ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 10 ดินหนึ่งกำ หญิงงามโครงกระดูกขาว
ออกจากประตูตะวันตกของเมืองเฟิงหลิน เดินตามถนนทางหลวงตรงไปประมาณเจ็ดแปดลี้ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเดินเข้าทางลัด ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็จะเห็นแม่น้ำหลิวขจีที่มีต้นหลิวทอดกิ่งเรียงรายอยู่ริมฝั่ง
ตอนนี้สายลมราตรีพัดโชย จันทร์กระจ่างสะท้อนเงาอยู่กลางประกายน้ำ ระยิบระยับไปทั่ว
เมื่อเจียงวั่งเดินออกมาจากทางลัด ก็เห็นแผ่นหลังผอมบางของหลิงเหอยืนนิ่งอยู่ริมน้ำเหมือนต้นไม้โดดเดี่ยว
“เฮ้อ ไหนให้ข้าดูซิๆ” เจ้าหรู่เฉิงกระโดดไปตรงหน้าเขา เอียงคอพูดว่า “ต้องแอบร้องไห้อยู่แน่เลยใช่หรือไม่”
หลิงเหอเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย “พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
“เสียงของท่านแหบนิดๆ แล้ว จะต้องร้องไห้มาแน่ๆ!”
ตอนนี้เอง เสียงใหญ่ๆ ดังมาจากพงหญ้าริมน้ำ “เจ้าคนแซ่เจ้า บางครั้งเจ้าก็กวนประสาทมากรู้ตัวหรือไม่”
“พี่หู่ ท่านก็อยู่ด้วยหรือ” เจ้าหรู่เฉิงหดคอ ตู้เหยี่ยหู่เป็นชายป่าเถื่อน ถ้าพูดไม่เข้าหูก็จะลงมือของจริง ทั้งยังไม่สนใจใบหน้างดงามของเขาด้วย
“ข้าดื่มเหล้าที่นี่อยู่แล้ว” ตู้เหยี่ยหู่เอ่ยอย่างไม่ชอบใจ กลิ่นเหล้าทั่วร่างโชยมาตามสายลมกลางคืน “ไม่นึกว่าเขาจะแบกเจ้านั่นมา ซวยเสียจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ! จะฝังไปเพื่ออะไร” เจ้าหรู่เฉิงรับคำ “คนโหดเหี้ยมชั่วร้ายแบบนี้สมควรโยนทิ้งลงแม่น้ำ ให้ไหลไปตามน้ำ ให้ปลาให้กุ้งกิน”
เจียงวั่งมองไปทางที่ตู้เหยี่ยหู่เดินออกมาแวบหนึ่ง “ท่านฝังไว้ตรงนั้นหรือ”
“น้องสาม” ด้วยคำนึงถึงจิตใจของเจียงวั่ง หลิงเหอจึงอธิบาย “ข้าไม่ลืมความเลวร้ายของเผิงจวี่ แต่ความดีของเขาข้าก็ยังจำได้เช่นกัน ฐานะบ้านข้าไม่ดี กินไม่อิ่มท้องเสมอ เผิงจวี่มักจะใช้ข้ออ้างให้ข้าชี้แนะการต่อสู้ รั้งข้าเอาไว้ไม่ให้ไปจวบจนถึงเวลากินข้าว เขาตายก็สมควรกับโทษแล้ว แต่ข้าไม่อาจทนดูร่างเขาถูกทิ้งอยู่ในป่าพง…แน่นอนว่าเจ้าก็ดีกับข้าเหมือนกัน การแข่งขันสังหารวัวดำในตอนนั้น เพื่อช่วยข้าแล้วเจ้า…”
“พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน” เจียงวั่งตัดบทเขา “ตอนพ่อข้ายังมีชีวิตก็บอกข้าว่าผู้ใหญ่กับเด็กไม่เหมือนกัน สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำให้ได้เป็นอย่างแรกคือแสวงหาจุดร่วม รักษาความเห็นที่ต่างกันไว้ เรื่องอย่างข้าไม่เล่นกับเขา เจ้าก็ไปเล่นกับเขาไม่ได้แบบนั้น นั่นคือเด็กน้อย ท่าน ฟางเผิงจวี่ และข้า พวกเราพูดกันเป็นเรื่องๆ ไป ข้าไม่มีผลต่อความเอาใจใส่และการให้ความสำคัญที่ท่านมีให้เขา และท่านก็ไม่ได้เป็นปัจจัยให้ข้าตัดความสัมพันธ์กับเขาเช่นกัน”
“เป็นเหตุผลนี้เอง” หลิงเหอพูด
เขาหันมองริมฝั่งแม่น้ำหลิวขจียามค่ำคืนทั้งซ้ายและขวา “รู้สึกภาพยังชัดเจนเหมือนเมื่อวานเลย ที่นี่เปลี่ยนไปไม่มาก แต่พวกเราล้วนเปลี่ยนไปแล้ว”
“ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวในโลกที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือเปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์” เจ้าหรู่เฉิงพูดประโยคนี้อย่างลึกซึ้งจบ ก็เขยิบมาตรงหน้าหลิงเหออย่างไร้ยางอาย “ฝังศพคนไม่ต้องดึกขนาดนี้ก็ได้ พวกท่านสองคนกอดกันร้องไห้คร่ำครวญใช่หรือไม่”
เพิ่งพูดจบ เขาก็โดดผลุงขึ้นมา หลบหน้าแข้งของตู้เหยี่ยหู่ที่เตะเข้ามาอย่างรวดเร็วได้ว่องไวยิ่ง
“จิ๊ๆๆ อายแล้วพาลโกรธ…” เขาพูดคำท้าทายได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็รีบประสานมือโค้งคำนับ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วพี่หู่”
ตู้เหยี่ยหู่กำหมัดหักนิ้วไล่ตามไป “ใช่แล้ว ข้ากำลังจะกอดคอเจ้าร่ำไห้คร่ำครวญสักหน่อยพอดี”
ขณะมองคนทั้งสองต่อยตีกัน หลิงเหอเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเรื่อยว่า “แต่ข้าเชื่อว่าบางอย่างจะไม่มีทางเปลี่ยนไป”
“คำพูดของท่านข้าเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง” เจียงวั่งกล่าว
การ ‘แลกเปลี่ยนฝีมือ’ ระหว่างตู้เหยี่ยหู่และเจ้าหรู่เฉิง ไม่รู้ว่าทำไมภายหลังถึงกลายเป็นตะลุมบอนกันสี่คน ทั้งหมัดทั้งเท้า ต่างฝ่ายต่างหาวิธีโจมตีกัน สู้จนสุดท้ายแต่ละคนหอบหนัก แล้วก็พร้อมใจกันหัวเราะ กอดกันร่ำไห้
หากคืนนี้มีคนเดินผ่านมาแถวแม่น้ำหลิวขจี เกรงว่าคงจะมีข่าวลือประเภทผีพรายน้ำแพร่ไปทั่วแล้ว
สุดท้ายพี่น้องสี่คนก็เดินเคียงกันไปจากแม่น้ำหลิวขจี ไปจากสถานที่ที่บันทึกช่วงวัยหนุ่มและมิตรภาพเอาไว้แห่งนี้
ไม่มีใครพูดอะไรอีก
เพียงแต่สุดท้ายเจ้าหรู่เฉิงหันกลับมาเอ่ยงึมงำประโยคหนึ่งว่า
“ไปถึงทางนู้นก็อย่าได้ทำร้ายสหายอีกเล่า เจ้าบ้า”
……
แสงจันทร์สาดส่องแม่น้ำหลิวขจีที่เปล่งประกายระยิบระยับ และยังทอแสงมายังหลังคาผุพังของอารามเต๋าหวนสัจจะด้วยเช่นกัน
ไม่รู้เป็นเพราะแสงจันทร์ด้วยหรือไม่ ใบหน้าของคนสองคนที่กำลังพูดอยู่ในอารามเต๋าร้างแห่งนี้จึงดูขาวซีดยิ่ง
หนึ่งในนั้นเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง นางสวมชุดสีแดงสดทั้งร่าง รูปร่างอรชร มีส่วนโค้งเว้าชัดเจน โดยเฉพาะความขาวสว่างบริเวณคอเสื้อที่แบออกเล็กน้อย ช่างเจิดจ้าเสียจนคนละสายตาไปไม่ได้
ใบหน้าของนางขาวซีดมากไปสักหน่อย ตามหลักแล้วต้องบอกว่าดูอ่อนแอขี้โรค แต่นางกลับให้ความรู้สึกงามเพริศพริ้งน่าตะลึงบางอย่าง คงเป็นเพราะริมฝีปากแดงที่สีสดเกินสมควรนั่นกระมัง
นางนั่งบนโต๊ะวางกระถางธูปที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างไม่รังเกียจ งดงามเหลือหลายแต่กลับเยือกเย็นนัก
นางใช้นิ้วก้อยแตะริมฝีปากแดงเบาๆ พลางพูดขึ้นว่า “พวกขอทานในอารามตายหมดแล้ว ชวนให้กลัดกลุ้มเสียจริงๆ พวกเราจะเอาอะไรไปเชิญโองการเทพกันเล่า”
เสียงเอ่ยเหมือนวนรอบใยแมงมุมตรงมุมหลังคา แล้วจึงไปยังที่ที่มันควรจะส่งไปถึง ฟังดูวังเวงเล็กน้อย
“วิญญาณของผู้ฝึกตนคนหนึ่งก็พอแล้ว”
คนที่พูดยืนอยู่หน้าประตู เขาต่างไปจากสตรีชุดแดง เหมือนแม้แต่ครึ่งเท้าก็ไม่ยอมเหยียบเข้าไปในอารามเต๋าผุพังที่สกปรกแห่งนี้ ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยปิดจมูกไว้
“เฮอะๆ แค่พูดน่ะง่าย” สตรีชุดแดงเอ่ย “พวกเราฆ่าคนธรรมดาสองสามคนยังต้องทำลับๆ ล่อๆ ถ้าสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งเล่า ไม่กลัวสำนักเต๋ารัฐจวงจะบุกมาหาถึงที่หรือไร”
“ในเมืองมีคนหนึ่งก็นับคนหนึ่ง ไม่ว่าช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตาย” บุรุษผู้นั้นพูดๆ ไปก็ขมวดคิ้ว “พวกเราต้องเลือกมาพูดกันในที่แบบนี้ด้วยหรือ”
สตรีชุดแดงหัวเราะ “จั่วกวงเลี่ยผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าดับสูญที่นี่ คนในรัฐจวงพลิกหาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง รอบๆ ไม่มีที่ไหนสะอาดกว่าที่นี่แล้ว”
ครั้นพูดถึงจั่วกวงเลี่ย นางหลับตาลงเล็กน้อย สีหน้าฉายแววหลงใหล แม้แต่ใบหน้าที่ขาวซีดก็แดงเรื่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ข้าเหมือนยังได้กลิ่นกลิ่นอายความห้าวหาญของเขาอยู่เลย”
“กลับเข้าเรื่อง” บุรุษคนนั้นตัดบทจินตนาการของนางด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เว่ยชวี่จี๋ไม่ใช่คนที่จะตอแยได้ง่ายๆ ตอนนี้ยังมีต่งเออเข้ามาอีก พวกเราจะต้องรีบหาผู้สืบทอดมรรคาให้เจอโดยเร็ว คนเถื่อนรัฐฉู่รัฐฉินพวกนั้นสู้กันที่นี่ ทำให้จัดการสังเวยที่อารามเต๋าหวนสัจจะไม่ได้แล้ว ข้าว่า เทียบกับการหลบๆ ซ่อนๆ จับคนธรรมดาจำนวนหนึ่งอยู่เรื่อยๆ มิสู้สังเวยผู้ฝึกตนคนหนึ่งเลยยังจะง่ายเสียกว่า”
“วิธีรนหาที่ตายไม่ได้มีแค่วิธีเดียวเสียหน่อย ไยเจ้าต้องยึดติดกับเรื่องนี้ด้วย ใช้กระบี่ปาดคอเลยไม่ดีหรือ หรือไม่ก็เรียกสายฟ้าใส่ตัว”
บางทีอาจจะเพราะไม่สบอารมณ์จากการถูกขัดจินตนาการ สตรีชุดแดงลืมดวงตางดงามขึ้นมาและเก็บรอยยิ้มไป “ก่อนที่ผู้สืบทอดมรรคาจะปรากฏตัว ทางที่ดีเจ้าควรรู้ว่าอะไรเรียกว่าถ่อมตน!”
บุรุษคนนั้นคล้ายโมโหบ้างแล้วเหมือนกัน ปิดจมูกพูดว่า “เมี่ยวอวี้! ทำเหมือนว่าการโจมตีสำนักเต๋าเฟิงหลินไม่ใช่ความคิดของเจ้าอย่างนั้นแหละ! ตอนนี้ทำเอาทั้งเมืองมีลมฝนกระหน่ำ ดีไม่ดีการใหญ่ของพวกเราจะเป็นเรือล่มเมื่อจอด!”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เรื่องเหนือความคาดหมายมีมากมาย! ใครจะไปคิดว่าจั่วกวงเลี่ยจะตายแบบนี้ ทั้งยังทำลายแผนสังเวยของเราพอดี ใต้แม่น้ำลืมเลือน โครงกระดูกขาวอยู่เงียบเหงานานเกินไปแล้ว! จะให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันไม่ได้อีก! เมืองเฟิงหลินในตอนนี้ ต่งเออสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเราจะต้องกระจ่างในพลังและขีดจำกัดล่างของเขา! การเสียสละในระดับหนึ่งยากจะเลี่ยงได้ อีกอย่าง…”
สตรีชุดแดงนามเมี่ยวอวี้เลียริมฝีปาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าขอทานในอารามเต๋าร้างนี้ไม่ได้ตายกันหมด ในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ข้าได้กลิ่นที่คุ้นเคยด้วย…”
สภาพแวดล้อมที่สกปรกทำให้บุรุษผู้นั้นยิ่งหมดความอดทน “แค่ความเป็นตายของขอทานคนหนึ่ง คู่ควรให้ข้าสนใจหรือไร”
คราวนี้เมี่ยวอวี้ทำเพียงบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจ เรือนร่างงดงามปรากฏให้เห็นหมดสิ้น “โง่เง่า”
บุรุษคนนั้นหรี่ตาลง ปกปิดความปรารถนาที่ปรากฏขึ้นแล้วพลันหายไปในดวงตา “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงในนามของผู้สืบทอดมรรคาแล้วจะบังอาจได้เช่นนี้ หลายพันปีมานี้ในสำนักมีธิดาเทพเยอะแยะไป รอผู้สืบทอดมรรคาปรากฏกายแล้ว เขาจะรับเจ้าไว้หรือไม่ยังต้องรอดูกันอีก”
“หญิงงามสุดท้ายก็คือโครงกระดูกขาว ว่างเปล่าเป็นภาพมายา เจ้ายังมองไม่ทะลุปรุโปร่งอีกหรือ”
“หึๆๆๆ” บุรุษคนนั้นหมุนตัวเดินออกไปนอกอารามเต๋า “ข้าจะมองทะลุหรือไม่แล้วเกี่ยวอะไรด้วย เอาตามนั้นนั่นแหละ”
ผ่านไปนาน เสียงพึมพำที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนถึงได้ดังขึ้นเบาๆ ในอารามเต๋าร้างที่เงียบเหงาและทรุดโทรม เหมือนกับแสงจันทร์แผ่ระลอกออกไป
“เขาจะไม่รักข้าได้อย่างไร จะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร ข้าคอยเคียงข้างมานานขนาดนี้ รอมานานขนาดนี้…”
………………………………………………………