ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 79 คุณชายหลี่ผู้เป็นที่รัก
หลินมู่เฟิงโพล่งออกไปด้วยความตื่นเต้น “ผู้เฒ่าซุน ข้าจะไปแดนเร้นลับกับเจ้า!”
“เจ้าจะไปกับข้าจริงหรือ” ผู้เฒ่าซุนตะลึงงันไปเล็กน้อย
“เจ้าไม่รู้อะไร นี่เป็นภารกิจที่ปรมาจารย์มอบหมายแก่ข้า”
สีหน้าของหลินมู่เฟิงนิ่งขรึมอย่างยิ่งยวด แล้วพูดต่อ “การถือกำเนิดขึ้นของแดนเร้นลับอาจเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ลิขิตไว้แล้ว เขาได้เล่าถึงของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในแดนเร้นลับ ข้าต้องไปนำออกมามอบให้เขา!”
“จริงหรือ”
ผู้เฒ่าซุนหัวคิ้วขมวดมุ่น กล่าวอย่างตื่นอกตกใจ “ในนั้นมีสิ่งใดปรมาจารย์ก็รู้หรือ”
หลินมู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าระดับของปรมาจารย์ท่านนี้เหนือกว่าเซียนเสียอีก! ก็แค่แดนเร้นลับ ไหนเลยจะอยู่นอกขอบเขตการรับรู้ของปรมาจารย์ไปได้ เขาเพียงแค่ไม่อยากไปด้วยตนเอง!”
หากเป็นเมื่อก่อน เขาย่อมไม่มีทางใช้คำคุยโม้พรรค์นี้ ทว่าหลังจากได้พบกับคุณชายหลี่ โลกทัศน์ของเขาก็กว้างไกลขึ้น สามารถมองแดนเร้นลับด้วยมุมมองใหม่ได้
เหนือกว่าเซียน?
นัยน์ตาของผู้เฒ่าซุนเบิกกว้าง พูดอย่างตระหนก “จะ…เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้ล้อเล่น?”
“เหอะๆ ผู้เลิศล้ำย่อมเป็นผู้เลิศล้ำ เจ้าคิดว่าน้ำแกงนกอินทรีนี้ทำมาจากอะไร เจ้าคิดว่าน้ำแกงนกอินทรีนี้เหล่าเซียนมีคุณสมบัติพอจะได้กินหรือ”
หลินมู่เฟิงหัวเราะน้อยๆ “รีบออกเดินทางเถิด พวกเราเดินทางไปด้วยสนทนาไปด้วย”
“ท่านประมุข ช้าก่อน!”
ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสใหญ่กลับรีบร้อนเรียกรั้งหลินมู่เฟิงไว้
“ท่านประมุข ให้ข้าไปดีกว่า!” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แดนเร้นลับนั้นเต็มไปด้วยภยันตราย
ยามนี้ท่านได้ผูกไมตรีจิตกับปรมาจารย์แล้ว นับว่าเป็นวาสนาของทั้งหอเซียนหลิงอวิ๋น จะปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันไม่ได้เป็นอันขาด ให้ข้าไปนั้นเหมาะสมเป็นที่สุด”
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ผงกศีรษะเห็นด้วย
“เจ้าคิดผิดแล้ว” หลินมู่เฟิงส่ายหน้า พลางเอ่ยว่า “คำใบ้ของปรมาจารย์นั้นบ่งชี้ว่าเป็นข้า เพราะฉะนั้นย่อมต้องเป็นข้าที่ทำภารกิจด้วยตนเอง! อีกทั้ง…เพียงแค่เสี่ยงอันตราย ครั้นนำของวิเศษกลับมาได้จึงจะนับว่าเป็นการแสดงความจริงใจ! เจ้าไม่ต้องมากความ! ครานี้ข้าต้องออกโรงด้วยตัวเอง!”
ผู้อาวุโสสามถอนหายใจยาว สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงรับคำอย่างจนใจ “ท่านประมุขโปรดดูแลตนเอง”
ระหว่างทาง หลินมู่เฟิงค่อยๆ เล่าเรื่องสิ่งที่ตนประสบพบเจอในเรือนของปรมาจารย์ไปหนึ่งคำรบ
ผู้เฒ่าซุนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงขั้นแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งรู้สึกกระวนกระวายทั้ง
เลื่อมใสศรัทธา
สุดท้ายแล้วอารมณ์เคร่งขึงทั้งปวงก็ทำให้เขาต้องหายใจโกยอากาศเย็นเข้าปอด
เฮือก
ดื่มชาแล้วกระจ่างในมรรคา ใช้กระบี่จุ้ยหมัวผ่าฟืน ใช้ไม้ปราณเป็นฟืน ใช้หยาดน้ำแข็งทมิฬพันปีปรุงรสอาหาร
หรือแม้แต่เห็ดกับต้นหอมซอยก็ยังมีทำนองมรรคาแฝงอยู่!
น่าหวาดกลัว น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
นี่มันผู้ยิ่งใหญ่จากสวรรค์ชั้นฟ้าใดกัน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้นิสัยใจคอของหลินมู่เฟิง ถ้าหากเขาไม่ได้ลิ้มลองความอัศจรรย์พันลึกของน้ำแกงนกอินทรีชามนั้น ก็คงคิดว่าหลินมู่เฟิงละเมอเพ้อพกไปแล้วเป็นแน่
“นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้เร้นกายอยู่ในโลกบำเพ็ญเซียนของพวกเราด้วย ต่อให้เป็นฝันก็ยังไม่กล้าฝันเลยด้วยซ้ำ” ผู้เฒ่าซุนรำพันด้วยสีหน้าซับซ้อน
หลินมู่เฟิงผ่อนลมหายใจยาว “นั่นน่ะสิ ตราบจนตอนนี้ข้ายังคิดว่าฝันเฟื่องไปเอง ไม่อยากเชื่อเอาเสียเลย”
ใบหน้าของผู้เฒ่าซุนค่อยๆ เคร่งขึงขึ้นมา พูดอย่างแข็งกร้าว “อริยบุคคลระดับนี้ ห้ามล่วงเกินแม้แต่น้อย คำพูดของเขาเจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ตีความผิด”
โดยทั่วไปแล้ว อารมณ์ของปรมาจารย์นั้นยากเกินหยั่งรู้ หากเข้าใจถูกต้อง ก็อาจประสบเคราะห์ดี แต่หากเขาใจผิด ย่อมถึงคราวหายนะมาเยือน!
หลินมู่เฟิงเงียบงันไปชั่วครู่ “น่าจะไม่กระมัง ข้าขบคิดคำใบ้ของปรมาจารย์อย่างละเอียดมาโดยตลอด ไม่กล้าสะเพร่าหรอก”
จากนั้นเขาก็สาธยายการคาดเดาของตนอีกหนึ่งรอบ
“ยอดคน นับเป็นยอดคน!” ผู้เฒ่าซุนอดทดถอนใจไม่ได้ “เห็นทีการถือกำเนิดขึ้นของแดนเร้นลับก็อยู่ในการควบคุมของปรมาจารย์จริงๆ คำใบ้นี้คงจะไม่ผิด พวกเรารีบมุ่งหน้าไปยังแดนเร้นลับ เร่งทำภารกิจที่ปรมาจารย์ฝากฝังให้สำเร็จ”
หลินมู่เฟิงมองผู้เฒ่าซุน ยิ้มเอ่ย “เจ้าจะช่วยข้า?”
“เหลวไหลน่า! ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว แต่เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า ข้าเพียงใช้โอกาสนี้เพื่อให้ปรมาจารย์ประทับใจต่างหากเล่า โอกาสนี้เหนือกว่าครั้งใดแล้ว!” ผู้เฒ่าซุนตอบโดยไม่ต้องยั้งคิด
หลินมู่เฟิงจึงกล่าวว่า “รีบไปเถิด ไปเทือกเขาชูอวิ๋นยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เทศกาลเซิ่งหยวนใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราพยายามนำของวิเศษกลับไปมอบให้ปรมาจารย์ในช่วงนั้นดีกว่า!”
……
วันต่อมา
ยามรุ่งสาง หลี่เนี่ยนฝานมองดูต๋าจี่ซึ่งกำลังใช้ยาสีฟันแปรงฟัน ก็อดผุดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ถึงแม้จะสอนนางอยู่หลายวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าท่าทางเงอะงะชอบกล
กระนั้นต๋าจี่ก็จริงจังเหลือเกิน ความรักสวยรักงามนั้นเป็นธรรมชาติของผู้หญิง ถ้าหากตนเองผลิตแปรงสีฟันล็อตใหญ่บนโลกบำเพ็ญเซียน ก็คงจะรวยเละไปแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเรื่อยเปื่อย หลี่เนี่ยนฝานไม่มีความคิดจะทำการค้าในโลกเซียน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขยังอิ่มเอมไม่พอหรือไง
ยิ่งไปกว่านั้น ลำพังตัวหลี่เนี่ยนฝานคนเดียว กำลังผลิตยาสีฟันนั้นมีจำกัด ผลิตสินค้าล็อตใหญ่ไม่ได้หรอก
อย่างไรก็ดี บรรจุภัณฑ์ของยาสีฟันนั้นเทียบโลกเดิมไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพนั้นเหนือชั้นกว่าโลกเดิมเชียวละ
กลิ่นปากหอมสดชื่น ฟันสะอาดสดใส เป็นเรื่องง่ายดาย
ต๋าจี่สังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของหลี่เนี่ยนฝาน ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างขวยเขิน “คุณชาย
ท่านหัวเราะเยาะข้าอีกแล้ว”
“ไม่มีอะไร ข้าได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ปกติแล้วไม่หัวเราะหรอก”
หลี่เนี่ยนฝานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเสริมว่า “ไม่ได้ไปเมืองลั่วเซียนมาสักพักแล้ว ประเดี๋ยวกินข้าวเช้า แล้วเจ้าไปเที่ยวกับข้าดีกว่า”
ต๋าจี่พยักหน้า “อื้ม ข้าจะทำตามที่คุณชายบอก”
อาหารเช้านั้นจืดชืดเฉกเช่นที่ผ่านมา
ผักดองกินคู่กับข้าวต้มขาว และหมั่นโถวอีกหนึ่งก้อน
“ต้องไปซื้อผักแล้วละ”
หลี่เนี่ยนฝานคิดในใจ พลางลอบทอดถอนใจ ‘รู้สึกว่าสถานที่ที่ข้าอยู่ชักไม่เข้าท่า เพิ่งจะออกไปล่าสัตว์มาหนหนึ่ง ในป่าก็ไม่ค่อยสงบแล้ว น่ากลัวว่าต่อจากนี้คงไปล่าสัตว์ไม่ได้อีกสักพัก’
ทั้งสองกินอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงเดินทางออกจากเรือนสี่ประสาน เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองลั่วเซียน
ไกลออกไปก็พบว่าหน้าประตูใหญ่ของเมืองลั่วเซียนมีผู้คนมารวมตัวกันอยู่ เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังมา
คึกคักจังเลยนะ
หลี่เนี่ยนฝานรีบเร่งฝีเท้าเข้าไป
จึงพบว่าหน้าประตูเมืองลั่วเซียนถึงกับมีโคมไฟสีแดงสดสองดวงแขวนไว้อีกทั้งยังมีริบบิ้นผ้าไหมพันอยู่รอบประตูเมือง
เหล่าพ่อค้าวาณิชขวักไขว่ไปมาและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนสนทนาอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
หลี่เนี่ยนฝานพลอยอารมณ์ดีตามไปด้วย เดินเข้าเมืองลั่วเซียน แต่ละครอบครัวต่างง่วนอยู่กับงาน โคมแดงแถบผ้าสีแดงประดับประดาไปทุกที่ ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ความครื้นเครง
บนถนนเส้นหลัก เด็กน้อยไล่ตามความครึกครื้นอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไร้เดียงสา
“โคมดวงนี้เอียงไปหน่อย ขยับไปทางขวาอีก”
ป้าจางคอยช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน ตะโกนเสียงดัง “นั่นละ ไปทางขวาอีกนิด”
นางหันหน้าไปเห็นหลี่เนี่ยนฝานพอดี จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหลี่ เจ้าไม่ได้มาเมืองลั่วเซียนสักพักแล้วนี่”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “อื้ม ช่วงนี้บ้านข้ามีแขกมาแวะเวียนมามากสักหน่อย เลยไม่ได้ออกจากบ้าน”
“ข้าก็ว่า ข้าคอยสังเกตอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ยักเห็นเจ้า” ป้าจางมองต๋าจี่ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านนี้คือภรรยาเจ้ากระมัง หน้าตาสะสวย งามกว่าเซียนเหล่านั้นที่ข้าเคยเจอซะอีก!”
เซียนที่นางพูดถึงก็คือผู้บำเพ็ญเซียน
หลี่เนี่ยนฝานแอบรู้สึกดีใจ เอ่ยปากแถลงไข “ป้าจาง ท่านเข้าใจผิดแล้ว นางเป็นเพื่อนของข้า”
“ข้ารู้ๆ”
ป้าจางส่งสายตาเป็นเชิงว่านางรู้แล้วให้หลี่เนี่ยนฝาน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าจะไปเรียกนานนาน”
พูดจบ นางก็รีบสาวเท้าตรงไปที่บ้าน
“คุณชาย ท่านเป็นที่ต้อนรับของผู้คนจริงๆ” ต๋าจี่มองหลี่เนี่ยนฝานอย่างเลื่อมใส
สมแล้วที่เป็นนายท่าน เขามองว่าตนเองเป็นปุถุชนจริงๆ และด้วยเหตุนี้ถึงได้รับความรักจากบรรดาปุถุชนโดยปราศจากความเหินห่างแม้แต่น้อย นี่อาจเป็นวิธีบำเพ็ญเพียรที่แท้จริงกระมัง พลังระดับนี้ตั้งแต่โบราณกาลคงมีเพียงคนเดียวที่ทำได้
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มแย้มเป็นมิตร แล้วบอกว่า “ชาวบ้านที่นี่เรียบง่าย ใช้ความจริงใจแลกความจริงใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก”
ในตอนนั้นเอง ผู้คนโดยรอบต่างสังเกตเห็นหลี่เนี่ยนฝาน จึงทยอยกันเข้ามาทักทายด้วยไมตรีจิต
“คุณชายหลี่ ไม่พบกันเสียนาน”
“คุณชายหลี่ มีนิทานเรื่องใหม่บ้างหรือไม่ ตั้งแต่ที่เล่าบันทึกท่องประจิมจบครั้งก่อน ลูกข้าก็ร้องงอแงอยากฟังเสียยกใหญ่”
“ไม่สิ ลูกข้าร้องงอแงอยากจะบำเพ็ญเซียนน่ะ”
ยังมีผู้ที่สังเกตเห็นต๋าจี่ซึ่งอยู่ข้างกายหลี่เนี่ยนฝาน ก็สัพยอกหยอกเอินขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณชายหลี่ เมื่อไหร่จะเชิญข้าไปดื่มเหล้ามงคลล่ะ”
ไม่ทันไร เด็กกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาล้อมไว้ ต่างคนต่างดึงขากางเกงของหลี่เนี่ยนฝาน ร้องเรียกพี่เนี่ยนฝานกันเจื้อยแจ้ว
เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยเสียงอ้อแอ้ “พี่เนี่ยนฝาน พวกข้าอยากฟังนิทานอีก”
หลี่เนี่ยนฝานฉีกยิ้มพลางเกาศีรษะ “เอาไว้มีโอกาส พี่จะเล่าให้พวกเจ้าฟังอีก”
ประโยคนี้โดยมากมักเอาไว้ใช้หลอกเด็ก
แต่นั่นก็ทำให้เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นดีใจกันยกใหญ่
“คุณชายหลี่”
ในตอนนั้นเอง ป้าจางก็พานานนานกระวีกระวาดเข้ามา ในมือถือไข่ไก่ตะกร้าหนึ่งมาด้วย
“คุณชายหลี่ เจ้ารักษานานนาน ข้าละอยากขอบคุณเจ้านานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ไข่ไก่ตะกร้านี้เก็บไว้ให้เจ้า”
พูดไม่ทันขาดคำก็ยัดไข่ไก่ทั้งตะกร้าใส่มือหลี่เนี่ยนฝาน
“ป้าจาง นี่…” หลี่เนี่ยนฝานนึกอยากปฏิเสธ
“พี่เนี่ยนฝาน ท่านรับไว้เถอะ” นานนานดึงแขนเสื้อของหลี่เนี่ยนฝาน ดวงตาพราวประกายมองมาที่เขา
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “ก็ได้ พี่จะรับไว้ก็ได้”
เขารับไข่ไก่มาจากป้าจาง พร้อมเอ่ยปากถามว่า “ป้าจาง เหตุใดช่วงนี้เมืองลั่วเฉิงถึงได้คึกคักนักเล่า”
ป้าจางตอบ “คุณชายหลี่ ใกล้จะถึงเทศกาลเซิ่งหยวนแล้ว ทุกคนต่างก็เตรียมเฉลิมฉลองน่ะสิ”
“เทศกาลเซิ่งหยวน?”
หลี่เนี่ยนฝานนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ทำไมเทศกาลเซิ่งหยวนปีนี้มาถึงเร็วจังเลยล่ะ”
หลี่เนี่ยนฝานมาอยู่ในโลกนี้ได้ห้าปีแล้ว ย่อมคุ้นเคยกับเทศกาลเซิ่งหยวนอยู่บ้าง
เทศกาลเซิ่งหยวนนั้นคล้ายคลึงกับเทศกาลตรุษจีนในโลกเดิม เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกเซียน ทุกครอบครัวล้วนเฉลิมฉลอง บางครั้งบางคราวผู้บำเพ็ญเซียนก็จะมาร่วมในงานอันเอิกเกริกนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของเทศกาลนี้แตกต่างกับเทศกาลตรุษจีน เทศกาลเซิ่งหยวนจะจัดขึ้นก่อนเข้าสารทฤดู โดยจุดประสงค์ดั้งเดิมคือการบวงสรวงสวรรค์ อำนวยพรให้ผลผลิตงอกงามดี
ป้าจางตอบว่า “คุณชายหลี่ ถึงตอนนั้นเจ้าต้องมาให้ได้ เทศกาลเซิ่งหยวนปีนี้น่าจะคึกคักทีเดียวละ ได้ยินว่าสำนักเซียนจะส่งคนมารับศิษย์ นานนานก็เตรียมตัวไปเข้าร่วมเหมือนกันนะ”
……………………………………….