ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 75 ตู้เย็น คำใบ้มาแล้ว
วูบๆๆ!
ทำนองมรรคาทะลักทลายเข้าไปในห้วงสำนึกของหลินมู่เฟิง โหมกระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันนั้นเอง พลังปราณทั้งหลายก็พวยพุ่งจากตันเถียน ส่งไปยังทั่วทั้งร่างของเขา
ทั้งมากมายและเข้มข้น
คล้ายกับกำลังท่วมท้นจนเขาจมลง
“อดทน ตนต้องอดทนไว้!”
เขาเริ่มประมวลทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ย้ำเตือนตนเองอย่างไม่ลดละ ห้ามกระโตกกระตากต่อหน้าปรมาจารย์จนทำให้ปรมาจารย์เดือดดาลเป็นอันขาด
อีกด้านหนึ่ง หลินชิงอวิ๋นจ้องมองน้ำแกงนกอินทรีเบื้องหน้าตน ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก นี่เป็นถึงน้ำแกงนกอินทรีซึ่งอุดมไปด้วยสรรพสิ่งล้ำค่า
เกรงว่าทั้งโลกบำเพ็ญเซียนคงหาสิ่งที่มูลค่าสูงล้ำเท่าน้ำแกงหม้อนี้ไม่ได้อีกแล้ว
นี่หรือคือผู้ยิ่งใหญ่ น้ำแกงแสนง่ายดายเพียงเล็กน้อยก็พอจะทำให้คนคนหนึ่งเสวยสุขไปชั่วชีวิตแล้ว
นางค่อยๆ หยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแกง งับเข้าปากของตน
น้ำแกงมันเลื่อม ไหลไล้เรียวลิ้นของตน รสชาติอันโอชะกำจายเข้ายึดครองประสาทสัทผัสแล้วสิ้น ทำให้ทุกอณูทั่วทั้งร่างกายของเขาโปร่งสบายสำราญเต็มที่
“อึกๆ”
น้ำแกงละมุนลื่นไหลลงตามคอ หลงเหลือกลิ่นหอมกรุ่นไว้เป็นร่องรอยระหว่างทาง
“โอ้…”
หลินชิงอวิ๋นส่งเสียงฮัมขึ้นจมูก พลางหลับตาลงอย่างห้ามไม่อยู่ ดื่มด่ำกับความอิ่มเอมซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ในปากของนางยังคงมีเนื้อนกอินทรีอยู่เล็กน้อย ทันทีที่ฟันบดเคี้ยวลงไป รสสัมผัสก็ทำให้ดวงตาของนางเป็นประกายวับในฉับพลัน
เนื้อนกอินทรีในน้ำแกงเห็ดตุ๋นนกอินทรีซึ่งผ่านการตุ๋นไฟอ่อนนั้นนุ่มเคี้ยวง่ายกำลังพอดี ในเมื่อถ้าหากแข็งเกินไปอาจกินยากสักหน่อย ก็ไม่อาจทำให้เละเกินไปจนสูญเสียรสชาติ กอปรกับน้ำแกงซึ่งหลงเหลืออยู่ ย่อมนำพามาซึ่งความสุขล้นเต็มประดา
อร่อย!
นอกจากคำนี้ นางก็ไม่รู้ว่าควรพรรณนาน้ำแกงเนื้อนกอินทรีชามนี้ว่าอย่างไรแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าคลังศัพท์ของตนแร้นแค้นเหลือเกิน
ยามที่นางกำลังจะอดใจไม่ไหว กินน้ำแกงเป็นคำที่สอง ใบหน้าของนางก็พลันแดงระเรื่อ
พลังปราณทั้งร่างเริ่มพลุ่งพล่าน สมองตกอยู่ในภาวะว่างเปล่า
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าหลินมู่เฟิงจะได้สติกลับมา เขามองไปยังน้ำแกงด้วยแววตาตื่นตะลึง
นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ถึงอย่างไรก็ใส่โอสถวิเศษเสียมากโข มีฤทธิ์เพิ่มพูนพลังปราณยังพอเข้าใจได้ ทว่า…เหตุใดจึงมีทำนองมรรคาได้เล่า?!
แม้ว่าทำนองมรรคานี้จะไม่เข้มข้นเท่าน้ำชาที่ดื่มครั้งก่อน แต่เบื้องหน้ามีน้ำแกงอยู่หนึ่งหม้อเต็มๆ เชียวนะ!
น่ากลัว น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
สำหรับปรมาจารย์แล้ว ทำนองมรรคานั้นไร้ค่าไร้ราคาหรืออย่างไร
เขามองน้ำแกงนกอินทรีอีกครา เสาะหาแหล่งกำเนิดทำนองมรรคา
นกอินทรีภูเขาไม่ใช่แน่ โอสถวิเศษหญ้าเซียนก็ไม่ใช่ หยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีก็ไม่ใช่ ธาราปราณก็ไม่ใช่ ก็เหลือเพียงเห็ดและต้นหอมซึ่งใช้แต่งรสแล้วละ!
เฮือก
การคาดเดานี้ทำให้สมองของเขาแทบระเบิดเป็นจุณ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เขาฝืนบังคับความตื่นตระหนกในใจ ตักน้ำแกงให้ตนเองอีกหนึ่งชามอย่างระมัดระวัง ทั้งยังจงใจตักเห็ดขึ้นมาด้วย
ครั้งนี้ เขาไม่กล้ากินหมดในรวดเดียว แต่กลับเม้มปากน้อยๆ งับเห็ดชิ้นหนึ่งเข้าปาก
เห็ดแช่ลงในน้ำแกงจนอ่อนนุ่ม รสชาติส่วนใหญ่หลอมรวมอยู่ในน้ำแกงเป็นที่เรียบร้อย ถึงแม้จะยังคงความอร่อย แต่ก็อร่อยสู้กินน้ำแกงไม่ได้
หลินมู่เฟิงมิได้ใส่ใจเรื่องรสชาติมากนัก กลับค่อยๆ เคี้ยวเห็ดเบาๆ
“ฮึก”
ครั้นเมื่อกัดเห็ดออกเป็นสองซีก ความรู้สึกพิศวงก็พลันโอบล้อมหลินมู่เฟิง ทำให้สมองของเขาแจ่มชัดขึ้นทันใด
หะ หะ เห็ด…
เห็ดนี่มีทำนองมรรคาแฝงอยู่เชียวรึ?!
เขางุนงงไปทั้งตัว เดิมทีคิดว่าสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุดในน้ำแกงหม้อนี้ก็คือเห็ดและต้นหอม นึกไม่ถึงเลยว่ามันกลับเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาที่สุด
เห็ดและต้นหอมซึ่งเจือปนทำนองมรรคา
ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนในชีวิต!
เฮ้อ จิตเต๋าของตนยังต้องพัฒนาอีก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ปลูก ไหนเลยจะธรรมดาไปได้เล่า
“ผู้เฒ่าหลิน แม่นางหลิน พวกท่านทำอะไรอยู่หรือ กินช้าเหลือเกิน” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยถามพวกเขาอย่างคลางแคลงใจ “หรือว่าน้ำแกงนกอินทรีไม่ถูกปาก”
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมัวทำอะไรกันอยู่ หลินมู่เฟิงกินไปแค่ชามเดียวก็นิ่งค้างไปอย่างนั้น ส่วนหลินชิงอวิ๋นก็ยิ่งกว่าซะอีก กินไปแค่คำเดียวก็อึ้งงันไปเช่นเดียวกัน
หลินมู่เฟิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ประหวั่นพรั่นพรึงจนหัวใจกระตุกวูบ รีบพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ น้ำแกงนกอินทรีเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิต! ข้ากำลังหวนระลึกถึงรสชาติ! ใช่แล้ว เป็นเพราะอร่อยยิ่งนัก ข้าจึงอดหวนระลึกถึงรสชาติไม่ได้”
หลินชิงอวิ๋นรีบร้อนพยักหน้าตาม “ใช่แล้ว! คุณชายหลี่ พวกข้ากำลังหวนระลึกในรสชาติ อร่อยจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยละ”
“ชอบก็ดีแล้ว แต่ว่ากินหมดแล้วค่อยหวนระลึกถึงรสก็ยังไม่สาย” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย
เป็นคนที่พิถีพิถันเสียจริง
การกินอาหารก็เหมือนการดื่มชา กินหนึ่งคำยังต้องหวนระลึกถึงรสชาติอีกสักพัก
กระนั้นท่าทีดื่มด่ำเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเคารพต่ออาหาร ยอดเยี่ยม
หลินมู่เฟิงและหลินชิงอวิ๋นได้ฟังคำพูดของหลี่เนี่ยนฝาน สีหน้าเผยความรู้สึกสับสน
หากตนกินช้าเกินไปก็จะเท่ากับไม่เคารพปรมาจารย์ แต่หากกินเร็วไปก็จะย่อยสลายพลังไม่ทัน!
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามทำให้ปรมาจารย์เคืองโกรธ!
พวกเขากัดฟัน ทันใดนั้นก็เร่งความเร็วในการกินอาหาร
นั่นทำให้ทำนองมรรคาและพลังปราณสะสมอยู่ในร่างกายทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายย่อยสลายพลังไม่ทัน ร่างของพวกเขาร้อนผ่าว สมองส่งเสียงดังก้อง ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป
แต่ว่าพวกเขาก็ไม่กล้าเผยมันออกมา ทำได้เพียงกัดฟันทนทุกข์ระทมต่อไป
ครั้นอดทนจนถึงขั้นสุด เหงื่อกาฬก็อาบโซมกาย ลมหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าแดงก่ำ และสมองมึนงงพร่าเลือน
ถึงแม้ปฏิกิริยาของพวกเขาจะรุนแรงอยู่บ้าง ทว่าเหงื่อไหลไคลย้อยยามกินน้ำแกงนั้นมิใช่เรื่องแปลก
หลี่เนี่ยนฝานเองก็อุ่นวาบไปทั้งตัว ฉะนั้นจึงไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อย ทว่ากลับชำเลืองมองน้ำแกงซึ่งเหลืออยู่ก้นหม้อ ขมวดคิ้วมุ่นพลางพึมพำว่า “ตอนนี้โทรทัศน์ก็มีแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีตู้เย็น น้ำแกงที่เหลือคงต้องเททิ้งไปเสีย”
ยังขาดตู้เย็น?
คำใบ้!
คำใบ้มาแล้ว!
ถึงเวลาที่ข้าจะเฉิดฉายแล้ว!
หลินมู่เฟิงลมหายใจถี่กระชั้น สูดหายใจเข้าลึก ฝืนข่มพลังปราณอันยุ่งเหยิงในร่างไว้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “คุณชายหลี่ ใคร่ขอถามว่าตู้เย็นคือสิ่งใดหรือ”
หลี่เนี่ยนฝานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเพียงของที่ใช้เก็บอาหาร มีคุณสมบัติทำให้กลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้ยืดเวลาการเก็บรักษาอาหารได้นานขึ้น”
“เป็นเช่นนี้เอง”
หลินมู่เฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทันใดนั้นในสมองของเขาก็ปรากฏภาพอาวุธวิเศษนานาชนิดซึ่งมีอานุภาพทำให้กลายเป็นน้ำแข็ง
เพียงแต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องส่ายหน้า ขจัดภาพอาวุธวิเศษเหล่านั้นทิ้งไป
สำหรับปรมาจารย์แล้ว อาวุธวิเศษเหล่านั้นก็เป็นเพียงของกักขฬะ มิได้ต่างอะไรกับเศษขยะ ตนจะนำมาไม่ได้เด็ดขาด
คำใบ้ของปรมาจารย์ไม่มีทางเรียบง่าย จำต้องขบคิดให้ลึกซึ้ง ข้าจำต้องใคร่ครวญอีกสักคำรบ
ตู้เย็น ตู้เย็น…
เขาลอบจดจำคำนี้ไว้ในใจ เขาไม่กล้านิ่งนอนใจในสิ่งที่ปรมาจารย์ไหว้วาน รีบจัดให้เรื่องนี้เป็นภารกิจที่สำคัญ
ที่สุดในทันที
……………………………………………