ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 110 ความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์
“มิติเบิกฟ้าจะเปิดเมื่อไร” เจียงวั่งถาม
เจินไร้พ่ายเบ้ปาก “ก่อนหน้านี้บอกว่ามิติมายาห้วงจักรวาลถึงอย่างน้อยร้อยปีแล้วจึงจะเผยโฉม เวลาที่แน่นอนใครจะไปรู้ได้”
เจียงวั่งพยักหน้าคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
บางทีมิติมายาห้วงจักรวาลอาจไม่ใช่ความลับสำหรับมนุษย์ที่พอจะมีระดับชั้น ความไม่รู้ของมนุษย์มักจะเป็นเพราะตำแหน่งที่ยืนอยู่ต้อยต่ำก็เท่านั้น
เหมือนกับคนสามัญที่ไม่อาจบรรลุระดับเหนือมนุษย์เหล่านั้น ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางรู้ความลับของสัตว์ร้ายเช่นกัน
สิ่งที่เขาทำได้ก็คือรีบแข็งแกร่งขึ้น เพื่อรอพบกับโอกาสนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ การท้าประลองมากมาย และอนาคตที่กว้างไกลไม่มีสิ้นสุด!
“สหายตู๋กู ต่อไปนี้เป็นสหายกันแล้วกระมัง”
เจ้าอ้วนเจินคิดจะโอบไหล่ แต่เจียงวั่งหลบหลีก
“สหายเจินมีธุระอะไรเชิญพูดมาตรงๆ”
“ฮี่ๆๆ” เจินอู๋ตี๋หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ พูดว่า “เรื่องที่ข้าใช้วิชาลับของฉงเสวียนเสวนากระบี่กับเจ้าเมื่อครู่ ในวันหน้าหากเจ้าเจอคนอื่น ขออย่าได้แพร่งพรายไป”
‘ที่แท้เขามาจากตระกูลที่ชื่อว่าฉงเสวียน ตระกูลนี้เหมือนจะมีชื่อเสียงมาก’ เจียงวั่งคิดในใจ
ความจริงตอนที่เขาย้อนทบทวนการต่อสู้อีกครั้ง ก็รู้สึกนานแล้วว่าวิชาโล่วารีหนักอะไรนั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ วิชาลับของเจินไร้พ่ายไม่ได้รวมวารีหนัก แต่เป็นการเพิ่มความถ่วงลงไปบนวิชาเต๋า!
ตัวอย่างเช่นโล่ในการต่อสู้ครั้งแรก แล้วก็ลูกไฟที่สังหารเขาครั้งที่สองนั่น
วิชาลับวิชานี้แข็งแกร่งปานนั้น หากบอกว่าตระกูลมีชื่อเสียงเพราะมัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร
“หากสหายเจินไม่ต้องการ ข้าย่อมไม่พูดมาก” เจียงวั่งพูด “เพียงแต่เจ้าต้องสู้กับข้าหลายรอบหน่อย”
สีหน้าของเจินไร้พ่ายยินดีก่อน จากนั้นก็ขื่นขม อดเอ่ยโน้มน้าวขึ้นมาไม่ได้ “ยิ่งใหญ่ในระดับเคลื่อนชีพจรจะไปมีความหมายอะไร พวกเราอยู่ในระดับนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสามผสานบริบูรณ์บรรลุสมบูรณ์ สร้างรากฐานมั่นคงให้กับมรรควิถีในภายภาคหน้าต่างหาก วิชาเต๋าคือวิธีการรักษามรรคา มรรควิถีถึงจะเป็นใจความสำคัญ”
“เจ้าพูดถูก แต่ว่าข้าไม่ฟังเจ้าหรอก”
ใบหน้าอ้วนๆ ของเจินไร้พ่ายกระตุก “ต่อให้เจ้าสู้ชนะ ก็เป็นผู้เกรียงไกรในขอบเขตเคลื่อนชีพจรไม่ได้อยู่ดี ข้าไม่ติดร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ”
“เอาชนะเจ้าได้ก็พอแล้ว”
“ความอาฆาตแค้นของสหายตู๋กูช่างรุนแรงจริงๆ…”
“สหายเจิน” เจียงวั่งกล่าวอย่างจริงจัง “อย่างไรเจ้าก็เปิดเผยออกมาต่อหน้าข้าแล้ว สามารถใช้วิชาลับอย่างไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เหมือนสู้กับคนอื่น ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สาสมใจ มีข้าฝึกด้วยเพิ่มอีกหนึ่งคน มิใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ”
……
ในมิติมายาห้วงจักรวาล การต่อสู้อย่างต่อเนื่องระหว่างตู๋กูไร้พ่ายกับเจินไร้พ่ายก็เปิดม่านเช่นนี้ ส่วนในโลกแห่งความจริงก็ไม่ได้สงบไร้คลื่นเช่นกัน
คนอยู่ใกล้ๆ เช่นหลีเจี้ยนชิวมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสำนักเต๋าเขตปกครอง แทบจะเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ รูปแบบการต่อสู้ของเขาถูกเปิดเผยต่อสายตาทุกคน ที่แท้วิชาหลักที่เขาฝึกฝนคือวิชากระบี่มรรคา สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่มีการถ่ายทอดวิชานี้ ไม่รู้ว่าไปฝึกมาจากที่ไหน
ส่วน ‘หวางหนึ่งเป่า’ ก็ไม่น้อยหน้ากัน ชื่อเสียงในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินที่เพิ่มมากขึ้นจากสมญายิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก
สำหรับประชาชนเมืองเฟิงหลิน พวกเขาใกล้ชิดกับหวางฉางเสียงมากกว่าเล็กน้อย หลีเจี้ยนชิวเดิมทีเป็นคนเงียบๆ นับจากเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองก็บากบั่นฝึกฝน ในเมืองเฟิงหลินก็ไม่มีอะไรต้องห่วง จึงแทบจะไม่เคยกลับมาเลย
กลับเป็นหวางฉางเสียงที่สามวันห้าวันก็กลับตระกูล ได้รับความนิยมจากคนในเมืองเป็นอย่างมาก
คนที่อยู่ไกลๆ อย่างนกแสกยักษ์โอวหยางเลี่ยแห่งลัทธินอกรีตปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นำภาพมายาด่านประตูผีบุกรัฐอวิ๋น เอาชนะผู้อาวุโสที่ปรึกษาไปหลายคนติดๆ ชื่อเสียงโหดเหี้ยมเลื่องลือ กล่าวว่าจะควบคุมเมืองอวิ๋น ใครไม่ยอมสยบตาย
ตอนนี้เจ้าหอนภาเทียมเมฆเยี่ยหลิงเซียวออกจากด่าน บดขยี้อย่างแข็งแกร่ง ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสหนีไป
ตอนนี้ทั่วทั้งรัฐอวิ๋นใช้กฎอัยการศึก ทุกที่ล้วนไล่ล่าโอวหยางเลี่ยและเหล่าลูกศิษย์ชนรุ่นหลังของเขา
โอวหยางเลี่ยยังมีอีกตัวตนหนึ่ง นั่นก็คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักกระดูกขาว
ลัทธิมารที่ในประวัติศาสตร์เคยเกือบทำรัฐจวงล่มสลาย ทำความชั่วร้ายก่อเวรกรรมนับไม่ถ้วน ตอนนี้กลับเหมือนจะฟื้นฟูกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ทุกคนต่างรู้สึกไม่ปลอดภัย
จากนั้นก็ยังมีคนเปิดเผยความลับออกมาว่า คดีสังหารล้างตำบลเสี่ยวหลินของเมืองเฟิงหลิน เขตปกครองชิงเหอแห่งรัฐจวงก็เป็นสำนักกระดูกขาวลงมือ ภาพมายาด่านประตูผีที่โอวหยางเลี่ยอาศัยไปกำเริบเสิบสานที่รัฐอวิ๋น ก็คือการหลอมรวมจากการสังเวยครั้งนั้น และเว่ยชวี่จี๋เพื่อที่จะปกปิดความบกพร่องในหน้าที่ของตัวเองก็ไม่ได้ประกาศเรื่องสำนักกระดูกขาวออกไป ทำให้สำนักกระดูกขาวมีเวลาขยายปัญหาให้หนักหนาขึ้น
เมื่อข่าวนี้เผยออกมา ทั่วทั้งรัฐฮือฮา หลังจากที่จู้เหวยหว่อชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า เมืองเฟิงหลินก็กลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ชื่อเสียงต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากเรื่องราวเกิดขึ้น เว่ยชวี่จี๋ก็ใช้นามของเจ้าเมืองถวายฎีกาขอรับโทษด้วยตัวเอง
แน่นอน ต่งเออก็ลงชื่อบนถวายฎีกาขอรับโทษฉบับนั้นด้วยเช่นกัน
……
เจียงวั่งหมกหมุ่นอยู่กับการต่อสู้ในมิติมายาห้วงจักรวาล จนกระทั่งสองวันหลังจากนั้นถึงได้รู้เรื่องนี้
เรื่องอื่นช่างเถอะ มีเพียงข่าวสำนักกระดูกขาวเท่านั้นที่ทำให้ใจของเขากระตุก
ในที่สุดเขาก็ได้รู้จักสำนักกระดูกขาว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รู้จักด้วยวิธีนี้
กลางดึก เขาส่องกระจกมองตัวเอง รู้สึกกลัวดอกบัวกระดูกขาวตรงกระดูกสันหลังดอกนั้นนัก
เขาไม่ยอมรับลัทธิมารนอกรีตทั้งหมดโดยเด็ดขาด และไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นหนึ่งในด้วยเช่นกัน
แต่ดอกบัวกระดูกขาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาทำให้เขาไม่อาจเมินเฉยต่อความเป็นไปได้ข้อนี้
ยังมีเทียนสีดำลึกลับเล่มนั้นในจุดผ่านสวรรค์ อีกทั้งวิชาสร้างร่างคืนวิญญาณที่เทียนดำถ่ายทอดให้อีก
ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้เจียงวั่งกระวนกระวาย
เรื่องนี้เหมือนว่าเขาจะทำได้เพียงไปถามไป๋เหลียนเท่านั้น
แต่ไป๋เหลียนไม่ปรากฏตัวนานแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรไปตามหานางที่ใด
ไป๋เหลียน…ไป๋เหลียน…
ชื่อที่ผู้หญิงคนนี้ตั้งขึ้นมาส่งๆ ตอนนี้สร้างความคิดเชื่อมโยงไม่รู้จบให้กับเขา เขายังติดค้างนางอีกเรื่องหนึ่ง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนั้นจะจบลงเร็วๆ แต่ก็หวังว่าเรื่องนี้อย่ามาถึงเลยเช่นกัน
จากยอดเขาหยกสมดุลจนถึงริมฝั่งแม่น้ำชิง เขาเริ่มสับสนในตัวละครที่ตัวเองกำลังแสดงอยู่ รู้สึกสับสนและทรมานนัก
ดีที่…ยังมีการต่อสู้
การต่อสู้สุดกำลังในมิติมายาคือยาถอนพิษของเขา
ไม่หวาดกลัวต่อความเป็นตาย ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
การยกระดับกำลังรบคือความกล้าของเขา
มีเพียงเติบโตต่อไป แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถต้านทานสิ่งที่ทำให้เขากระวนกระวายใจพวกนั้นได้
ในการแลกเปลี่ยนฝีมือกับเจินไร้พ่าย ในที่สุดเขาก็ชนะได้บางครั้งเสียที
ต่อสู้สิบครั้งชนะได้หนึ่งครั้งถึงสองครั้ง
ช่วยไม่ได้ เจินไร้พ่ายที่ปลดปล่อยตัวเองก็เรียกได้ว่าไร้พ่ายจริงๆ
วิชาลับตระกูลฉงเสวียนไม่ว่าจะเป็นสภาวะดุจสำแดงเสี้ยวพริบตา หรือการควบคุมวิชาเต๋าแรงโน้มถ่วง ก็ล้วนแต่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง สู้กับคนอื่นเจินไร้พ่ายต้องปิดบัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ดูพื้นฐานออก ทว่าสู้กับเจียงวั่งไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว
เจ้าอ้วนคนนี้เมื่อเริ่มใช้สภาวะดุจสำแดงเสี้ยวพริบตา โยนวิชาเต๋าที่เพิ่มความแข็งแกร่งของแรงโน้มถ่วงมา แค่เจียงวั่งไม่ระวังก็ถูกทุบตายแล้ว
เจียงวั่งคำนวณดูตัวเอง หากอยากได้เปรียบในด้านการปะทะซึ่งหน้า จะต้องเป็นหลังจากที่เคล็ดวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพถึงขั้นบริบูรณ์แล้ว ในขณะเดียวกันก็จะต้องสลักวิชาเต๋าชั่วพริบตาไว้ในจุดผ่านสวรรค์แล้ว แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตเคลื่อนชีพจรแล้ว
นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่เป็นความแตกต่างด้านรากฐานแต่กำเนิดของทั้งคู่
แต้มเสียไปดุจสายน้ำไหล เจ้าอ้วนได้กำไรยิ้มไม่หุบ
แต่การยกระดับของกำลังรบเป็นเรื่องที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ในตอนที่เหลือเพียงสามพันแต้ม เจียงวั่งก็เผชิญกับจุดตีบตัน
เคล็ดวิชากระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพายกระดับจนไม่อาจยกระดับขึ้นได้อีกแล้ว นอกเสียจากเขาจะมีความเข้าใจในวิธีกระบี่อย่างก้าวกระโดด เคล็ดวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพก็ต้องใช้เวลา จะรีบร้อนไม่ได้ เขาย่อมเบนสายตาไปยังวิชาเต๋าที่ต่งเออถ่ายทอดให้…บุปผาเพลิง
แต่วิชาเต๋าวิชานี้ลำบากยากเข็ญนัก ในฐานที่เป็นวิชาเต๋าชั้นสามระดับบน เดิมก็เป็นวิชาเต๋าระดับที่ผู้บำเพ็ญขอบเขตวัฏจักรดาราใช้
พูดจากพลังบำเพ็ญขอบเขตเคลื่อนชีพจรของเจียงวั่งแล้วค่อนข้างฝืน แต่หลังจากที่เขาสำเร็จบทมังกรเขียวในวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพแล้วก็เลือกฝึกบทวิหคแดง ที่เลือกฝึกก็เพื่อยกระดับความใกล้ชิดและการควบคุมต่อพลังธาตุไฟ ให้สามารถควบคุมบุปผาเพลิงได้ล่วงหน้า
นี่เป็นวิชาเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาควบคุมได้ในขั้นนี้แล้ว
ทว่าแม้จะมีการช่วยเหลือจากวิชาควบคุมปราณ เขาสามารถเตรียมการในระยะแรกของบุปผาเพลิงได้สำเร็จ แต่ทุกครั้งกลับติดอยู่ที่ ‘ดอกไม้บาน’ ขั้นตอนนั้น
เจียงวั่งเปิดอ่านสมุดจดของต่งเออหาสาเหตุ สายตาก็พลันหยุดอยู่ที่ประโยคหนึ่ง เขาอ่านมาหลายรอบ แต่ก่อนหน้านี้ก็มองข้ามมาโดยตลอด
ประโยคนั่นก็คือ ‘ดอกไม้ทุกดอกล้วนมีความงดงามเป็นเอกลักษณ์’
เจียงวั่งพยายามเข้าใจประโยคนี้
เช่นนั้น ทำไมดอกไม้ทุกดอกล้วนมีความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์
เพราะพวกมันเกิดเองตามธรรมชาติ ดังนั้นถึงได้หลุดจากความดาษดื่น
เจียงวั่งปิดสมุดจดลง
เขาหาต้นตอของปัญหาเจอแล้ว
………………………………………………………