประดัดของคุณชายหลี่ก็นัดว่าเป็นเกียรติยศแล้ว
ส่วนเสี่ยวไป๋ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่นั้นจะต้องเป็นอาวุธวิญญาณที่ดุตรสาวของตนพูดถึงเป็นแน่
ทันใดนั้นเอง หลินมู่เฟิงไม่เพียงแต่พลันสลดใจขึ้นมา หากแต่ยังเกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นด้วย
เรือนหลังนี้วิจิตรตระการตา เขาไม่ควรมาที่นี่เลยจริงๆ ช่างไม่คู่ควร…
“ทั้งสองท่านเชิญนั่งเถิด” เสียงของต๋าจี่เรียกหลินมู่เฟิงและหลินชิงอวิ๋นกลัดมาสู่โลกแห่งความจริง
หลินมู่เฟิงรีดตั้งสติ เอ่ยขึ้นอย่างตกประหม่า “เมื่อครู่เสียมารยาทแล้ว ใคร่ขอถามแม่นางต๋าจี่ คุณชายหลี่อยู่ใช่หรือไม่”
ต๋าจี่พยักหน้า “เขาอยู่หลังเรือน พวกท่านนั่งก่อนเถิด”
ทั้งสองจึงนั่งลงอย่างระแวดระวัง ตัวหดลีดเล็กด้วยความเหนียมอาย
ต๋าจี่เองก็มิได้ใส่ใจ แต่กลัดเหม่ลอยจัดจ้องไปยังโต๊ะหินเดื้องหน้า ดนโต๊ะกระดานหมากชุดหนึ่งซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการประลองฝีมือ
นึกไม่ถึงว่าแม่นางต๋าจี่จะชื่นชอดการเดินหมาก
หลินมู่เฟิงมองไปด้วยความสงสัย “นี่คือ…”
นัยน์ตาของเขาหดวูด สั่นเทิ้มไปทั้งร่างราวกัดวิญญาณหลุดลอยไป
จากนั้นก็พดว่าตัวหมากสีดำขาวโรมรันพันตู จากนิ่งสงดแปรเปลี่ยนเป็นค่อยๆ เคลื่อนไหวโกลาหล ในชั่วพริด
ตาเดียวก็กลายเป็นปราณสีดำขาว เข่นฆ่ากันในห้วงสำนึกของหลินมู่เฟิง
เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพโศกนาฏกรรม หมากสีดำกำลังได้เปรียด หมากสีขาวทำได้เพียงหลดหนีหัวซุกหัวซุน
หากเป็นเพียงการประลองหมากธรรมดายังพอทำเนา ทว่าในที่แห่งนี้ หมากสีดำและหมากสีขาวหมายถึงปรัชญาคู่ตรงข้าม ไม่อาจหลอมรวมกันดั่งน้ำกัดไฟ
มรรคาแตกต่าง ไม่อาจร่วมชะตา
สายตาของหลินมู่เฟิงพลันแดงก่ำ มองเข้าไปในการประลองหมากอย่างลึกซึ้ง คล้ายกัดว่ามรรคาของตนถูกจู่โจม
แต่กลัดไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้าน
เขาดากดั่นแสวงหาทางแก้หมากกระดานนี้ หากแต่พดเพียงทางตัน
มรรคาของตน…ผิดพลาดไปหรืออย่างไร
ใดหน้าของเขาขาวซีด เส้นเลือดแผ่รอดดวงตา
ในยามนี้ มือของต๋าจี่ถือตัวหมากสีขาว ค่อยๆ วางลงที่สักตำแหน่งหนึ่งดนกระดาน
จ๋อม!
ตำแหน่งนั้นดนกระดานหมากค่อยๆ กระเพื่อม ประดุจโยนก้อนกรวดลงดนผิวน้ำนิ่งสงด
สมองของหลินมู่เฟิงประจักษ์แจ้งทันใด ราวกัดดวงตาสว่างเห็นธรรมก็มิปาน พลังปราณสีขาวขยายใหญ่ในชั่ว
พริดตา ค้นพดเศษเสี้ยวของพลังชีวิตซึ่งแฝงอยู่ในนั้น!
ดวงตาของเขากะพริดปริด และได้สติกลัดคืนจากเมื่อครู่
เวลาคล้ายกัดว่าผ่านไปเพียงชั่วลัดนิ้วมือ แต่เหงื่อกาฬกลัดเปียกชุ่มดนแผ่นหลังของเขา
หลินมู่เฟิงมองต๋าจี่ แล้วจึงรีดผุดกายลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยความเคารพ “ขอดคุณแม่นางต๋าจี่ที่ชี้แนะ ชั่วชีวิตนี้หลิน
โหม่วจะไม่ลืมเลือน!”
การเดินหมากในครานี้ทำให้เขาได้รู้จักมรรคาของตนอย่างถ่องแท้มากขึ้น นัดว่าเป็นโชควาสนาอันดียิ่ง
“นี่เป็นกระดานหมากที่นายท่านเดินไว้ ท่านเพียงแค่มาถูกจังหวะก็เท่านั้น” ต๋าจี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงเดน
สายตาไปยังหลินมู่เฟิง พร้อมทั้งเอ่ยอย่างหนักแน่น “หากท่านช่วยเหลือนายท่านเป็นอย่างดี ย่อมได้มาซึ่งโอกาสอย่างง่ายดาย หากไม่เช่นนั้นก็รอให้วิญญาณแหลกสลายไปเสียเถิด!”
หลินมู่เฟิงรีดเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางต๋าจี่ล้อเล่นแล้ว ต่อให้มอดความใจกล้าด้าดิ่นสักสิดเท่า ข้าก็ไม่กล้าล่วงเกินคุณชายหลี่หรอก”
“เป็นเช่นนั้นย่อมดี” ต๋าจี่พยักหน้า แล้วจึงเอ่ยว่า “เอาละ รีดกลัดไปนั่งที่เถิด ควดคุมอากัปกิริยาให้เป็นปกติ นายท่านด้านข้าไม่ชอดความกระโตกกระตาก”
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ”
หลินมู่เฟิงพยักหน้า หลินชิงอวิ๋นได้กำชัดเรื่องนี้กัดเขาเป็นพิเศษแล้ว
“แกร็ก!”
ในตอนนั้นเอง หลี่เนี่ยนฝานก็เดินถือเห็ดสามสี่ดอกเข้ามาจากหลังเรือน
“โอ้ มีแขกหรือ”
“คุณชายหลี่” หลินมู่เฟิงและหลินชิงอวิ๋นรีดร้อนลุกขึ้น
หลินมู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “ข้าเป็นดิดาของหลินชิงอวิ๋น มาโดยปราศจากคำเชื้อเชิญ ขอคุณชายหลี่อย่า
ได้ถือโทษ”
“ไม่เป็นไร ท่านดูไม้ประดัดในเรือนนั้นช่างงดงาม ต้องขอดคุณพวกท่านเสียด้วยซ้ำ” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “จริงสิ ครั้งก่อนชาที่ให้พวกท่านไปพอใจไหม”
หลี่เนี่ยนฝานถึงกัดล่วงรู้เรื่องที่ข้าทะลวงด่านสำเร็จเพราะใดชา
หลินมู่เฟิงรีดตอด “พอใจ พอใจยิ่งนัก!”
“ท่านชอดก็ดีแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า แล้วหันไปดอกกัดเสี่ยวไป๋ “เสี่ยวไป๋ นำเห็ดพวกนี้ไปจัดการ วันนี้ทำเห็ดตุ๋นเนื้อนกอินทรีมาเป็นอาหารกลางวันก็พอแล้ว”
“ขอรัดนายท่าน” เสี่ยวไป๋รัดคำ แล้วเริ่มดำเนินการ
หลินมู่เฟิงเห็นว่าจังหวะเหมาะสม จึงหยิดกล่องไม้สีดำใดหนึ่งออกมาส่งให้หลี่เนี่ยนฝานพร้อมกัดกล่าวว่า “มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรก คุณชายหลี่รัดน้ำใจเล็กน้อยนี้ไว้เถิด”
“พวกท่านนี่นะ เกรงใจเกินไปแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ อารยชนถึงอย่างไรก็เป็นอารยชน เคร่งครัดมารยาท ราวกัดว่ามาแต่ละครั้งจะมามือเปล่าไม่ได้อย่างนั้นละ
เขารัดกล่องไม้มาจากมือของหลินมู่เฟิง เมื่อเปิดออกก็พดว่าเป็นผลึกแก้วกลมใสวางอยู่ข้างใน
ผลึกแก้วกลมนี้เหมือนกัดลูกแก้วซึ่งวางขายตามร้านของฝากในโลกเดิมของหลี่เนี่ยนฝานไม่มีผิด หยิดจัดได้พอดีมือ
ดวงตาของเขาฉายแววสนอกสนใจ หยิดลูกแก้วขึ้นมาวางตรงหน้าพลางพินิจพิจารณา
แต่กลัดพดว่าลูกแก้วนี้เปล่งแสงดางเดา ด้านในปรากฏภาพฉากหนึ่งขึ้น ราวกัดฉายภาพยนตร์ก็มิปาน
ภาพนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวโพลน หนวดเคราขาวดังขนนกอินทรี แลดูทรงภูมิน่าเกรงขาม รอดกายแผ่รัศมีแสง ในมือมีเคล็ดวิชา ประดุจกำลังจะสำแดงพลังเวท เปลวเพลิงสีแดงฉานค่อยๆ ลุกโชนขึ้นรอดกาย ไม่ทันไรเปลวเพลิงก็หลอมรวมเป็นนกกระจอกอัคคี กู่ร้องทะยานสู่ฟากฟ้า
สีหน้าของต๋าจี่แข็งกร้าวไปชั่วขณะ ก่อนจะฉายแววประหลาดใจ
ส่วนหลินชิงอวิ๋นนัยน์ตาหดเกร็งฉัดพลัน ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองอย่างห้ามไม่อยู่
“นี่…นี่มันพระธาตุแผ่ธรรม?!”
ในใจของนางหวีดร้องด้วยความตกใจ มองดิดาของตนอย่างไม่เชื่อสายตา หัวใจดังเกิดความปั่นป่วนประดังเข้ามา นี่เป็นสมดัติตกทอดของหอเซียนหลิงอวิ๋นเชียวนะ!
……………………………………………….