ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 109 เสวนาเต๋า ณ แม่น้ำดวงดาว
บทที่ 109 เสวนาเต๋า ณ แม่น้ำดวงดาว
ในมิติมายาห้วงจักรวาล เจียงวั่งควบคุมเวทีเสวนากระบี่ มุ่งหน้าไปกลางแม่น้ำดารา
เวทีเสวนากระบี่สองเวทีประจันหน้ากัน ทิวทัศน์เปลี่ยนไป
ยังคงเป็นห้องสี่เหลี่ยม เรียบง่ายกว้างขวางเหมือนเดิม
ยังคงเป็นตู๋กูไร้พ่ายปะทะกับเจินไร้พ่ายเช่นเคย
“สหายตู๋กู ไม่พบกันนานเลย!” เจ้าอ้วนเจินทำท่าทางดีใจลิงโลด
เพิ่งพูดจบตัวคนก็ถูกลมหมุนสายหนึ่งหอบม้วน หลบแสงกระบี่ที่โจมตีเข้ามาของเจียงวั่ง
“โธ่เอ๊ย ทำไมเจ้ามาถึงก็ลงมือเลยเล่า! ไม่ทักทายสักหน่อยรึ”
ปากพูดไม่หยุด มือก็ไม่ได้อยู่ว่าง
เขาหลบเจียงวั่งไปตามคมวายุสองสาย จากนั้นหนามปฐพีผุดขึ้นมา เถาวัลย์พันธนาการพุ่งฉวัดเฉวียน
เจียงวั่งตวัดกระบี่ทำลายลม บุกไปข้างหน้า
ฟันหนามปฐพีจนแหลกละเอียด บุกไปข้างหน้า
ตัดเถาวัลย์ บุกไปข้างหน้า
ท่าสังหารของกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาผสานเข้าไปในทุกกระบวนท่า เจียงวั่งบีบเข้าหาอยู่ตลอด ไม่หยุดแม้แต่อึดใจเดียว
มิติการต่อสู้นี้กว้างขวางมาก แต่ก็ไม่มีพื้นที่พอให้เจินไร้พ่ายถอยแล้วถอยอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงวั่งตั้งใจจะรักษาการควบคุมเอาไว้ บีบคู่ต่อสู้ไปทางมุมกำแพงตลอด และจำกัดพื้นที่การเคลื่อนที่ของเขาอย่างแน่นหนา
เจ้าอ้วนเจินตื่นตะลึงเมื่อพบว่า หลังจากไม่เจอกันช่วงหนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขารับมือกับวิชาเต๋าอันหลากหลายของตนได้อย่างช่ำชองมากแล้ว!
ไม่ว่าเขาจะออกกระบวนท่าอัศจรรย์เพียงใด ก็ยังตกอยู่ในการควบคุมทุกๆ ก้าว
ภายใต้ความอับจนหนทาง เขาจึงเริ่มปล่อยพลังที่แท้จริง
สิบนิ้วแปรเปลี่ยน ประสานปางมือรวดเร็วจนแทบจะเกิดเป็นภาพลวงตา! วิชาเต๋าทุกวิชาของเขาในตอนนี้ล้วนสำเร็จในเวลาครึ่งอึดใจ ได้ผลระดับ ‘ดุจสำแดงเสี้ยวพริบตา’
ธนูแสงทองสามสายเบิกทางออกเป็นทรงสามเหลี่ยม เมื่อเจียงวั่งหลบไปได้อย่างทุลักทุเล คมวายุอีกแถวหนึ่งก็พุ่งเฉียงมาหา
หมอกม่วงทะลักออกมาจากกระบี่ของเจียงวั่งแล้วพัดกวาดพลังวิชาเต๋า ร่างของเจ้าอ้วนเจินกลับสร้างพายุหมุน กระโดดออกไปจากสถานการณ์วิกฤตในคราวเดียว!
ดุจสำแดงเสี้ยวพริบตาของเขาคงอยู่ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นก็สามารถโจมตีเจียงวั่งให้พ่ายแพ้ได้ในกระบวนท่าชุดเดียว แต่แค่หลุดออกจากวิกฤตได้ก็เพียงพอแล้ว
ทว่าตัวเขาเพิ่งกระโดดออกไป สิ่งที่มารับหน้ากลับเป็นงูเถาวัลย์ที่ปราดเปรียวอย่างยิ่งสองตัว!
ความจริงแล้ววิชาเต๋าของเจียงวั่งไม่เคยอ่อนด้อยเลย การสำเร็จเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพบทมังกรเขียวทำให้เขาใกล้ชิดกับพลังธาตุไม้เป็นพิเศษ มีพลังควบคุมธาตุไม้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามส่วน
เพียงแต่ในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว เจียงวั่งตระหนักได้ว่าความเร็วในการประสานปางมือของเขาช้ากว่าเจ้าอ้วนผู้นี้ไปหนึ่งถึงสองอึดใจ เขาจึงใช้วิชาเต๋าอย่างรอบคอบ ควบคุมเอาไว้ไม่ปลดปล่อยโดยตลอด รอให้ถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเท่านั้น
ในตอนที่ ‘ดุจสำแดงเสี้ยวพริบตา’ ของเจินไร้พ่ายหายไป และคิดไปว่าตัวเองรอดพ้นแล้ว
งูเถาวัลย์สองตัวนั้นไม่เพียงขวางทางที่ต้องผ่านเอาไว้ แต่องศาการโจมตียังเจ้าเล่ห์เหี้ยมโหด ทำให้เขาหลบหลีกได้ยาก
และทางด้านหลัง เจียงวั่งถือกระบี่ไล่ตามมาอีกครั้งแล้ว
“คิดว่าเจอแพะอ้วนแล้วเสียอีก…ไม่ผิดคาดเลย คนที่ปรากฏตัวในที่บ้าๆ แบบนี้เป็นตัวประหลาดทั้งนั้น”
ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ เจินไร้พ่ายก็ยังมีใจจะบ่นพึมพำ
เขารวมโล่วารีออกมากลางอากาศ ต้านรับกระบี่ของเจียงวั่ง ร่างอ้วนท้วนไม่มีผลต่อการหมุนตัวอย่างคล่องแคล่วของเขาเลย กลับยื่นมือคว้างูเถาวัลย์ตัวหนึ่ง แล้วทุ่มไปทางงูเถาวัลย์อีกตัวหนึ่งเต็มแรง
เจียงวั่งเคยเสียเปรียบเพราะโล่วารีหนักมาแล้ว ย่อมไม่ทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง กระบี่พลันเอียงลงข้างล่าง ทั้งตัวดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ลอดผ่านใต้ร่างเจินไร้พ่ายไป จากนั้นเงื้อกระบี่ขึ้นข้างหลังเขา!
เวลานี้เจินไร้พ่ายเพิ่งจัดการกับงูเถาวัลย์ เขากดมืออวบอ้วนลงไป ลูกไฟเส้นหนึ่งพุ่งมาตรงหน้าเจียงวั่งทันที
คมกระบี่ฟันขวางออกไป!
เจียงวั่งหมายจะฟันลูกไฟนี้ ไม่ให้โอกาสเจินไร้พ่ายหลุดรอดไปอีกครั้ง
ทว่ากระบี่ของเขากลับหนักอึ้งเกินจะเปรียบ!
โล่วารีหนักบ้าบออะไรกัน ที่แท้ก็เป็นคำลวง วิชาลับก้นหีบของเจินไร้พ่ายไม่ใช่โล่วารีหนัก แต่เป็นการบีบอัดแรงโน้มถ่วงลงไปบนวิชาเต๋าได้ทุกวิชา อย่างน้อยๆ ลูกไฟลูกนี้ก็เป็นเช่นนั้น
บึ้ม!
คลื่นโจมตีที่รุนแรงระเบิดออก เจียงวั่งหลบไม่ทัน ถูกระเบิดกลายเป็นเถ้าทันที
เจินไร้พ่ายทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น ปาดเหงื่อเอ่ยว่า “มารดามันเถอะ ครั้งนี้เกือบแพ้จริงๆ แล้ว”
……
‘ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธการท้าประลอง’
ในแดนศักดิ์สิทธิ์ เจียงวั่งกัดฟันกรอด เมื่อครู่เขาบีบไพ่ตายของเจ้าอ้วนนั่นออกมาได้แล้ว ใกล้จะล้างความอัปยศก่อนหน้านี้ได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนบ้านี่จะยังมีไพ่ตายอีก!
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น พอย้อนดูการต่อสู้เมื่อสักครู่ เจียงวั่งเชื่อว่าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเอาชนะเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย เขารีบร้อนจะเอาชนะ หากยังใช้วิชาต่อสู้กดดันต่อไป ไม่ให้โอกาสเจ้าอ้วนเจิน ก็ไม่แน่ว่าจะต้องพ่ายแพ้
เสียยี่สิบแต้มไปทำให้ปวดใจนัก ตอนนี้เหลืออยู่แค่สามพันสามร้อยสี่สิบแต้มเท่านั้น
ที่น่าโมโหที่สุดคือเขาจะสู้อีกครั้งทันที แต่เจ้าอ้วนนั่นกลับปฏิเสธ!
กระเรียนเมฆาตัวอวบอ้วนบินมาหา เขียนไว้ว่า ‘สหายตู๋กู วันนี้สาแก่ใจแล้ว ไว้วันหน้าค่อยประลองกันอีก!’
ไหนบอกว่ามีเวลาก็มาประลองฝีมือกัน?
ตอนที่ไม่อยู่ในมิติมายาห้วงจักรวาล ทุกวันเจ้าอ้วนนี่จะส่งกระเรียนเมฆามาขอประลองวันละตัว วันนี้ได้สู้กันแบบนี้ เขาก็หนำใจแล้วหรือ
เจียงวั่งตอบกลับไป ‘หน้าไม่อาย!’
เจินไร้พ่าย ‘ทำไมถึงด่ากันเล่า’
ตู๋กูไร้พ่าย ‘เจ็บใจก็มาสู้อีกรอบ’
เจินไร้พ่าย ‘เฮอะ ข้าไม่ตกหลุมพรางยั่วยุของเจ้าหรอก’
เจียงวั่งขี้เกียจตอบกลับ เขาเริ่มทบทวนการต่อสู้ครั้งนี้ในหัว หาจุดแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ครั้งต่อไปทำผิดอีก นี่เป็นความเคยชินของเขามาตลอด และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ศักยภาพของเขาพัฒนาไปได้รวดเร็วเพียงนี้
เจินไร้พ่าย ‘ทำไมไม่พูดอะไรแล้วล่ะ’
เจินไร้พ่าย ‘สหายตู๋กู?’
‘เจินไร้พ่ายเชิญท่านเข้ามิติแม่น้ำดารา ยอมรับ/ปฏิเสธ’
เจียงวั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยเกิดความสงสัยในมิติแม่น้ำดารา เขาจึงเลือกยอมรับ
เวทีเสวนากระบี่ถูกกระตุ้น สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยน เจียงวั่งมาปรากฏตัวอยู่ที่ศาลารับลมเล็กๆ หลังหนึ่ง
ศาลารับลมลอยอยู่กลางอากาศ เห็นแม่น้ำดวงดาวเป็นสายอยู่ไกลๆ ใกล้ๆ กันเป็นดวงดาราเต็มท้องฟ้า บางครั้งจะมีดาวตกพุ่งผ่านสองด้านอย่างเร็วรี่
เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ไพศาล
ภายในศาลารับลมดูยากจนนัก มีเพียงโต๊ะหินหนึ่งตัว เก้าอี้หินสองตัว
ก้อนเนื้ออ้วนๆ ของเจ้าอ้วนเจินกองอยู่บนที่นั่งหนึ่งในนั้น
“เฮ้ๆ อย่าลงมือเชียว ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเสวนากระบี่!” เขาโบกมือพลางพูด
เจียงวั่งมองซ้ายมองขวา ไม่ได้พูดอะไร
เจินไร้พ่ายบ่นงึมงำกับตัวเองอยู่ตรงนั้น “ที่โทรมๆ แบบนี้ใช้แต้มของข้าไปสิบแต้มเลยอย่างนั้นรึ เมื่อครู่ได้มาเสียเปล่าเสียแล้ว”
เจียงวั่งได้ยินก็หนังตากระตุก เพราะสิบแต้มของเจ้าอ้วนก็คือแต้มของเขา
“อะแฮ่ม” เจินไร้พ่ายเปลี่ยนเรื่อง กล่าวอย่างมั่นใจในตัวเองว่า “จากการประลองเมื่อครู่ เจ้าคงรู้ชาติตระกูลของข้าแล้วกระมัง”
เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนในมิติมายาห้วงจักรวาล ทว่าในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาอดไม่ไหวเปิดเผยไพ่ตายใบแรกออกมา และเนื่องจากเผยใบแรกออกมา ดังนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จึงเปิดใบที่สองเลยทันที
นี่ทำให้ตัวตนของเขาปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะวิชาลับที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเขามีชื่อมาก
แน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดของเจินไร้พ่ายเท่านั้น
ความจริงเจียงวั่งไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“อ้อ ที่แท้เจ้าก็คือ…”
“ใช่ ข้าก็คือ…” เจินไร้พ่ายหยุดรออยู่นาน ถึงพบว่าตัวเองไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการจากเจียงวั่ง จึงทำได้เพียงหัวเราะฮี่ๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าก็รู้”
เจียงวั่งไม่รู้เลย
“หาข้ามีธุระอะไร” เขาถาม
“ฮี่ๆ สหายตู๋กูไม่คิดว่ามิติมายาห้วงจักรวาลน่าเบื่อสุดๆ ไปเลยหรือ ทุกครั้งเข้ามาก็เป็นเพียงห้องเล็กๆ เท่าแมวดิ้นตาย นอกจากต่อสู้ก็มีแต่ต่อสู้ จะอนุมานหรือ แต้มก็น้อยจนน่าสงสาร ข้ามอบวิชาไปไม่น้อยก็เพิ่งจะสะสมได้แค่นิดหน่อย จะต่อสู้หรือ พวกตัวประหลาดก็เยอะเสียขนาดนั้น!” เจินไร้พ่ายดูท่าคงสะสมความไม่พอใจไว้นานแล้ว
“เจ้าเป็นคนแรกที่ตอบจดหมายข้าเยอะขนาดนี้ ดังนั้นจึงเชิญเจ้ามาคุยกันสักหน่อย ทำความรู้จักเป็นสหายกัน” เจินไร้พ่ายมองซ้ายมองขวา พูดต่อว่า “รอให้อีกหน่อยมิติเบิกฟ้าเปิดแล้ว จะหาที่คุยหรือทำอะไรก็สะดวกกว่ามาก ไม่ต้องใช้แต้มอีก”
หากพูดถึงความเข้าใจในมิติมายาห้วงจักรวาล เจียงวั่งย่อมสู้เจ้าอ้วนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ได้ เพราะกุญแจมายาของเขาเขา ‘เก็บ’ มาได้ มิติมายาห้วงจักรวาลเดิมไม่มีชื่อเขาอยู่
จากคำพูดของเจินไร้พ่าย เจียงวั่งได้ข้อมูลมาไม่น้อย อย่างแรก คนที่อยู่ในระดับอย่างเจินไร้พ่ายมีพื้นที่เริ่มต้นในมิติมายาห้วงจักรวาลเป็นแค่ห้องเล็กๆ เท่านั้น แต่เขาต่างออกไป เขามีแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าอันดับรายชื่อจะตกลงไปเรื่อยๆ ก็ตาม…
อย่างที่สอง ที่แท้ก็สามารถเพิ่มแต้มจากการมอบเคล็ดวิชาให้กับมิติมายาได้ด้วย
อย่างที่สาม ในอนาคตมิติมายาห้วงจักรวาลจะเปิดมิติเบิกฟ้า น่าจะเป็นที่ที่เหมือนมิติสาธารณะ ทั้งยังไม่ต้องใช้แต้ม เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
เพราะสถานการณ์ใดถึงต้องเปิดมิติแบบนี้ขึ้น เจียงวั่งนึกความเป็นไปได้ออกเพียงอย่างเดียว…คนในมิติมายาห้วงจักรวาลจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น!
บางทีสักวันหนึ่ง มิติมายาห้วงจักรวาลอาจจะเปิดกว้างให้ผู้ฝึกตนทุกคนก็เป็นได้
เจียงวั่งที่ได้ลิ้มรสข้อดีของมิติมายาห้วงจักรวาลมาแล้วจินตนาการได้เลยว่า นั่นจะเป็นการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ผู้คนจะมากล้นเพียงใด
บางทีอาจจะเปลี่ยนสถานการณ์ของเหล่าคนเหนือมนุษย์ทั้งหมดในตอนนี้เลย!
………………………………………………………