ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 99 เลอะเลือนยามชรา
ปีศาจหิ่งห้อยน้อยทั้งสองตัวใช้พลังทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง แรงกดทั้งร่างเบาลงเรื่อยๆ และแสงไฟในส่วนหางก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
“ฟู่”
พวกมันผ่อนลมหายใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว เกรงว่าพวกมันคงถูกพลังที่เกิดขึ้นฉับพลันระเบิดเป็นจุณไปเสียแล้ว
พวกมันเหลือบมองน้ำข้าวต้มอย่างกระวนกระวาย ในใจตื่นตระหนกถึงขั้นสุด
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ แม้แต่ข้าวต้มเปล่าที่กินยังเลอค่า ตนกินเข้าไปเพียงคำเดียวก็สัมฤทธิ์ผลได้มากเพียงนี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและปรมาจารย์ท่านนั้นกินกันเป็นชามๆ หรู หราน่าดู!
โคมไฟที่พิเศษเช่นนี้ ข้าวต้มเปล่าที่อันน่าพิศวงเช่นนี้
มิน่าเล่าพลังตบะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงได้ทบทวีขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะได้พบปรมาจารย์นี่เอง
นางบอกว่าจะมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้พวกเรา ก็ย่อมเป็นวาสนาที่ไม่กล้าปรารถนาจริงๆ!
เมื่อได้ติดตามปรมาจารย์ระดับนี้ ต่อให้นึกไม่อยากรุ่งโรจน์ในภายภาคหน้าก็เห็นจะยาก!
หลี่เนี่ยนฝานพลันสังเกตเห็นว่าแสงของโคมไฟสว่างขึ้นเรื่อยๆ ก็ผุดยิ้มออกมา “เห็นทีพวกมันคงจะชอบกินข้าวต้มมาก ดีใจจนเปล่งแสงมากขึ้นเชียว”
ต๋าจี่พยักหน้า เอ่ยเสียงเบา “อื้ม ไม่ใช่ว่าใครจะได้ลิ้มลองข้าวต้มเปล่าของคุณชายง่ายๆ”
“ฮ่าๆๆ เรื่องอาหารเนี่ยนะ ข้าไม่กลัวใครอยู่แล้ว” หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะร่า จากนั้นจึงพูดอย่างปวดใจ “แต่ว่าพวกมันส่องแสงแบบนี้ไม่ได้ ถึงแม้จะไม่เปลืองพลังงานไฟฟ้า แต่ก็เปลื องแรงกาย ตอนกลางวันไม่ต้องส่องแสง รอให้ถึงเวลาที่ต้องการค่อยบอกก็แล้วกัน”
เขาพูดไม่ทันขาดคำ แสงสว่างของหิ่งห้อยกลุ่มนั้นในโคมไฟก็ดับลงในชั่วพริบตา
หลี่เนี่ยนฝานอดทอดถอนใจไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นโลกบำเพ็ญเซียน แม้แต่หิ่งห้อยก็ล้วนมีสติปัญญา”
……
ทางตอนเหนือของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
นี่เป็นดินแดนแห่งดินเหลือง ถึงขนาดที่โดยรอบมีต้นไม้ขึ้นอยู่น้อยนัก ดวงอาทิตย์บนท้องนภาส่องแสงแผดเผา ทำให้อุณหภูมิของพื้นที่แห่งนี้สูงกว่าที่ใด
ยามนั้น หญิงชราคนหนึ่งพาเด็กผู้หญิงรีบร้อนเดินทาง
หญิงชราบอกกับเด็กหญิงอย่างอดไม่ได้ “นานนาน ใกล้จะถึงแล้ว มากับข้าทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
ระหว่างทางนางขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก นานนานมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไยจึงส่งนางมาให้สำนักเล็กๆ ไร้ชื่อ
เสียงซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่แร้นแค้นอย่างสำนักข้าด้วยเล่า
หรือว่าจะเป็นแผนการของปรมาจารย์
แม้นางจะมีพลังไม่สูงนัก แต่ถึงอย่างไรก็บำเพ็ญตบะมาหลายร้อยปี พบเห็นโลกมามาก ได้ยินว่าโดยปกติแล้วปรมาจารย์ไปทำสิ่งใด ทุกย่างก้าวจะแฝงความหมายล้ำลึก ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเ เข้าใจได้
ยากนักที่ปรมาจารย์จะเห็นสำนักจินเหลียนของข้าอยู่ในสายตา
ไม่ว่าอย่างไรตนก็ต้องดูแลนานนานเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้นางมีแม้แต่รอยขีดข่วน!
เส้นทางซึ่งเดิมทีใช้เวลาเพียงวันเดียว แต่นางกลับใช้เวลาลากยาวไปสามวัน เพียงเพราะนางโชคหล่นทับในชั่วข้ามคืน ในแหวนมิติเต็มไปด้วยของล้ำค่านับไม่ถ้วน จึงกลัวว่าจะถูกโจรกร รรมเข้า
นอกจากนั้นแล้ว นางยังพานานนานมาด้วย จึงยิ่งจำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยของนานนานให้ได้
ฉะนั้นนางจึงระแวดระวังไปตลอดทาง ถ้าหากมีโอกาสเกิดอันตรายอันไม่คาดฝัน ก็มักจะเดินทางอ้อมไป
ในที่สุดวันนี้ก็เดินทางเข้ามาในพื้นที่ในอาณัติของสำนักจินเหลียน
“ไม่เป็นไรอาจารย์” นานนานส่ายหน้า เอ่ยเร่งเร้า “เรื่องเกี่ยวกับสำนักจินเหลียนท่านเพิ่งเล่าไปแค่ครึ่งเดียวเอง
ต่อไปเป็นอย่างไรหรือ สำนักเทียนเตาให้พวกเรายืมโอสถวิเศษหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่” หญิงชราส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น “ไม่เพียงไม่ให้ยืม แต่ยังเหยียดหยามพวกเราด้วย หากไม่ใช่เพราะสำนักจินเหลียนของพวกเราไม่มีอำนาจอยู่บ้าง ป่านนี้คงถูกผนวกรวมไปแล ล้ว”
นานนานพูดต่อด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “โอ้ ถ้างั้นหลังจากนั้นเป็นอย่างไรหรือ”
หญิงชรายิ้มแย้มอธิบายเรื่องต่อจากนั้น
นางพบว่าลูกศิษย์ซึ่งนางเพิ่งรับมาใหม่นั้นใฝ่รู้เรื่องประวัติของสำนักจินเหลียนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยัง
สนอกสนใจเรื่องราวต่างๆ ในโลกบำเพ็ญเซียน และนางเองก็ไม่อาจปิดปากเงียบงัน สามวันมานี้นางแทบจะเล่าทุกเรื่องที่รู้ไปจนหมดแล้ว
ทั้งสองมาถึงประตูสำนักจินเหลียน
เรียกว่าประตูสำนัก ทว่าความจริงแล้วดูอัตคัดยิ่งนัก ประตูใหญ่ด้านนอกใช้เพียงดินเหลืองก่อขึ้นอย่างเรียบง่าย หนำซ้ำยังเป็นรอยเว้าแหว่ง เห็นได้ชัดว่าปราศจากการซ่อมแซมมานาน
เดินเข้าประตูไป ด้านในมีเพียงสิ่งก่อสร้างน้อยนิด ตำหนักใหญ่แลดูใหญ่โตพอตัว ทว่าบนนั้นกลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา หลายจุดบนรั้วถูกลมพัดจนแห้งกรอบ ลูกศิษย์มีบางตา เป็นบรรยากาศวังเวงและทรุดโทรมจับใจ
หญิงชราพานานนานเข้าไปยังบริเวณใกล้เรือนของตน ที่นี่อยู่ใกล้กับตำหนักใหญ่มาก เมื่อมองดูจากภายนอกแล้วนับว่าเป็นเรือนพำนักซึ่งดูดีที่สุดในสำนักจินเหลียนแล้ว
“นานนาน หลังจากนี้ที่นี่ก็เป็นห้องของเจ้าแล้ว ข้าอยู่ห้องข้างๆ นี้เอง มีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้ ไม่ต้องกลัวรบกวน” หญิงชราบอกกับนานนานอย่างใจดี ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าร รออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาพี่สาวข้า”
พูดจบนางก็ทะยานลำแสงตรงไปยังเรือนเล็กด้านข้างตำหนักใหญ่
นางเข้าไปยังห้องหนึ่งในเรือนเล็กด้วยสีหน้าร้อนรน ผลักประตูเข้าไปทันใด “ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว!”
หญิงชราคนหนึ่งนอนหลับตาอยู่บนเตียง อ่อนแรงเต็มทน
นางก็คืออู๋หานเยียน พี่สาวของหญิงชรา
เส้นผมของนางสีขาวโพลนยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แลดูเป็นผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่งเต็มที เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ถึงแม้จะอายุมากกว่าหญิงชราสามปี แต่มองดูประหนึ่งแก่กว่าหลายสิบปี!
หว่างคิ้วของนางปรากฏกลิ่นอายดำทะมึน นี่เป็นสัญญาณว่าพิษร้ายหมายเอาชีวิตแล้ว
คำพูดของหญิงชราทำให้ดวงตาซึ่งปิดสนิทของนางสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
เสียงอันแหบพร่าอ่อนแรงดังขึ้น “ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ครั้งนี้ได้สิ่งใดมาบ้างเล่า”
หญิงชราเอ่ยอย่างเต็มตื้น “ท่านพี่ ครั้งนี้ข้าได้ลูกศิษย์ที่ไม่เป็นสองรองใครมาคนหนึ่ง!”
“จริงหรือ”
อู๋หานเยียนเดิมทีคิดว่าไม่มีหวังเท่าไรนัก ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าอ่อนละโหยโรยแรงเริ่มมีสีเลือดฝาด รีบกล่าวว่า “หรือว่าจะเป็นรากปราณระดับกลาง?”
หญิงชราส่ายหน้า “ไม่ใช่”
น้ำเสียงของอู๋หานเยียนสั่นเครือ “ชะ…เช่นนั้นก็เป็นอัจฉริยะรากปราณระดับสูง?”
หญิงชรายังคงส่ายหน้า “ก็ไม่ใช่ นางเป็นเพียงรากปราณระดับล่าง”
ดวงตาของอู๋หานเยียนซึ่งพราวประกายพลันหม่นลงในชั่วพริบตา ยิ้มขมขื่นพลางกล่าว “เจ้านี่นะ แกล้งให้ข้าดีใจก่อนตาย”
หญิงชรารีบเอ่ย “ท่านพี่ ข้าไม่ได้แกล้งท่าน รากปราณนั้นไม่เพียงพอให้ตัดสินลูกศิษย์คนนี้ นางเป็นวาสนาของสำนักจินเหลียนของพวกเรา! ครั้งนี้…สำนักจินเหลียนของพวกเราต้อง รุ่งเรืองเป็นแน่!”
“เจ้ารู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่” อู๋หานเยียนหันไปมองหญิงชราอย่างทนไม่ไหว ฉับพลันก็พบว่าน้องสาวของตนแก่ชราลงมากโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อก่อนเป็นดรุณีน้อยวัยแรกแย้มเปี ยมชีวิตชีวา บัดนี้ร่วงโรยเป็นหญิงชราผู้เดียวดายสองคน
ชั่วขณะนั้น ความทุกข์ตรมก็พลันถั่งโถมในใจของนาง เอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว ต้องแบกรับความกดดัน จนทำให้เจ้าเลอะเลือนยามชรา เริ่มฝันกลางวันไปลมๆ แล้งๆ เ เอาเถิด เอาเถิด เมื่อข้าตายไป เจ้าก็ยุบสำนักจินเหลียนเสีย…”