ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 80 เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ
หลี่เนี่ยนฝานมองนานนาน เอ่ยอย่างประหลาดใจ “นานนานอยากบำเพ็ญเซียนหรือ”
“อื้ม”
นานนานพยักหน้าด้วยความจริงจังตั้งใจ ยกกำปั้นขึ้นมาพูดว่า “ข้าจะไปสู้กับปีศาจเพื่อปกป้องทุกคน!”
“ฮ่าๆๆ มีปณิธาน! ถ้าหากเจ้าได้เข้าสำนัก พี่จะให้ของขวัญเจ้าชิ้นหนึ่ง” หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะร่า
ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ถูกปีศาจจับไป นางย่อมจดจำได้ขึ้นใจ
“จริงหรือ” ดวงตาของนานนานพลันเป็นประกาย พยักหน้ารัวอย่างมุ่งมั่น พร้อมยื่นมือออกมาพูดว่า “เกี่ยวก้อย”
หลี่เนี่ยนฝานหุบยิ้มทันใด “ได้ เกี่ยวก้อย!”
“พี่เนี่ยนฝาน ข้าก็อยากบำเพ็ญเซียน”
“ข้าด้วย ข้าก็อยากไป!”
เด็กน้อยคนอื่นๆ ก็พูดขึ้นเซ็งแซ่
“โอ้? พวกเจ้าอยากบำเพ็ญเซียนไปเพื่ออะไรหรือ” หลี่เนี่ยนฝานถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ข้าอยากไปดูซุนหงอคง!”
“ข้าอยากบินได้”
“ข้าอยากไปบุกตำหนักสวรรค์!”
เด็กๆ พูดเจื้อยแจ้วไปต่างๆ นานา สิ่งที่พูดออกมาล้วนทำให้ผู้คนหัวเราะกันถ้วนหน้า
หลี่เนี่ยนฝานอดนึกขบขันไม่ได้ ดูท่าเรื่องบันทึกท่องประจิมที่ตนเล่าจะมีอิทธิพลต่อพวกเขามากทีเดียว ถึงกับทำให้เด็กๆ หลงใหลการบำเพ็ญเซียน
ก็เหมือนกับในโลกเดิมซึ่งนิยายกำลังภายในทำให้เด็กทุกคนต่างมีความฝันอยากจะเป็นจอมยุทธ์
เพียงแต่ว่า ความฝันนี้ก็มาพร้อมกับอุปสรรคและความท้าทายครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีกี่คนที่บำเพ็ญเพียรได้สำเร็จผล
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นพวกเจ้าต้องพากเพียรให้มาก! พยายามเข้าสำนักให้เร็วสักหน่อย จะได้เป็นผู้บำเพ็ญเซียน”
ครั้นบอกลาทุกคนแล้ว หลี่เนี่ยนฝานก็มุ่งหน้าไปในตลาดของเมืองลั่วเซียน เดินตรงดิ่งไปถึงแผงขายปลาอย่างชำนิชำนาญ
“คุณชายหลี่” เถ้าแก่เจ้าของแผงเห็นหลี่เนี่ยนฝาน ก็พลันกระตือรือร้นขึ้นมา “ไม่ได้เห็นท่านมาซื้อปลานานแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานกล่าวว่า “ช่วงนี้ออกไปล่าสัตว์น่ะ กินเนื้อสัตว์ป่ามาสักระยะแล้ว”
“เยี่ยมยอด!”
เถ้าแก่เจ้าของแผงยกนิ้วโป้งให้หลี่เนี่ยนฝาน ก่อนจะถามว่า “คุณชายหลี่ อยากได้ปลาตัวไหนบ้าง”
“เถ้าแก่ ปลาของท่านสู้เมื่อก่อนไม่ได้เลย” หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า พูดอย่างเสียไม่ได้ “ปลาตัวเล็ก แม้แต่ประเภทของปลาก็น้อยลงด้วย”
“เฮ้อ อย่าพูดเลย”
เจ้าของแผงทอดถอนใจ “ทะเลสาบจิ้งเยวี่ยมีปีศาจอาละวาด ข้าทำได้เพียงไปจับปลาจากที่อื่นมา คุณภาพย่อมไม่อาจสู้ปลาในทะเลสาบจิ้งเยวี่ย”
หลี่เนี่ยนฝานจึงถามอย่างฉงนใจ “ปีศาจอาละวาด แล้วไม่มีใครมาจัดการหรือ”
“จัดการไม่ไหวหรอก ช่วงนี้ภูตผีปีศาจเยอะแยะปั่นป่วนไปหมด รู้สึกว่าคงจะเป็นสารทฤดูที่วุ่นวายทีเดียวเชียวละ” เถ้าแก่ถอนหายใจอีกครั้งด้วยความรู้สึกกังวลใจแทนใต้หล้า
หลี่เนี่ยนฝานฉุกคิดถึงในป่า ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยเงียบสงบสักเท่าไร
“ไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ สถานการณ์แบบนี้น่าอึดอัดจริงๆ เลยนะ” หลี่เนี่ยนฝานรำพัน
อาศัยอยู่ในโลกบำเพ็ญเซียน สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือต้องคอยระแวดระวังปีศาจอยู่ตลอดนี่แหละ
เป็นปุถุชนนี่ลำบากจริงๆ!
ต๋าจี่ซึ่งคอยอยู่ข้างกายหลี่เนี่ยนฝานก็สีหน้าตระหนกเล็กน้อย ลอบตั้งมั่นในใจ “เห็นทีต้องรีบรบเร้าน้องสาวให้เร่งบรรเทาความกังวลใจครั้งนี้ของนายท่านเสียแล้วละ”
หลี่เนี่ยนฝานให้เถ้าแก่เจ้าของแผงเลือกปลาตัวใหญ่สองสามตัวเพื่อนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับวันถัดๆ ไป ก่อนถึงเทศกาลเซิ่งหยวน เขาเตรียมตัวจะไม่ออกจากบ้านแล้ว
ระยะนี้ปีศาจอาละวาด ตนและต๋าจี่ล้วนเป็นแค่ปุถุชน เมื่อคำนึงถึงชีวิตอันน้อยนิด พวกเขาออกจากบ้านให้น้อยสักหน่อยย่อมดีกว่า
……
เทือกเขาชูอวิ๋นทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ที่นี่หน้าผาสูงชัน ต้นหญ้าขึ้นรกชัฏ ทว่าต้นไม้ใหญ่กลับบางตา ฉะนั้นยามปกติจึงพบร่องรอยของผู้คนได้น้อยนัก มีเพียงความเคลื่อนไหวของปีศาจ
กระนั้นแล้ว เทือกเขาชูอวิ๋นในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ
สำแสงสองสายทะยานติดตามกันมาบนท้องนภา มุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขา
ลำแสงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายแห่งเดียวกัน และหยุดลงบนหน้าผาสักแห่งพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
สัณฐานของสถานที่แห่งนี้แปลกตายิ่งนัก ขุนเขาสูงต่ำไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นรูปทรงลูกคลื่น หน้าผาเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว หินนูนตะปุ่มตะป่ำราวกับปีศาจขนาดมหึมากำลังอ้าปากหมายขย้ำคน
ทว่าในบรรดาหน้าผาเหล่านี้ ก็มีหน้าผาหนึ่งซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ
ก้อนหินด้านล่างหน้าผาล้วนหล่นร่วงไปแล้ว เผยให้เห็นผนังด้านในซึ่งราบเรียบเป็นมันวาว บางครั้งบางคราวก็สะท้อนแสงเป็นประกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
ถ้าหากเป็นปุถุชน แม้แต่จะข้ามมาที่นี่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว หุบเหวนี้ไม่นับว่ายากเย็นแต่อย่างใด
แน่นอนว่าผู้เฒ่าซุนและหลินมู่เฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ที่นี่น่าจะเป็นประตูบานหนึ่ง!” ผู้เฒ่าซุนคาดเดา
“ไม่ผิด คงจะเป็นทางเข้าของแดนเร้นลับ” หลินมู่เฟิงพยักหน้า สายตาขึงขังมองประเมินไปรอบๆ
ถึงแม้ว่าข่าวคราวของแดนเร้นลับจะมีคนน้อยนักที่รู้ แต่ทุกคนก็ล้วนรู้จักมักคุ้นกันดี ถึงกับรวมตัวกันมาสิบกว่าคน อีกทั้งแต่ละคนก็มิได้อ่อนแอ
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งเอ่ยปาก “สหายทุกท่าน การบำเพ็ญเซียนนั้นไม่ง่าย เข้าไปในแดนเร้นลับครั้งนี้เข้าไปต่างคนต่างพึ่งพาโชค อย่าได้แตกความเป็นหนึ่งเดียว สหายคิดว่าอย่างไร”
“ข้าเห็นด้วย!”
“เห็นด้วย!”
ทุกคนล้วนพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน
ผู้เฒ่าซุนกล่าวแนะนำกับหลินมู่เฟิงว่า “นี่คือผู้เฒ่าชิงหยาง ขั้นเหอถี่เต็มระดับ มีอำนาจน่าเกรงขามในแถบนี้
แดนเร้นลับแห่งนี้เขาก็เป็นผู้ค้นพบ”
หลินมู่เฟิงพยักหน้า “หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะลดความยุ่งยากไปได้บ้าง”
ผู้เฒ่าชิงหยางพยักหน้าให้ผู้คนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะลงมือร่ายเวท ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังกำแพงศิลา
ครืน!
ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของฝูงชน ผนังศิลาก็ส่องแสงเจิดจรัส จากนั้นก็เริ่มสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ
แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่ากำแพงไม่ได้เปิดออก หนำซ้ำยังก่อเกิดรูปภาพดูแปลกตา แต่ละเส้นตัดพาดผ่านกัน บนรอยต่อยังมีจุดกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าเป็นการประลองหมาก
สายตาของทุกคนพลันเคร่งขรึม ดวงตาเป็นประกายวาบยามจ้องมองประตูศิลาบานนั้น สีหน้าฉายแววคล้ายขบคิดบางอย่าง
หลินมู่เฟิงมียังนับว่ามีสีหน้าปกติ กระนั้นยามที่เห็นหมากกระดานนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด
นัยน์ตาของเขาหดเล็กประหนึ่งรูสนเข็ม เลือดลมแทบหยุดโคจร ความรู้สึกชาวาบผุดขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ แล่นปราดสู่กระดูกจนหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย!
นะ…นะ…นี่มัน…
การประลองหมากนั้นของคุณชายหลี่?!
ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกเพียงว่าสมองชาหนึบ ราวกับจวนเจียนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เพียงแต่…เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
คลื่นยักษ์ถั่งโถมขึ้นในใจ แทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง
เป็นเช่นนี้แล้ว การที่ตนได้เห็นหมากกระดานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นเพราะคุณชายหลี่จงใจให้ตนเห็น!
น่ากลัว!
เหลือเชื่อ!
ที่แท้คุณชายหลี่ก็ช่วยปูทางให้เขาตั้งแต่แรกแล้ว!
เขาลอบรู้สึกปลาบปลื้มอย่างสุดซึ้ง
โชคดีที่ตนตีความคำใบ้แต่ละอย่างของคุณชายหลี่ออก จึงติดตามผู้เฒ่าซุนมายังแดนเร้นลับ ไม่เช่นนั้นหากทรยศต่อความคาดหวังของคุณชายหลี่แล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะเห็นเดือนเห็นตะวันอีก!
ยามนั้น หนึ่งในผู้ฝึกตนก็หัวเราะเหอะๆ ขึ้นมา มองไปทางผู้เฒ่าชิงหยางเป็นเชิงเย้าหยอก “ผู้เฒ่าชิงหยางอยากให้ทุกคนมาช่วยท่านแก้หมากกระดานนี้กระมัง มิน่าเล่าท่านถึงได้แพร่ข่าวนี้ไปทั่ว”
“กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ย่อมเป็นเช่นนั้น” ผู้เฒ่าชิงหยางพยักหน้ายอมรับด้วยความสุขุมเยือกเย็น “ข้าได้ลองแก้หมากกระดานนี้แล้ว ทว่าพยายามเท่าใดก็ไร้ผล ผู้ที่สร้างโจทย์นี้ขึ้นมาคงจะเป็นระดับเทพเซียนวิถีการเดินหมากไปแล้ว นำมรรคาหลอมรวมกับหมากกระดาน ฝีมือสูงส่งจนน่าตกใจ”
เมื่อเขายอมรับอย่างง่ายดายเพียงนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าควรตอบโต้ว่าอย่างไร พากันทบทวนตนเองว่าถ้าหากพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์นี้ก็คงทำแบบเดียวกัน
สีหน้าของทุกคนต่างขึงขังขึ้นมา จ้องมองกระดานหมากอย่างตื่นตะลึง
แม้แต่ผู้เฒ่าชิงหยางยังตีโจทย์ไม่ออก แสดงว่าหมากกระดานนี้ต้องไม่ธรรมดา
ในตอนนั้นเอง หลินมู่เฟิงก็ตั้งสติข่มความอึ้งงันในใจ ปรับสีหน้าให้ปกติ ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง
ผู้เฒ่าชิงหยางคนนี้ดูไม่ยักจะเป็นมิตรอย่างที่เห็น คนสิบกว่าคนที่เขาเชิญมานั้นก็มีตบะแก่กล้าสู้เขาไม่ได้เลย!
เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ น่ากลัวเหลือเกิน!