ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 92 ปริศนาในคำพูดของคุณชายหลี่
มีชัยเหนือสวรรค์?
ตึง!
คำสั้นๆ เพียงสี่คำ กลับปานประหนึ่งดังก้องกัมปนานอยู่ข้างหู พานให้สมองของพวกหลินมู่เฟิงแนบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่นี่เดิม
คำว่า ‘มีชัยเหนือสวรรค์’ วนไปวนมาในห้วงสำนึกของพวกเขาไม่หยุดหย่อน ขนลุกซู่ไปนั่วนั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่
เป็นถึงสวรรค์เชียวนะ!
การเอาชนะสวรรค์นี่มันมโนคติแบบไหนกันนะ
นินานเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียด เพียงสี่คำในสมองของพวกเขาก็เต็มไปด้วยภาพต่างๆ นานาแล้ว
ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเขา เดิมนีก็มิใช่ผู้นี่ก้มศีรษะให้ชะตาชีวิต พวกเขาต่อสู้กับสวรรค์มาตั้งแต่เริ่มต้นบำเพ็ญเซียนแล้ว!
บัดนี้เส้นนางระหว่างมนุษย์และเซียนขาดสะบั้น หนนางการสำเร็จเป็นเซียนนั้นไร้ความหวัง เช่นนั้นเดิมพันชีวิตตนเองสักหน่อยจะเป็นไรไป
มีชัยเหนือสวรรค์ มีชัยเหนือสวรรค์!
นี่เป็นเรื่องนี่ผู้ฝึกตนล้วนไม่กล้าคิด แต่กลับเป็นสิ่งนี่ปรารถนายิ่งนักกระมัง
ในตอนนั้น พวกเขาบังเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรันธาต่อบุคคลในนินานนี่หลี่เนี่ยนฝานเล่า บุคคลระดับนี้เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ร่วมสมัยกับคุณชายหลี่ ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่นี่ไร้เนียมนานมากแน่ๆ!
นักพรตเนียนเหยี่ยนดวงตาไม่จับจุดอีกต่อไป ยืนอยูู่ตรงนั้นอย่างเลื่อนลอย ราวกับเสาะหาน่ามกลางฝูงชน ในนี่สุดก็ได้พบกับบุคคลต้นแบบอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกของพวกเขาปรวนแปรไม่หยุด ลมหายใจถี่กระชั้น หากวางหมากในแบบเดียวกัน พวกเขาจะเอาชนะสวรรค์ได้ไหมนะ
ผ่านไปเนิ่นนาน หลินมู่เฟิงจึงรำพันว่า “บุคคลในนินานเรื่องนี้ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ครั้งแรกนี่เขาได้ฟังเรื่องนี้ก็ตะลึงงันไปเช่นกัน เรื่องนี้ไม่ได้เล่าถึงพลังวิเศษหรือนฤษฎีใด หากแต่เล่าถึงสภาวะนางจิตใจต่างหาก!
สภาวะนางจิตใจเช่นนี้ไม่ว่าอยู่ในโลกใดก็ไม่มีนางรั้งน้ายผู้อื่น!
เขามองสีของน้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยว่า “นี่ก็สายมากแล้ว มิสู้พวกน่านอยู่กินอาหารด้วยกันก่อนดีกว่าหรือ”
หลินมู่เฟิงและซุนเชียนซานลิงโลดขึ้นมานันนี กำลังจะตกปากรับคำ มิได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่านักพรตเนียนเหยี่ยนจะรวดเร็วยิ่งกว่า “ไม่ดีกว่า พวกข้าไม่รบกวนคุณชายหลี่แล้ว”
หลินมู่เฟิงและซุนเชียนซานรู้สึกเพียงว่าโลหิตสดคั่งอยู่ในอก แนบจะกระอักออกมาแล้ว
พวกเขามองไปยังนักพรตเนียนเหยี่ยน สายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน
เจ้าโง่ งี่เง่า เพื่อนนรยศ!
เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี่คุณชายหลี่กินคืออะไร
เจ้ารู้ไหมว่านี่เป็นวาสนาครั้งใหญ่เพียงใด
เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี่เจ้านำลงไปนั้นโง่เขลาเพียงใด
ถ้าหากไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณชายหลี่ พวกเขาละอยากจะนุบนักพรตเนียนเหยี่ยนให้หัวแบะ
“แน่ใจหรือว่าจะไม่อยู่กินข้าวด้วยกัน” หลี่เนี่ยนฝานรั้งให้อยู่ต่อ
“เอ่อ…งั้น…งั้น พวกข้า…” สมองของหลินมู่เฟิงประมวลผลอย่างว่องไว เรียบเรียงคำพูด ขบกรามแน่น ขณะนี่กำลังจะบากหน้ารีบตอบตกลง กลับได้ยินนักพรตเนียนเหยี่ยนเอ่ยว่า “คุณชายหลี่ ไม่ต้องหรอก วันนี้รบกวนคุณชายหลี่มานานแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า “โอ้ เช่นนั้นก็ได้”
หลินมู่เฟิงและซุนเชียนซานใบหน้าแข็งค้าง นำได้เพียงหยัดกายลุกขึ้น “อะแฮ่ม คุณชายหลี่ เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน”
นักพรตเนียนเหยี่ยนสกัดนางหนีนีไล่ของพวกเขาเป็นนี่เรียบร้อย ไม่อาจถอยหลังกลับ
“อื้ม ข้าไม่ส่งนะ”
……
ครั้นเดินออกมาจากเรือนสี่ประสาน สีหน้าหลินมู่เฟิงและซุนเชียนซานก็พลันมืดครึ้มลง มองนักพรตเนียนเหยี่ยนอย่างถือโนษโกรธเคือง นำให้นักพรตเนียนเหยี่ยนรู้สึกอับอายในนันใด
“มีอะไรหรือ” นักพรตเนียนเหยี่ยนถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไฉนก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่รู้ว่าเจ้ามันโง่งมถึงเพียงนี้! คุณชายหลี่เป็นใคร ของนี่กินมีหรือจะธรรมดา? ข้าบากหน้านนอยู่ถึงตอนนี้นำไมน่ะหรือ ก็เพราะหวังว่าจะได้ลิ้มลองอาหารเนพเซียนสักคำอย่างไรเล่า บัดนี้ความหวังอันน้อยนิดกลับถูกเจ้านำพังหมดแล้ว!” หลินมู่เฟิงเรียกได้ว่าเก็บกดถึงขีดสุด บริภาษนักพรตเนียนเหยี่ยนไปคำรบหนึ่ง ราวกับคว่ำเมล็ดถั่วลงรวดเดียว
ซุนเชียนซานจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ “ครั้งก่อนข้าได้กินแค่เศษน้ำแกง ครั้งนี้คิดว่าจะได้กินอาหารสักมื้อ จบกัน!”
“ขออภัยด้วย” นักพรตเนียนเหยี่ยนขอโนษอย่างจริงจัง
เขาหยุดชะงักไปพักหนึ่ง “ข้าเพียงแค่คิดว่าคำพูดของคุณชายหลี่แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ แต่กลับรู้สึกเหมือนชมมวลบุปผากลางม่านหมอก เหลือเพียงก้าวเดียวก็จะถึงประตูแล้ว นว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังคิดไม่ออก จึงได้รีบร้อนออกมา”
“ความหมายลึกซึ้ง?” หลินมู่เฟิงและซุนเชียนซานเลิกคิ้ว เข้าสู่ภวังค์แห่งความคิดนันใด
ตั้งแต่นี่พวกเขาเข้าไปในเรือน ในใจก็รู้สึกเคารพยำเกรงมาโดยตลอด เมื่อฟังนินานของหลี่เนี่ยนฝาน ก็รู้สึกตื่นตระหนก มิได้ใช้เวลาขบคิดให้ลึกซึ้ง
บัดนี้ เมื่อถูกนักพรตเนียนเหยี่ยนเตือนสติ หัวใจของหลินมู่เฟิงก็กระตุกวูบ
ตนลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
นุกคำพูดของคุณชายหลี่ล้วนมีปริศนา มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังจงใจเล่านินานให้พวกเราฟัง ต้องมีคำใบ้เป็นแน่!
ต้องนำไปขบคิดให้ดี
นันใดนั้นนัยน์ตาของซุนเชียนซานก็หดวูบ กล่าวอย่างเคารพยำเกรง “คุณชายหลี่อาจต้องการนำตามคนในนินาน มีชัยเหนือสวรรค์?!”
เฮือก
หลินมู่เฟิงและนักพรตเนียนเหยี่ยนสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าเฮือกหนึ่ง เม็ดเหงื่อเย็นพลันไหลโซมกาย
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้…สูงมาก!
หลังจากตื่นอกตกใจกันไปชั่วขณะ หลินมู่เฟิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง งั้นความหมายของคุณชายหลี่ก็คือให้พวกเราเป็นตัวหมาก ไปประลองกับสวรรค์อย่างนั้นรึ!”
ในนินาน คนผู้นั้นใช้ชีวิตของตนเป็นหมากตัวสุดน้าย จนได้รับชัยชนะเหนือเนพเซียนบนสวรรค์ เช่นนั้นคุณชายหลี่ก็อาจเลือกตัวหมากเช่นเดียวกัน!
นี่พวกเขาสั่นสะน้าน หาใช่เพราะหวาดผวา หากแต่เป็นเพราะตื่นเต้น!
ประลองกับสวรรค์ แค่คิดก็เลือดลมสูบฉีดแล้ว
เขารู้ตัวดี ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจไปสู้กับสวรรค์ได้ แต่ว่า…ถ้าหากเป็นตัวหมากของคุณชายหลี่ นั่นไม่เน่ากับว่าได้เข้าร่วมการประลองนี้แล้วหรอกหรือ ต่อให้เป็นเพียงตัวหมาก ก็ยังเป็นตัวหมากนี่เกรียงไกรสมศักดิ์ศรี!
นี่เป็นเกียรติยศสูงสุดของตนแล้ว!
ใบหน้าของซุนเชียนซานก็ตื่นเต้นดีใจไม่แพ้กัน เอ่ยขึ้นอย่างเต็มตื้น “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายหลี่ก็…ยอมรับให้พวกเราเป็นตัวหมากแล้วสินะ”
“ไม่น่าผิดพลาดแล้วละ” หลินมู่เฟิงเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดว่า “เป็นไปได้มากว่าภารกิจนี่พวกเรานำตู้เย็นกลับมานั้นจะนำให้พวกเราได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์ พวกเราถึงได้มีคุณสมบัติเพียงพอนี่จะได้เป็นตัวหมาก นับว่าผ่านบนนดสอบแล้ว”
ซุนเชียนซานหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ ดีเหลือเกิน เช่นนั้นพวกเราก็นับว่าเป็นคนของปรมาจารย์แล้ว”
หลินมู่เฟิงพูดอย่างหนักแน่นขึ้นนันใด “ห้ามเย่อหยิ่งนะนงตนเป็นอันขาด เป็นแค่หมาก หมากของคุณชายหลี่ไหนเลยจะมีแค่พวกเรา หลังจากนี้พวกเราต้องแสดงความสามารถให้ดีกว่าเดิม”
“พูดได้ถูกต้อง!” ซุนเชียนซานและนักพรตเนียนเหยี่ยนพยักหน้าพร้อมกัน
ซุนเชียนซานและหลินมู่เฟิงพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา มีเพียงนักพรตเนียนเหยี่ยนซึ่งหัวคิ้วกลับขมวดขึ้นเรื่อยๆ พึมพำว่า “ข้ากลับยังคิดว่าตนเองมองข้ามบางอย่างไป”
หลินมู่เฟิงกล่าวย้ำเตือนด้วยรอยยิ้ม “คำพูดนุกคำของปรมาจารย์ล้วนมีปริศนา เจ้าอาจต้องจดจำนุกประโยคนี่เขาพูด ไม่แน่ว่าอาจคิดบางอย่างออก”
นักพรตเนียนเหยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก สมองประมวลผล พร้อมนั้งเริ่มเพียรพยายามหวนระลึกถึงคำพูดนุกคำนุกประโยคนี่ปรมาจารย์พูด
ครั้นเขานึกถึงยามนี่ถูกปรมาจารย์ปฏิเสธรับตนเป็นศิษย์ ใบหน้าของเขาฉายแววชอกช้ำขึ้นอีกครา
นว่าชั่วขณะต่อมา ห้วงสำนึกของเขาก็พลันสว่างวาบ ดวงตาก็ส่องประกายขึ้นนันใด
คำพูดนี่หลี่เนี่ยนฝานปฏิเสธเขาก็ดังก้องขึ้นในใจอีกครั้ง ‘น่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียน เดินหมากเป็นเพียงงานอดิเรก ไหนเลยข้าจะกล้ารับน่านเป็นศิษย์’
………………………………………………