ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 98 ข้าเป็นโคมไฟที่คู่ควร
เฮือก
ปีศาจหิ่งห้อยน้อยหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ต่างคนต่างมองหน้ากัน ล้วนสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ของอีกฝ่าย
มีคนใช้ของวิเศษเช่นนี้…มาทำเป็นโคมไฟด้วยรึ
เหลือเชื่อ เหนือจินตนาการยิ่งนัก!
พวกมันหัวใจเต้นระส่ำ ชั่วขณะนั้น พวกมันก็พลันรู้สึกว่าการเป็นโคมไฟนั้นดีจริงๆ
หลังจากนั้นพวกมันก็มองไปยังหิ่งห้อยที่เหลือ แววตาก็เกิดร้อนรนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานหิ่งห้อยเหล่านี้ก็จะก่อเกิดสติปัญญา หากพวกตนทั้งสองไม่บากบั่น ก็ย่อมถูกพวกมันล้ำหน้าไปได้อย่างง่ายดาย
ตำแหน่งผู้นำมวลหมู่หิ่งห้อยก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว!
บำเพ็ญเพียร!
โชคดีที่มีวิธีบำเพ็ญเพียรแบบใหม่ ต้องทำให้บำเพ็ญเพียรได้เร็วขึ้นเป็นแน่!
พวกมันไม่กล้าเฉื่อยชา รีบโคจรพลังปราณในทันใด
ทว่าจากนั้น พวกมันก็ต้องงงงันไปอีกคำรบ เหล่าหิ่งห้อยทั้งหมดก็ตื่นตะลึง ราวกับถูกแป้งทอดไส้เนื้อชิ้นใหญ่หล่นใส่จนมึนตึ้บ สมองรู้สึกเพียงความมึนงง
พลังปราณที่นี่มันช่าง…
มากมายและเข้มข้นเกินไป!
นั่นทำให้ความรวดเร็วในการบำเพ็ญเพียรนั้นทบทวีขึ้นมหาศาล!
ถึงขั้นที่พวกมันรู้สึกได้ว่าเพียงสูดดมเบาๆ เพียงครั้งเดียว ก็เทียบได้กับการบำเพ็ญเพียรหนึ่งวัน!
นี่มันความเร็วระดับเทพเซียนอะไรกัน
ความเร็วระดับนี้ถึงขั้นทำให้มันจำต้องหยุดลง ไม่กล้าบำเพ็ญเพียรต่อ
“ใน…ในโคมไฟดวงนี้…ใส่อะไรไว้กันแน่นะ”
เสียงของปีศาจหิ่งห้อยน้อยหนึ่งในนั้นสั่นเครือ ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่นั้นเกินกว่าขอบเขตของสิ่งที่เขารู้ ราวกับปุถุ
ชนมายังตำหนักสวรรค์ ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัวระคนอยู่ด้วยกัน สัมผัสได้ว่าวิญญาณของตนนั้นสั่นสะท้าน
ปีศาจหิ่งห้อยอีกตนหนึ่งก็กลืนน้ำลายเช่นกัน พลางเอ่ยอย่างยากลำบาก “มะ…ไม่รู้ แต่มาคิดดูแล้ววัสดุเหล่านี้
ย่อมต้องเกินกว่าจะจินตนาการได้แน่!”
พวกมันเริ่มบินอยู่ในโคมไฟอย่างระแวดระวัง สายตาเปี่ยมความเคารพยำเกรงสอดส่องไปทุกซอกทุกมุม
ครั้นบินผ่านหิ่งห้อยซึ่งยังมิได้กำเนิดสติปัญญาขึ้นมา ก็แอบรู้สึกอิจฉาขึ้นมา ความไม่รู้นี่โชคดีจริงๆ เลยนะ! พวกเจ้ามาที่นี่ได้ นับว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่จริงๆ!
ในตอนนั้นเอง สายตาของพวกมันก็กระตุกวูบ เบนไปหยุดยังตำแหน่งซึ่งโครงไม้ประสานกัน บริเวณนั้นคล้ายกับว่าจะใช้กิ่งต้นหลิ่วเป็นเชือกเชื่อมโครงไม้ไว้
ครั้นเข้ามาใกล้ สัญชาตญาณของพวกมันก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าก้านต้นหลิ่วนี้เป็นสิ่งทรงพลังชวนครั่นคร้าม ต่อให้เป็นเพียงกลิ่นอายของก้านต้นหลิ่ว แต ต่ก็ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้
ผู้ยิ่งใหญ่!
ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!
พวกมันไม่กล้ามองก้านต้นหลิ่วอีก จึงสำรวจรอบด้านต่อไป
หลังจากนั้นก็เหลือเพียงส่วนที่เด่นชัดที่สุดของโคมไฟแล้ว ผ้าสีแดงนั้นแลดูเป็นเพียงผ้าสีแดงธรรมดา มิได้วิเศษวิโสแต่อย่างใด
ทว่า เมื่อพวกมันมองไปยังตัวอักษรคำว่า ‘โชคดี’ บนผืนผ้า
ทั้งร่างก็พลันสั่นสะท้าน ความรู้สึกลึกลับพิศวงก่อตัวขึ้น ทำให้สมองของพวกมันบวมเป่ง จวนเจียนจะแตก
นี่ก็เหมือนกับการมองดูสิ่งที่อยู่ระดับไกลกว่าตนมากโข เหมือนกับมดไรแหงนหน้ามองฟ้า สติสัมปชัญญะใกล้จะพังทลายอยู่รอมร่อ!
น่ากลัวเหลือเกิน!
ตัวอักษรนี้แฝงคำสอนอยู่!
พวกมันรีบหลุบตากลับมา ไม่กล้ามองไปสุ่มสี่สุ่มห้า มิหนำซ้ำยังหามุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่ง แล้วเข้าไปนั่งในท่าทางบำเพ็ญตบะอย่างเงียบงันตัวสั่นเทิ้ม แลดูอ่อนแอน่าเห็นใจเป็นท ที่สุด
หลี่เนี่ยนฝานและต๋าจี่กินอาหารเช้า โชคดีที่ป้าจางให้ไข่ไก่มาหนึ่งตะกร้า ทำให้มีอาหารคาวเพิ่มขึ้นมาในสำรับ
อาหารเช้าอันจืดชืด ทุกเช้าตรู่กินไข่ดาวทอด ต่อจากนั้นก็กินข้าวต้มเปล่าควบคู่กับผักดอง นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ถึงแม้อาหารเช้าจะไม่ได้หรูหราอู้ฟู่ แต่จะให้กินข้าวต้มเปล่าไปตลอดก็คงจะไม่เข้าท่า ถ้าหากมีขนมปังหรือนมเข้าคู่กันด้วยก็จะสมบูรณ์แบบไปเลย
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ หลี่เนี่ยนฝานก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา จึงมองไปยังโคมไฟซึ่งอยู่ไกลออกไป ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“จริงสิ แล้วหิ่งห้อยกินอะไรล่ะ”
กว่าจะได้มาซึ่งแหล่งกำเนิดแสงที่ดีงามขนาดนี้นั้นแสนยากลำบาก ถ้าหากปล่อยให้อดตาย ย่อมเสียหายอย่างใหญ่หลวง มิหนำซ้ำคนเขาอุตส่าห์มาส่องแสงให้ตนเอง ตนก็ควรปฏิบัติต่ออีกฝ่า ายอย่างเต็มที่
ต๋าจี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปอย่างไม่มั่นใจ “เหมือนจะเป็น…น้ำค้างกระมัง”
“น้ำค้าง” หลี่เนี่ยนฝานชะงักไป ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้ารู้แค่ว่าเทพธิดาดื่มน้ำค้าง ตอนนี้มีหิ่งห้อยมาเพิ่ม
อีกแล้วเหรอ”
เขามองโคมไฟ เอ่ยปากว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้น้ำข้าวต้มแทนได้ไหม”
ไม่ทันไร เขาก็นำน้ำข้าวต้มใส่เข้าไปในโคมไฟ ตั้งใจจะลองดูสักหน่อย
ทันทีที่น้ำข้าวต้มเข้าไปในโคมไฟ ปีศาจหิ่งห้อยน้อยก็สะดุ้งโหยง บัดนี้พวกมันเป็นเหมือนกับนกตื่นคันศร เหมือนกับวณิพกเห็นคฤหาสน์ ตัวสั่นเทิ้มไม่กล้าส่งเสียง
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ปุถุชนคนนั้นยื่นเข้ามาก็คือน้ำข้าวต้มเปล่า ก็พลันพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นก็เริ่มมองประเมินน้ำข้าวต้มอย่างสงสัยใคร่รู้
นี่คือ…ข้าวต้มหรือ?
เมื่อเทียบกับน้ำค้างแล้ว น้ำข้าวต้มจะมีสีขาวและเหนียวมากกว่า ส่งกลิ่นหอมกรุ่นแปลกประหลาดบางอย่าง ทำให้ในใจของพวกมันเกิดความปรารถนาจะกินลงท้อง
อยากลองสักหน่อย
ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นปีศาจ สิ่งที่กินล้วนมีเพียงน้ำค้าง หลังจากกลายเป็นปีศาจแล้ว พวกมันยังอดฝันหวาน
ไม่ได้ว่าหากไม่ใช่สุราชั้นยอดจะไม่กิน
ลึกๆ ในใจนึกรังเกียจข้าวต้มที่ปุถุชนดื่มอยู่บ้าง
ทว่าข้าวต้มหอมหวนยั่วยวนใจเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่มอบให้ ไหนเลยจะกล้าไม่กินเล่า
ลองเลียสักคำดีไหมนะ
พวกมันค่อยๆ บินไป อ้าปากเล็กน้อยพลางขยับเข้าไปใกล้น้ำข้าวต้มสีขาวนั้น
ซู้ด
มันดูดเบาๆ ทันทีที่น้ำข้าวต้มไหลลงลำคอไป กลิ่นหอมกรุ่นก็กำจายไปทั่วตุ่มรับรส พานให้ทั้งร่างของพวกมันสั่นสะท้าน
อร่อย อร่อยเหลือเกิน!
ที่พวกมันกินน้ำค้าง ก็เพราะรู้สึกว่าน้ำค้างนั้นบริสุทธิ์ ทั้งยังระคนกลิ่นหอมและรสหวานด้วย บัดนี้พวกมันค้นพบว่าน้ำข้าวต้มนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้บริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าน้ำค ค้าง มิหนำซ้ำ…รสชาติยังอร่อยจนตัวแทบระเบิด ยากที่จะลืมไปชั่วชีวิต
บนโลกนี้ถึงกับมีอาหารที่รสเลิศเพียงนี้เชียวหรือ!
ในใจของพวกมันบังเกิดความรู้สึกเต็มตื้นบางอย่าง ราวกับว่าการได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะเช่นนี้เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ทั้งร่างแมลงกระจิริดของมันอิ่มเอมเหลือคณา
กระนั้น พวกมันยังไม่ทันได้ดื่มด่ำในรสชาติอย่างถี่ถ้วน พลังปราณในร่างกลับพลุ่งพล่านขึ้นฉับพลัน ราวกับ
ภูเขาไฟซึ่งนิ่งสงบมายาวนาน วันดีคืนดีก็ปะทุขึ้นมา
รุนแรงสุดขีด!
หวึ่ง!
ขณะเดียวกันนั้นเอง พวกมันก็รู้สึกว่าสติปัญญาของพวกมันได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครา ความตื่นรู้แจ่มแจ้งทะลักทลายเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าประหนึ่งกระแสน้ำ ราวกับว่าจะกรอกเข้ามาจ จนสมองเล็กๆ ของพวกมันใหญ่ขึ้น
จากนั้น ร่างกายของพวกมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น
หนึ่งในปีศาจตัวน้อยเริ่มเสียงแหบพร่า คล้ายกับกำลังฝืนทนอย่างยากลำบาก “ไม่ได้การละ เหมือนว่าข้าจะทะลวงขั้นแล้ว”
ปีศาจหิ่งห้อยอีกตัวหนึ่งก็บอกอย่างขมขื่นว่า “ข้าก็เหมือนกัน!”
เมื่อก่อนตนพยายามทุกวิถีทางเพื่อทะลวงขั้น แต่ก็ไม่นำพา บัดนี้ถึงกับทะลวงขั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ตนกลับยังฝืนอดกลั้นไว้ เหมือนเป็นความฝันไม่ผิดเพี้ยน
“กะ…กดไม่ไหวแล้ว!” ร่างของปีศาจน้อยเริ่มขยายใหญ่ขึ้น พูดอย่างร้อนรน “จะตัวใหญ่กว่านี้ไม่ได้ ห้ามตัวใหญ่ขึ้น ข้าต้องเป็นโคมไฟอันไร้ความรู้สึก เมื่อใดที่ตัวใหญ่ขึ้นเร รื่องจะต้องแดงแน่”
“โคมไฟ โคมไฟ? ข้าเข้าใจแล้ว!”
ปีศาจหิ่งห้อยอีกตัวหนึ่งเปรมปรีดิ์ถึงจิตวิญญาณ แผดเสียงร้องว่า “พวกเรารีบรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่หาง เพื่อให้เป็นโคมไฟที่คู่ควรกันดีกว่า!”