ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 111 ภาพทั้งหมดที่ข้ามองเห็น
บทที่ 111 ภาพทั้งหมดที่ข้ามองเห็น
จุดสำคัญของบุปผาเพลิง ไม่ได้อยู่ที่คำว่าเพลิง แต่อยู่ที่บุปผา
จุดสำคัญของบุปผา ไม่ได้อยู่ที่รูปร่าง แต่อยู่ที่จิตวิญญาณของมัน
อันที่จริงตอนที่ไป๋เหลียนต่อสู้กับจี้เสวียนที่ริมฝั่งแม่น้ำชิงครั้งนั้น ก็เคยใช้บุปผาเพลิงที่สร้างขึ้นมาจากเพลิงสีขาวเหมือนกัน น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากบุปผาเพลิงผลาญเมืองของจั่วกวงเลี่ย
เจียงวั่งแค่เริ่มต้นก็เดินพลาดเสียแล้ว เขาคิดจะควบคุมพลังธาตุไฟไปสลักเสลาบุปผาดอกหนึ่ง ได้รับประโยชน์จากความยอดเยี่ยมเคล็ดควบคุมพลังธาตุ เขาทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่บุปผาเปลวเพลิงที่เขาลงทุนลงแรงอย่างเต็มที่ สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่เปลวเพลิง ไม่ใช่บุปผา
ดังนั้นมันจึงไม่สามารถ ‘เบ่งบาน’ ได้
ไม่ต้องจงใจสร้างขึ้นเป็นดอกไม้ มันควรจะเบ่งบานออกอย่างเป็นธรรมชาติ
เจียงวั่งประกบปางเต๋าเงียบๆ พลังธาตุไฟเกิดขึ้นบนปลายนิ้ว
ภายใต้การถ่ายพลังรากเต๋าอย่างระมัดระวัง มันค่อยๆ พองตัวขึ้น
เจียงวั่งจินตนาการว่าตนเองกำลังรดน้ำเติมปุ๋ย และพลังธาตุไฟในตอนแรกจุดนั้นก็คือเมล็ดดอกไม้
พลังธาตุเป็นสิ่งบำรุงของมัน จิตวิญญาณของผู้ใช้เต๋าเป็นพลังชีวิตของมัน
มันเติบโต เติบใหญ่ งอกงาม…
ในที่สุด บุปผาเพลิงเล็กๆ ดอกหนึ่ง ก็เบ่งบานขึ้นบนปลายนิ้ว
ระหว่างกลีบดอกไม้ มีลวดลายค่ายกลโยงใยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอยู่รางๆ
พวกมันก่อตัวขึ้นอย่างงดงาม และควบรวมพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งขึ้นมาอีกด้วย
ทุกๆ ดอกล้วนมีความงดงามที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
บุปผาเพลิงดอกนี้ ไม่เหมือนกับบุปผาเพลิงของต่งเออ และไม่เหมือนกับบุปผาเพลิงของจั่วกวงเลี่ย แต่เป็นบุปผาเพลิงที่เป็นของตัวเจียงวั่งเอง
เพราะว่าเขามอบ ‘ชีวิต’ ให้แก่มัน
นี่เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
แม้จะอยู่ในกลุ่มวิชาเต๋าชั้นสามระดับบน แต่มันก็ไม่เหมือนกับวิชาเต๋าในชั้นเดียวกัน
และมีเพียงบุปผาเพลิงแบบนี้เท่านั้น จึงจะสามารถสำแดงพลังบุปผาเพลิงผลาญเมืองที่ลือลั่นไปทั่วสารทิศนั่นได้
เจียงวั่งฝึกบุปผาเพลิงสำเร็จ แต่กลับไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอะไรเลย
กลับกัน มีเพียงความเคารพศรัทธาเท่านั้น
บุปผาเพลิงเป็นเพียงพื้นฐานของวิชาเต๋าบุปผาเพลิงผลาญเมือง แต่ยังสามารถดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งอย่างต่งเออมาค้นคว้าวิจัยได้ และได้ยินมาว่าตอนที่จั่วกวงเลี่ยสร้างวิชาเต๋าบุปผาเพลิงเผาเมืองขึ้น ก็มีอายุเพียงแค่สิบเก้าเท่านั้น อายุเท่ากับหลิงเหอในตอนนี้
นั่นต้องเป็นบุคคลระดับฟ้าประทานที่เจิดจรัสเพียงไหนกัน!
ระดับเดียวกันในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเรียกเขาว่าวีรบุรุษ แล้วมันเป็นอย่างไรกัน หรืออาจจะเป็นเหมือนที่วินิจฉัยไร้เทียมทานว่าไว้ ต่อให้เขากลายเป็นสุดยอดวีรบุรุษระดับเคลื่อนชีพจรในมิติมายาห้วงจักรวาล แล้วมันเป็นอย่างไรกัน
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง สายตาต้องไม่หยุดอยู่แค่ภาพตรงหน้า
หลังจากควบคุมบุปผาเพลิงได้อย่างเชี่ยวชาญ เจียงวั่งเชื่อมั่นว่าการต่อสู้กับวินิจฉัยไร้เทียมทาน สามารถเอาชนะได้มากกว่าสามในสิบแล้ว
เพราะเขาก็มีวิชาที่สร้างแรงคุกคามแก่วินิจฉัยไร้เทียมทานโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้แล้ว มิติของการเลือกต่อสู้จึงกว้างขึ้นระดับหนึ่ง นี่ไม่ใช่การก้าวข้ามแบบธรรมดา
เดิมทีในการต่อสู้ของทั้งสองคน หากวินิจฉัยไร้เทียมทานไม่เปิดเผยวิชาลับมาจนหมด ก็คงไม่ถูกเอาเปรียบ
การแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับวินิจฉัยไร้เทียมทาน ส่วนที่สามารถพัฒนาได้น้อยลงไปทุกทีแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เข้าสู่มิติมายาห้วงจักรวาลอีกครั้ง เจียงวั่งจะไม่สนใจชายอ้วนวินิจฉัยอีก และจะเริ่มจับคู่ต่อสู้คนใหม่ผ่านเวทีเสวนากระบี่
…
ฟางเฮ่อหลิงเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษ สิ่งที่รอเขาอยู่เดิมทีคิดว่าจะเป็นการพิจารณาคดี แต่กลับมีเพียงฟางเจ๋อโฮ่วผู้เป็นบิดาเพียงคนเดียว
คนผู้นี้ยืนไพล่หลังประจันหน้ากับป้ายสุสานของเหล่าบรรพบุรุษตระกูลฟางอยู่
“ท่านพ่อ” ฟางเฮ่อหลิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
ฟางเจ๋อโฮ่วหันมา ยกมือพัดไปที่หน้าเขา
เพียะ!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไร?”
ใบหน้าฟางเฮ่อหลิงบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ร้องโอดครวญ และไม่กล้าจะหลบเลี่ยง
“ข้าทราบ” เขาตอบ
เพียะ!
“เจ้ารู้?” ฟางเจ๋อโฮ่วถามขึ้นอย่างติเตียน
เพียะ!
พลิกมือตบเข้าไปอีกฉาดหนึ่ง
“เจ้ารู้?”
ฟางเฮ่อหลิงไม่ร้องไม่ส่งเสียง
“เจ้ารู้ไหมว่ารัฐอวิ๋นตอนนี้อยู่ในสภาพเช่นไร เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ให้กลุ่มพ่อค้ามากำบังให้เหล่านี้อาจจะเป็นพวกชั่วร้ายจากสำนักกระดูกขาว กระทั่งอาจจะเป็นตัวโอวหยางเลี่ยเองก็เป็นได้”
“เจ้ารู้ไหมว่าสำนักกระดูกขาวเป็นตัวตนแบบไหน เจ้ารู้ไหมว่าตำบลเสี่ยวหลินล่มสลายลงอย่างไร คนเหล่านั้นมันเป็นปีศาจร้าย เป็นพวกจอมเชือดสังหารที่ไม่เคารพต่อดวงวิญญาณคนตาย มีเรื่องไหนที่ทำออกมาไม่ได้บ้าง! แล้วเจ้าบอกว่าเจ้ารู้เช่นนั้นหรือ”
ฟางเจ๋อโฮ่วโมโหจนนิ้วมือสั่น เขายกมือตบฟางเฮ่อหลิงไปอีกครั้งหนึ่ง
“พวกเขาให้ข้ากินอะไรบางอย่างลงไป!” ฟางเฮ่อหลิงตะโกนขึ้น เสียงของเขาต่ำลงมา “ถ้าข้าไม่เชื่อฟัง ข้าก็ต้องตาย”
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเจ้าออกไปทำภารกิจจนพินาศกันทั้งกลุ่มครั้งนั้นน่ะหรือ?”
“ใช่” ฟางเฮ่อหลิงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นออกมารอบหนึ่ง
“นี่เป็นแผนร้าย!” ฟางเจ๋อโฮ่วฟังจบก็เดือดดาลขึ้นมา “เจ้ามันก็แค่คนโง่ที่ถูกควบคุม!”
“แต่ข้าไม่มีทางเลือกนี่นา ท่านพ่อ”
“ข้าเชื่อฟังท่าน ข้าพยายามไล่ตามเจียงวั่ง ข้าคิดที่จะพิสูจน์ตนเองให้ท่านเห็นว่าข้าใช้ได้ ข้าพยายามฝึกบำเพ็ญ ข้ากระตือรือร้นฝึกฝน ภารกิจที่เจียงวั่งทำได้ข้าก็ทำได้! แต่คนพวกนั้นแข็งแกร่งเกินไป ศิษย์พี่น้องที่ไปพร้อมกับข้าตายกันหมดทันทีตอนประจันหน้ากัน ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นแผนร้ายแผนหนึ่ง” ฟางเฮ่อหลิงเอ่ยขึ้น “แต่ข้ายังไม่อยากตาย ท่านพ่อ”
“ไม่ ไม่ได้” ฟางเจ๋อโฮ่วส่ายศีรษะ “สิ่งที่เจ้ากลืนลงไปข้าจะหาวิธีแก้เอง เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อเจ้าเมือง เรื่องที่เกี่ยวพันถึงสำนักกระดูกขาว ตระกูลฟางของพวกเราแบกไว้ไม่ไหว! ต่อให้ลุงของเจ้ายินยอมช่วยเหลือก็ไม่มีประโยชน์ ตระกูลฟางไม่มีใครที่จะแบกเรื่องนี้ได้!”
ตระกูลฟางเมืองเฟิงหลิน อันที่จริงมีคนใหญ่คนโตอยู่คนหนึ่ง เป็นทหารมานานแล้ว ปัจจุบันนี้เป็นถึงขุนพลหลักกองทัพประจำเมืองเฟิงหลิน แต่ไม่ได้เป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูล ในช่วงที่เติบโตจึงไม่ได้รับทรัพยากรใดๆ จากในตระกูล อีกฝ่ายจึงไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไรนัก
คนผู้นี้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเว่ยชวี่จี๋ที่มีบุญคุณกับการให้ความสำคัญต่อตัวเขา เรื่องเล็กบางเรื่องหากร้องเรียนขึ้นไปบางทีก็ลงมาจัดการ แต่เรื่องนี้เขาไม่มีทางปล่อยผ่านแน่
หากเลือกได้ ฟางเจ๋อโฮ่วยังยินดีแบกแทนลูกชาย แต่เขาเข้าใจอย่างชัดเจน แบกไม่ไหวหรอก ต่อให้เอาตระกูลฟางไปเดิมพันก็ยัไม่ไหว
“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ” ฟางเฮ่อหลิงเดินไปทางขวา เข้ามาขวางด้านหน้าฟางเจ๋อโฮ่ว
“ไสหัวไป!” ฟางเจ๋อโฮ่วตบฉาดไปอีกครั้งที่หน้าของเขา
แต่ฟางเฮ่อหลิงยังคงยืนอยู่ที่นั่น เพียงแค่หันหน้าที่ถูกตบกลับมาอย่างรวดเร็ว มองบิดาตนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากให้เว่ยชวี่จี๋รู้ว่าข้าไปพัวพันกับสำนักกระดูกขาวละก็ ลูกชายของท่านได้พังจริงๆ แน่! ต่งเออเองก็ปกป้องข้าไม่ได้!”
“เจ้ามันพังไปแล้ว!” ฟางเจ๋อโฮ่วคำรามขึ้น เขาดูเหนื่อยล้า “ตอนนี้ข้าจะปกป้องตระกูลฟาง”
“ท่านพ่อ” ฟางเฮ่อหลิงลงมือกะทันหัน กดตัวฟางเฮ่อหลิงลงไปยังเก้าอี้ที่อยู่ทั้งสองด้านของศาลบรรพบุรุษ
“ข้ายังไม่พัง ข้าฝึกบำเพ็ญถึงระดับโจวเทียนแล้ว ระดับผ่านสวรรค์ก็แค่นับวันรอ”
น้ำเสียงของเขา มีความบ้าคลั่งอยู่ด้วย
“ฟางเฮ่อหลิง เจ้าคิดจะทำอะไร” ฟางเจ๋อโฮ่วตำหนิขึ้นมา
“ท่านพ่อ ท่านจินตนาการถึงกำลังการเคลื่อนพลของสำนักกระดูกขาวไม่ออกหรอกว่ามีมากเท่าใด มีขั้วอำนาจที่นับไม่หวาดไม่ไหวกำลังช่วยโอวหยางเลี่ยถอนตัวออกจากรัฐอวิ๋น กลุ่มพ่อค้าของพวกเราเป็นหนึ่งในนั้น เขาอาจจะไปปรากฏในกลุ่มอื่นก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นของพวกเราเท่านั้น แต่พวกเราจำเป็นต้องมีสำนักกระดูกขาว” ฟางเฮ่อหลิง กดอยู่บนบ่าของฟางเจ๋อโฮ่ว จ้องมองเขาเอ่ยต่อว่า “ท่านรู้ไหมพอข้าช่วยพวกเขา พวกเขาให้อะไรกับข้า มันคือลูกกลอนโลหิตหวนคืน!”
“ข้าแค่กินลงไปเม็ดเดียวก็ทะลวงสู่ระดับโจวเทียนแล้ว ท่านรู้ไหมมันหมายถึงอะไร”
“ปีนี้ข้าเพิ่งเข้าสู่สำนักสายใน ถ้าหากฝึกบำเพ็ญขึ้นไปตามขั้น เมื่อไรข้าถึงจะไล่ตามหวางจ่างเสี่ยงกับจางหลินชวนทัน ตระกูลฟางของพวกเราคงต้องก้มหน้าไปตลอดกาล!”
“ตอนนี้มันต่างไปแล้ว ท่านรู้หรือไม่”
“ข้ารู้ว่าพวกท่านล้วนดูถูกข้า ฟางเผิงจวี่ เจียงวั่ง เจ้าหรู่เฉิง กระทั่งจางหลินชวน เสิ่นหนานชี! พวกเขามองข้าเป็นตัวตลก! ข้ารู้ว่าท่านก็ดูถูกข้าเหมือนกัน!”
“ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จะช้าเร็วต้องมีสักวันหนึ่ง ที่คนทั้งหมดจะกลับมามองข้า!”
“ท่านถามข้าว่ารู้ไหมตัวเองกำลังทำอะไร ข้ารู้อย่างชัดเจน ข้าก็แค่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองอย่างสุดกำลัง อย่างสุดจิตสุดใจก็เท่านั้น”
ฟางเจ๋อโฮ่วเดิมทีก็ไม่มีพรสวรรค์ด้านฝึกบำเพ็ญสูงนัก และเขาก็ไม่ได้แย่งชิงตำแหน่งมาได้ด้วยพลังบำเพ็ญ
ดังนั้นพออยู่ต่อหน้าลูกชาย เขาจึงไม่มีแรงจะต่อต้านเขา
ความก้าวหน้าทุกก้าวของฟางเฮ่อหลิงเขาคอยจับตาดูมาตลอดอยู่แล้ว เดิมทีรู้สึกชื่นชมเสียด้วยซ้ำ
แต่เขาไม่คิดเลยว่าสำนักกระดูกขาวจะสอดมือเข้ามาเช่นนี้ ใช้บททดสอบอันโหดร้ายที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย จนทำให้ลูกชายของเขากลับไปเป็นแบบเดิมในพริบตา
เขาเจ็บปวดอย่างมาก “เจ้าก็แค่ยืมหนังพยัคฆ์มาคลุมตัว!”
“ท่านพ่อ!”
ฟางเฮ่อหลิงคุกเข่าลงตรงหน้าฟางเจ๋อโฮ่ว
“ท่านพ่อ ท่านแค่เชื่อข้าสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าล้วนเดินตามเส้นทางที่ท่านวางไว้ ตอนนี้ให้ข้าได้ทำด้วยตนเองสักครั้ง ข้าไม่ได้หน้ามืดตามัว ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร ข้าไม่คิดที่จะเป็นเงาของใครอีกแล้ว!
ยืมหนังพยัคฆ์มาคลุม…ก็ไม่แน่ว่าจะไม่สำเร็จ!
อาจจะมีวันหนึ่ง ที่ลูกชายคนนี้จะสามารถปอกหนังพยัคฆ์มาให้ท่านเห็นจริงๆ”
“แต่เจ้าต้องมีพลังไปสู้กับพยัคฆ์เสียก่อนนะ เจ้าลูกโง่” ฟางเจ๋อโฮ่วทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยในใจเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ประตูใหญ่ศาลบรรพบุรุษปิดลงช้าๆ
วันนี้ ฟางเจ๋อโฮ่วถูกลูกชายคนเดียวกักตัวเอาไว้ในศาลบรรพบุรุษ อำนาจใหญ่ตระกูลฟางเปลี่ยนมือไปแล้วอย่างง่ายดาย
……………………………………….