ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 82 สถานที่สำหรับชายหญิงเจรจาธุรกิจ
“เปิดแล้ว! เปิดออกแล้ว!”
ใบหน้าของทุกคนล้วนแต่ฉายแววปีติยินดี ในขณะเดียวกันก็มองหลินมู่เฟิงอย่างตื่นตะลึงสุดขีด
นักพรตเทียนเหยี่ยนเองก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว สมองซึ่งกำลังทึ่มทื่อก็พลันแจ่มแจ้งในชั่วพริบตา ในห้วงสำนึกปรากฏภาพกระดานหมาก ปากพึมพำไม่หยุด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลินมู่เฟิงมองเข้าไปในแดนเร้นลับ เอ่ยว่า “สหาย เข้าไปกับพวกข้าเถิด”
“ไม่ต้องหรอก ข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว รอพวกเจ้าอยู่ข้างนอกนี่แหละ” นักพรตเทียนเหยี่ยนโบกมือด้วยท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเดินไปที่มุมหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิอย่างมิได้อนาทรร้อนใจ ในสมองยังคงฉายภาพกระดานหมากเมื่อครู่
“ต้องขอบคุณสหายท่านนี้” ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามาพูดกับหลินมู่เฟิงอย่างเกรงอกเกรงใจสองสามประโยค แล้วจึงแปลงเป็นลำแสงรุดรีบเข้าไปในแดนเร้นลับ
หลินมู่เฟิงและผู้เฒ่าซุนมองหน้ากัน พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไปเถอะ พวกเราก็รีบเข้าไปบ้าง ปรมาจารย์ช่วยเหลือถึงตรงนี้ หากยังจัดการเรื่องที่เขาบอกไม่สำเร็จ ก็ไม่มีหน้าจะไปพบเขาแล้ว!”
……
ห้าวันผ่านไปอย่างสงบสุข
วันนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แต่หลี่เนี่ยนฝานกลับพาต๋าจี่ออกไปข้างนอก
เพราะว่าวันนี้เป็นเทศกาลเซิ่งหยวนซึ่งหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว และยามสายัณห์ก็เป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุด
หลี่เนี่ยนฝานยืนอยู่บนภูเขา มองลงไปยังเบื้องล่างจะเห็นว่าเมืองลั่วเซียนนั้นได้จุดโคมมากมายละลานตา แลดูประหนึ่งท้องทะเลสีแดงสด แม้จะอยู่ห่างออกไปก็ยังสัมผัสได้ถึงความครึกครื้นจากที่นั่น
“ไปกันเถอะ” หลี่เนี่ยนฝานพาต๋าจี่ตรงรี่ลงเขาไป
“ตุ้มๆๆ”
ทันทีที่ลงจากเขาก็ได้ยินเสียงตีกลองเคาะระฆังดังมาจากในเมืองลั่วเซียน
เมื่อเข้าไปในเมือง บ้านเรือนร้านรวงล้วนประดับประดาด้วยโคมไฟ ตลอดเส้นทางมีแผงขายของ โคมไฟนานาชนิดหลากหลายสีสันส่องสว่างถนนทั้งสาย ทั้งยังมีของเล่นมากมายและขนมเช่นน้ำตาลปั้นให้กับเด็กๆ แสงสีวาบวามชวนครื้นเครง
เด็กๆ ยืนล้อมหน้าแผงเล็ก ดวงตาใสพร่างพราว กัดนิ้วตนเองด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
พวกผู้ใหญ่ก็ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา สีหน้าประทับรอยยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญา กระนั้นก็ยังควักกระเป๋าเงินออกมาแลกกับรอยยิ้มเปี่ยมความสุขของลูกน้อยอย่างเต็มใจ
เมื่อเดินต่อไป บนพื้นที่โล่งใจกลางถนน มีคณะละครกลุ่มหกคน ทั้งยังมีคณะเชิดสิงโตและมังกรซึ่งดึงดูดผู้ชมมหาศาลให้เข้ามามุงดูและเรียกเสียงปรบมือได้รอบแล้วรอบเล่า
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มร่า พูดกับต๋าจี่ “เป็นอย่างไร คึกคักใช่ไหม”
จำได้ว่าตอนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก หลี่เนี่ยนฝานก็ถึงกับตกตะลึงกับความคึกคักของเทศกาลเซิ่งหยวน ที่นี่สนุกกว่าการนั่งดูรายการโทรทัศน์รอนับถอยหลังคืนข้ามปีตั้งเยอะ
“อื้มๆ นึกไม่ถึงว่าปุถุชนก็มีชีวิตอย่างอิสรเสรีเช่นนี้ได้ด้วย” ต๋าจี่มองภาพเหล่านี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความตื่นเต้นฉายวาบในดวงตา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เข้ามายังโลกของมนุษย์ ภาพที่เห็นล้วนทำให้นางตื่นตาตื่นใจ
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยว่า “คำพูดนี้ผิดแล้ว ปุถุชนแล้วอย่างไร เป็นเพราะว่ามีเวลาแค่ร้อยปี ถึงได้รู้จัก
ตักตวงช่วงเวลาอันงดงามในชีวิต พยายามทำให้ชีวิตของตนมีความสุขและตื่นเต้น เจ้าอยากใช้ชีวิตอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ไม่ใช่สถานะของเจ้า”
เขาอยากปรับความคิดนี้ของต๋าจี่
ในโลกบำเพ็ญเซียน ทุกคนล้วนแต่อิจฉาเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งสูงส่งเป็นธรรมดา ทว่าปุถุชนก็มีชีวิตของปุถุชนเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาใคร
ดวงตาของต๋าจี่ฉายแววประหลาดใจ นัยน์ตาพริ้งเพรามองหลี่เนี่ยนฝาน พลางสูดหายใจเข้าลึกเอ่ยอย่างหนักแน่น “ต๋าจี่จะจดจำคำสอนของคุณชาย”
ในใจของนางประหนึ่งมีคลื่นคลั่งถั่งโถม คำพูดนั้นของหลี่เนี่ยนฝานดังก้องในห้วงสำนึกของนางราวอัสนีบาต ทำให้นางฉุกคิดบางอย่างได้เลือนราง ยังไม่ใคร่แจ่มชัด
จิตใจของนายท่านนั้นอยู่ในระดับที่เหนือกว่าโลกีย์ ได้อยู่ข้างกายนายท่าน ต่อให้สดับฟังคำสอนเพียงไม่กี่ประโยค ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว
“อย่าเรียกว่าคำสอนเลย ก็แค่คำพูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เจ้าจะมองเป็นน้ำแกงไก่[1]ก็ได้” หลี่เนี่ยนฝานพูดโดยไม่ได้คิดมาก
“น้ำแกงไก่?” นางชะงักไป ไม่เข้าใจคำพูดของเขา
นางรู้สึกท้อใจอยู่บ้าง ดูแล้วความเข้าใจของนางมีไม่พอจริงๆ เส้นทางให้เดินนั้นยังอีกยาวไกล มีคำพูดของปรมาจารย์มากมายที่ข้าไม่กระจ่าง
เดินเลียบเลาะไปตามถนน แม่น้ำเบื้องหน้าซึ่งตัดผ่านเมืองลั่วเซียนไหลเลี้ยวลดไปสุดลูกหูลูกตา
ต้นแม่น้ำนั้นมีสะพานหินแห่งหนึ่ง โดยรอบประดับประดาด้วยโคมไฟมากมายหลากหลายสีสัน ด้านล่างสะพานมีเรือชมเมืองประดับโคมไฟ ชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายขับขานบทกลอนเกี้ยวพาราสีกัน
“ท่านมาดื่มชากระมัง”
“ไอ้หยา นายท่านมาฟังดนตรีหรือเจ้าคะ”
เสียงอ่อนหวานหยาดเยิ้มดังมาจากอาคารหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพาน ชวนให้จินตนาการไปไม่สิ้นสุด
ต๋าจี่มองไปยังหอซึ่งมีแสงสีสาดระยับ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณชาย ที่นั่นคือที่ใดหรือ”
หลี่เนี่ยนฝานมุมปากกระตุก แล้วจึงตอบว่า “เอ่อ…เป็นสถานที่สำหรับชายหญิงเจรจาการค้ากันน่ะ”
บนชั้นสูงสุดของหอนั้น
ผู้เฒ่าสวมผ้าคลุมสีดำคนหนึ่งกำลังหรี่ตา สายตาดุดันมองลงมายังฝูงชนซึ่งขวักไขว่ไปมาเบื้องล่าง
นิ้วมือผอมซูบทั้งห้าถือขวดสุราพลางลิ้มลอง
ด้านหลังของเขามีเตียงสีแดงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง บนเตียงมีหญิงสาวร่างเปลือยเปล่านอนอยู่ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง สะท้อนความหวาดผวาและขัดขืนก่อนสิ้นลม
ทันใดนั้น สายตาของผู้เฒ่าก็พลันขึงขัง จ้องมองหญิงสาวอาภรณ์สีขาวท่ามกลางฝูงชน นัยน์ตาฉายแววกระหายอยาก แลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะพบโฉมงามเช่นนี้ในโลกปุถุชน!”
ลูกศิษย์คนหนึ่งด้านหลังของเขาก็สังเกตเห็นต๋าจี่เช่นกัน จึงรีบร้อนพูดขึ้นอย่างตื่นตะลึงสุดขีด “อาจารย์ ข้าจะไปจับนางมาเดี๋ยวนี้!”
ผู้เฒ่ายกยิ้มเย็นเยียบมุมปาก “เตาหลอมชั้นดี ไม่มีทางเป็นปุถุชนกักขฬะไปได้”
ทว่าชั่วขณะต่อมาหัวคิ้วของเขาก็พลันขมวดมุ่น ความตื่นตกใจและฉงนสงเท่ห์ฉายวาบในดวงตา “ช้าก่อน!”
ลูกศิษย์ชะงักงัน พูดอย่างแปลกใจ “ปุถุชนคนนั้นรู้จักจักรพรรดิลั่วด้วยหรือ”
……
จักรพรรดิลั่วพาจงซิ่วและลั่วซืออวี่ไปเดินชมโคมไฟ เมื่อเห็นหลี่เนี่ยนฝาน สีหน้าก็ปลื้มปีติ รีบร้อนเข้าไปต้อนรับขับสู้
“คุณชายหลี่ แม่นางต๋าจี่ พวกท่านมาเดินชมโคมไฟหรือ”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ตอบอย่างยิ้มแย้ม “อื้ม นึกไม่ถึงว่าจะมาพบกันที่นี่ บังเอิญเหลือเกิน”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว บังเอิญยิ่งนัก!” จักรพรรดิลั่วหัวเราะร่าอย่างตื่นเต้น นำเสนอว่า “คุณชายหลี่ ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่ง มองจากข้างบนลงมาสามารถเห็นความครึกครื้นของทั้งเมืองได้ อยากไปดูหรือไม่เล่า”
หลี่เนี่ยนฝานนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แต่กลับส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ได้ยินว่าวันนี้มีสำนักต่างๆ มาคัดตัวลูกศิษย์ ข้าอยากไปดูสักหน่อย”
จักรพรรดิลั่วพยักหน้า “ที่แท้คุณชายหลี่ก็อยากไปที่นั่น ข้ากำลังจะไปพอดี มิสู้ไปพร้อมกันเลย”
“เช่นนั้นต้องรบกวนด้วย” หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
…………………………………………..
[1] น้ำแกงไก่ เป็นคำสแลง หมายถึงข้อคิดหรือคำพูดที่ให้แง่คิด