ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 85 เซียนลูบศีรษะ ชี้เป็นชี้ตาย
ลั่วซืออวี่เอ่ยเสียงเย็น “ข้าขอเตือนเจ้าว่าทางที่ดีอย่าแตะต้องนาง มิฉะนั้นเจ้าได้ตายอนาถแน่!”
“เหอะๆ ทำเป็นพูดดีไป!” นักพรตเทียนหมัวหัวเราะเยาะอย่างไม่แยแส
ผู้อยู่เหนือเซียนอะไร
ผู้บรรลุมรรคผลอะไร
ไม่ต้องเอ่ยถึงโลกบำเพ็ญเซียน โลกเซียนที่แท้จริงนั้นมีหรือเปล่าก็ไม่รู้
หากมีผู้ที่แข็งแกร่งพรรค์นั้นจริง ตนจะอยู่รอดปลอดภัยมาถึงตอนนี้ได้หรือ เก่งจริงก็มาฆ่าข้าสิ!
ในยามนั้น นานนานนั่งอยู่บนต้นไม้ กัดริมฝีปากแน่น สายตาหวาดผวามองนักพรตเทียนหมัวซึ่งย่างเยื้องเข้ามาใกล้ข ขึ้นทุกที
นัยน์ตาของนักพรตเทียนหมัวฉายแววความหิวกระหาย ยื่นมือผอมแห้งออกมาพลางเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ส่งกระดาษคำอวยพรแผ่ นนั้นให้ข้า!”
นานนานกำแผ่นกระดาษแน่น ส่ายหน้าแล้วขยับหนี
แสงสีแดงสว่างวาบในดวงตาของนักพรตเทียนหมัว สองมือกางออก ไอดำรวมตัวก่อนจะฟาดเข้าใส่นานนาน!
หัวเราะเย้ยหยันเอ่ย “ก็แค่รากปราณระดับล่าง ไม่ได้มีราคาอะไร ฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง!”
“หยุดนะ!”
จักรพรรดิลั่วและอีกสองคนตะลึงงัน ฉับพลันก็สัมผัสได้ว่ามือเท้าเย็นเฉียบ แยกเขี้ยวยิงฟัน
กระนั้นแล้ว ทันทีที่ไอดำกำลังจะแตะต้องนานนาน กระดาษคำอวยพรก็พลันส่องแสงเจิดจ้า ไอปราณอันแข็งแกร่งก็ปรากฏ ขึ้นทันควันราวกับเซียนลงมาจุติ ชวนให้โลกหยุดนิ่งลง
ไอดำกลุ่มนั้นค่อยๆ กระจัดกระจายออกคล้ายกับปลิวไปตามกระแสลม
“นี่ นี่มัน…”
นักพรตเทียนหมัวใจเต้นระส่ำ มองกระดาษคำอวยพรอย่างตื่นตระหนก ผงะถอยไปด้านหลัง ในใจเกิดความรู้สึกร้อนรน
กระดาษคำอวยพรแผ่นนั้นบินออกมาจากมือของนานนาน นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะคลี่ออกด้วยตัวเอง
ชั่วขณะนั้น ไอปราณแข็งแกร่งระเบิดออกจากกระดาษเขียนคำอวยพร พวยพุ่งขึ้นฟ้าราวกับกำลังจะทะลวงหมู่เมฆ
ยามที่ม้วนกระดาษคลี่ออกโดยสมบูรณ์ ลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งพุ่งจากใจกลาง สว่างไสวไปทั่วทั้งผืนป่าทึบ
แกร็ก!
พลังซึ่งนักพรตเทียนหมัวสร้างขึ้นทั้งปวงถูกสะเทือนจนกระจุย เหล่าภูติผีปีศาจในป่าล้วนอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่ดวงว วิญญาณก็สั่นสะท้านตามไปด้วย ทรุดเข่าคำนับลงต่อหน้าลำแสงนั้นอย่างเคารพนบนอบ
นักพรตเทียนหมัวหน้าถอดสีจนดูขาวซีด แม้แต่ฟันก็สั่นกระทบกัน “ซะ ซะ ซะ…เซียน?!”
ร่างของเขาถอยกรูดไปเรื่อยๆ ความหวั่นผวาเข้ากลืนกินร่างจนเขาสมองชาหนึบ ในอกสั่นสะท้าน
ท่ามกลางลำแสงนั้น เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งได้อย่างชัดแจ้ง ผมเผ้าและหนวดเคราสีขาว ชุดยาวปลิวไสว ถึงแม้จะไม่เห็นใบห หน้า ทว่ามีพลังที่ไม่อาจพรรณนาได้ แม้ว่าจะไม่ได้น่าเกรงขาม แต่ก็สูงส่งยิ่งนัก!
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนกับโลกสองมิติมองเห็นโลกสามมิติ ระดับที่แตกต่างชวนให้เคารพเลื่อมใสจากก้นบึ้งของหัว วใจ
“ทำนองมรรคาจำแลง เป็นทำนองมรรคาจำแลงจริงๆ!”
นัยน์ตาของจักรพรรดิลั่วเบิกกว้างสุดขีด กลั้นหายใจอย่างห้ามไม่อยู่ โลหิตทั้งร่างไม่โคจรอีกต่อไป
เขาขนลุกไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย มองลำท่อนแสงอย่างงงงัน สมองพลันสูญเสียความสามารถในการขบคิด
นี่เป็นทำนองมรรคาจำแลง
โลกที่ปรากฏเพียงในตำนาน
คิดเป็นความจริง พูดเป็นกฎเกณฑ์ จรดพู่กันลิขิตวสันต์สารท วาดภาพสั่งตะวันจันทรา!
ทำนองมรรคากระดาษคำอวยพรนี้ ถึงกับจำแลงกายเป็นเซียนออกมาได้?!
น่ากลัวเหลือเกิน เหลือเชื่อเหลือเกิน!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” นักพรตเทียนหมัวตกใจจนใบหน้าเบี้ยวบูด พูดอย่างไม่เชื่อสายตา า “บนโลกนี้จะไปมีของพรรค์นี้ได้อย่างไร หลอกลวงทั้งเพ ต้องเป็นของปลอมแน่!”
เขากระอักเลือดออกมาดัง ‘อั้ก’ กลายร่างเป็นแสงสีโลหิตทะยานหนีไปต่อหน้าต่อตา
ขณะเดียวกันเขาก็ยังคงไม่วางใจ ระเบิดทุกสิ่งที่ใช้ได้ในร่างกายจนหมด แม้แต่พลังปราณในร่างกายก็ยังมอดไหม้ทัน นใด เพื่อเสริมความรวดเร็วในการหลบหนี
เขาหวาดหวั่นขวัญผวา ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง
เซียนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม คล้ายกับกำลังทอดมองไกลออกไป เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากความว่างเปล่า
กลับเห็นว่าเขาค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นมา
นักพรตเทียนหมัวซึ่งหนีหัวซุกหัวซุนก็รู้สึกประหนึ่งเวลาหวนย้อนกลับ ภาพเดิมปรากฏแก่สายตาอีกครา ทั้งยังเหาะ ย้อนกลับไปในทิศทางเดิม
เขาเร่งฝีเท้าแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกกฎบางอย่างจำกัดไว้ ทำให้ร่างของเขาทะยานเข้าหาฝ่ามือของเซียนผู้นั้น
“ไม่ โปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตข้าด้วย” ใบหน้าของนักพรตเทียนหมัวเต็มไปด้วยความกลัวและสิ้นหวัง เอ่ยเว้าวอนต่อความว ว่างเปล่า “ปรมาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ข้ายินดีจะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน ไว้ชีวิตข้าเถอะ!”
แต่ทว่าความพยายามทั้งหมดนั้นไร้ผล
เขาลอยไปอยู่เบื้องหน้าเซียนผู้นั้นแล้ว
มือข้างนั้นของเซียนลดลงช้าๆ มาลูบศีรษะของเขา
ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามล้นฟ้า ไร้ซึ่งพลังปราณอันแก่กล้า และไร้ซึ่งสุ้มเสียง
นักพรตเทียนหมัวหยุดลงฉับพลัน ทั้งร่างปราศจากการเคลื่อนไหว
สายลมโบกพัด ร่างของเขากลายเป็นผุยผงลอยล่องไป เหลือทิ้งไว้เพียงแก่นหยวนอิงซึ่งหลับตาลงลอยอยู่กลางอากาศ
จักรพรรดิลั่วและคนอื่นๆ จ้องมอง ปากอ้าค้างเป็นรูป ‘O’ รู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นระส่ำ ไม่กล้าหายใจแรง
ลูกศิษย์ทั้งสามของนักพรตเทียนหมัวต่างขวัญหนีดีฝ่อ ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ ตกใจทึ่มทื่อจนสมองชา กระโหลกแทบแ แยกออกจากกัน
เซียนโบกมือเบาๆ หยวนอิงก็พลันลอยไปอยู่เหนือศีรษะของนานนาน ก่อนจะใช้มือลูบลงไป
เซียนลูบศีรษะ มอบพลังอมตะให้แก่ข้า!
แก่นหยวนอิงนั้นเคลื่อนตามมือลงบนศีรษะของนานนาน คล้ายว่าหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของนานนาน
นานนานมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสงสัย แต่ว่านางก็ค่อยๆ รู้สึกว่าหนังตาของตนเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ร่ างกายอบอุ่น ราวกับถูกแสงนวลโอบกอดไว้ จากนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราไป
ลำแสงค่อยๆ กระจายตัว แผ่นกระดาษค่อยๆ พับเก็บ ก่อนจะร่วงหล่นลงดัง ‘แผละ’ ข้างกายของนานนาน
ไอปราณเบาบางระลอกนั้นก็อันตรธานไป โลกกลับสู่ความมืดมิดอีกครา ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียง ความฝัน
ลั่วซืออวี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นจักรพรรดิลั่วก็เอ่ยว่า “ท่านพ่อ…ท่านพ่อ”
“อย่าพูดให้มากความ!” จักรพรรดิลั่วเอ่ยปาก พูดอย่างระแวดระวัง “เคารพเลื่อมใสอยู่ในใจก็พอแล้ว”
เขามองไปยังลูกศิษย์ทั้งสามที่เหลือของนักพรตเทียนหมัว สายตาเย็นเยียบวาบผ่าน ชามกลมในมือส่องแสงสีแดงเจิดจ้า า มังกรจากเปลวเพลิงโผทะยานออกมากลืนกินทั้งสามหายไปในชั่วพริบตาเดียว
“ฟู่ว”
จงซิ่วค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น ผ่อนลมหายใจยาว ดวงตาเปี่ยมความซับซ้อน คืนวันนี้ช่างพิศดารเร้าใจเสียจริง โดยเฉพาะ ภาพฉากสุดท้าย เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลืมเลือนไปตลอดชีวิต
ทำให้ทำนองมรรคาจำแลงเป็นเซียนได้ ระดับพลังของปรมาจารย์จะต้องน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน!
“มากับข้า”
จักรพรรดิลั่วพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นจึงย่างกรายเดินเข้าไปหานานนานและกระดาษคำอวยพรนั่น
ครั้นอยู่ห่างเพียงครึ่งเมตรเห็นจะได้ เขาก็หยุดฝีเท้าลง ค้อมกายคำนับแผ่นกระดาษเขียนคำอวยพรนั้น พร้อมกล่ าวอย่างจริงใจ “ล่วงเกินแล้ว”
จากนั้นจึงหยิบกระดาษขึ้นมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
“ซืออวี่ เจ้าอุ้มนานนาน พวกเรารีบกลับกัน”
ลั่วซืออวี่พยักหน้า อุ้มนานนานขึ้นมา แล้วทั้งสามก็แปลงเป็นลำแสงทะยานมุ่งสู่ราชวงศ์เซียนเฉียนหลง