ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 112 สามผสานบริบูรณ์ครบสมบูรณ์ วงจรจักรวาลเล็ก
บทที่ 112 สามผสานบริบูรณ์ครบสมบูรณ์ วงจรจักรวาลเล็ก
‘อันดับเก้าสิบเจ็ดระดับเคลื่อนชีพจร’
นี่คือผลลัพธ์ท้ายสุดหลังจากที่เจียงวั่งจับคู่การต่อสู้ในมิติมายาห้วงจักรวาล เขาทะลวงเข้ามาในหนึ่งร้อยอันดับแรกแล้ว
หลายศึกท้ายๆ เข้าเอาชนะมาอย่างหืดขึ้นคอ หากลองสู้อีกรอบ ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อีกครั้ง
เจียงวั่งเข้าใจดี ว่านี่เป็นขีดสุดของตัวเขาในปัจจุบันแล้ว
ด้านหลังข้อมูลยังมีอักษรบรรทัดเล็กอยู่อีกว่า ‘อันที่ที่ห้าสิบถึงหนึ่งร้อย หากรักษาอันดับได้ทุกวัน จะได้รับรางวัลสิบแต้ม’
แต่มันไม่เกี่ยวกับเจียงวั่งอีกแล้ว เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะทะลวงสู่ระดับโจวเทียน
เอาจริงๆ ในระดับเคลื่อนชีพจรเขายังมีกำลังแฝงที่ขุดค้นต่อไปได้ ตัวอย่างเช่นการใช้แต้มที่เหลืออยู่สองพันแปดร้อยแต้มของเขาที่เวทีแสดงเต๋า อนุมานวิชาเต๋าที่ใช้งานได้ ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าในช่วงนี้ หรือรอให้สำเร็จเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพ
แต่สิ่งเหล่านี้พอเทียบกับพลังบำเพ็ญมันก็เป็นแค่ไม้ประดับเท่านั้น
วินิจฉัยไร้เทียมทานรอบรู้วิชาเต๋ามากมาย ไม่ใช่เพราะเขามีกำลังวังชาไร้ขีดจำกัด และยิ่งไม่ใช่เพราะเขาติดอยู่ที่ระดับเคลื่อนชีพจรจนรุดหน้าต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขามีพรสวรรค์ที่พรั่งพรูต่างหาก วิชาเต๋าส่วนใหญ่เพียงแค่เรียนก็เป็นเลย พอเป็นแล้วก็กระจ่างทันที ไม่จำเป็นต้องเสียกำลังวังชาอะไรมากนัก
ทว่าถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ แต่ก็ยังคอยขัดเกลาวงจรจักรวาลเล็กของตนเองอยู่ตลอด ไตร่ตรองการก่อร่างสามพรสวรรค์ว่าแบบไหนที่เหมาะสมที่สุด เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่รู้มาจากการคุยเล่นกันของทั้งสองคน
แต่สำหรับเจียงวั่ง วงจรจักรวาลเล็กของเขาเป็นเรื่องที่อย่างไรก็สำเร็จอยู่แล้ว
เหมือนกับบุปผาเพลิงดอกนั้น เมล็ดพันธุ์งอกงาม เบ่งบานออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ
…
เจียงวั่งนั่งขัดสมาธิ จิตวิญญาณดำดิ่งอยู่ในจุดผ่านสวรรค์
จับคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งในมิติมายาห้วงจักรวาล เพื่อดูขีดจำกัดของตนเองก่อนที่จะทะลวงระดับ และตอนที่วงจรจักรวาลเสร็จสมบูรณ์ เขาเลือกที่จะก้าวไปต่อ ไม่คิดจะไร้เทียมทานอยู่ในระดับเคลื่อนชีพจร
สองกระแสวนเต๋าที่เจียงวั่งสร้างขึ้น แบ่งเป็นกระแสอาทิตย์และกระแสจันทรา
กระแสวนเต๋าที่สามตอนนี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นดวงดารา ย้อนกลับสู่จักรวาลทางช้างเผือก
กระแสวนเต๋าแรกคืออาทิตย์ แผนผังจักรวาลดารา เริ่มจากดาวอาทิตย์ อาทิตย์ขึ้นส่องสว่างแก่ใต้หล้า
กระแสวนเต๋าที่สองคือจันทรา พลังเทพจันทราแทบจะเกี่ยวข้องกับทั้งหมดของเขาแล้ว มีเพียงแสงจันทราก็ส่องกระจ่างจิตใจได้แล้ว
กระแสวนเต๋าที่สามคือดวงดารา อาทิตย์และจันทราล้วนอยู่ในทางช้างเผือก
อาทิตย์จันทราทางช้างเผือก เป็นระบบท้องฟ้าที่สอดผ่านกันไปมา และเป็นจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุด
ตอนรากพลังเต๋าก้อนสุดท้ายสลักลงไป ผังพลังจักรวาลดาราส่องประกายขึ้นอีกครั้ง ดวงดาราร่วงหล่นก่อตัวขึ้น
ส่วนยอดจุดผ่านสวรรค์ สามพรสวรรค์อาทิตย์จันทราดวงดาราหมุนวนดูสวยวิจิตร
วงจรจักรวาลเล็กเสร็จสมบูรณ์
อาทิตย์จันทราดวงดาวสามดวงสะท้อนสลับกัน ส่องสว่างจุดผ่านสวรรค์
เจียงวั่งสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าจุดผ่านสวรรค์ ‘ขยาย’ ขึ้นแล้ว
ไม่ใช่แค่ในด้านมิติพื้นที่เท่านั้น
เขาตอนนี้สามารถนำเอาวิชาเต๋าที่ใช้จนคุ้นเคยแล้วสลักลงไปบนส่วนยอด กำหนดให้เป็นวิชาเต๋าชั่วพริบตาวิชาแรกของตนเอง
วิชาเต๋านี้แน่นอนว่าต้องเป็นบุปผาเพลิงเท่านั้น
ปฏิทินศักราชจวงอันสงบสุขปีที่สิบสี่ เดือนสิบเอ็ดวันที่ยี่สิบสี่ เจียงวั่งสร้างกระแสวนเต๋าที่สาม สำเร็จวงจรจักรวาลเล็ก ย่างเข้าสู่ระดับโจวเทียนอย่างเป็นทางการ
วิชาเต๋าชั่วพริบตาที่สลักคือบุปผาเพลิง
นับตั้งแต่เปิดชีพจรจนถึงสร้างรากฐาน เขาใช้เวลาไปถึงสี่เดือนเต็ม และจากระดับเคลื่อนชีพจรถึงโจวเทียน เขากลับใช้เวลาเพียงสองเดือน นี่คือสิ่งที่เขาเลือกก่อนการตอบสนองการสร้างรากฐาน
ผลลัพธ์ในวันนี้ คือมูลเหตุของเมื่อวาน
…
ตอนที่เสียงประตูสำนักเปิดดังเอี๊ยด
หวางจ่างจี๋ถอนใจอย่างจำใจ “เจ้าทำไมจึงกลับมาอีกแล้ว ฝึกบำเพ็ญที่สำนักเขตปกครองมันสบายนักหรือ”
เขาพูดไปด้วยหันหน้ากลับมาจากเก้าอี้นอนไปด้วย และได้เห็นชายชราคนนั้นเดินเข้ามาในบ้าน
เขาเก็บสีหน้าทั้งหมดของเขาลง เม้มริมฝีปาก
แมวส้มอ้วนตัวนั้นนอนอยู่บนท้องของเขา กำลังเลียอุ้งเท้าอย่างเกียจคร้าน
ชายชรากำลังวังชาดี ก้าวเดินมั่นคงมีเรี่ยวแรง
เขาพ่นลมฮึออกจากรูจมูก “ทำไม พอเห็นพ่อตัวเอง จะทักทายหน่อยไม่ได้หรือ”
“ท่านพ่อ” หวางจ่างจี๋เอ่ยขึ้นอย่างจืดจางคำหนึ่ง
ท่าทีนี้ทำให้ชายชรายิ่งไม่พอใจหนักกว่าเดิม เขาร้องฮึขึ้นอีกเสียงหนึ่ง “เอาแต่เล่นกับแมวป่าทั้งวัน อ่านหนังสือ ไม่ทำการทำงาน!”
หวางจ่างจี๋กระทั่งไม่คิดจะอธิบายว่าเจ้าส้มไม่ใช่แมวป่า ทำเพียงลูบคลำศีรษะมัน ไม่พูดอะไร
ชายชราไพล่หลังเดินไปสองก้าว จึงได้เอ่ยกำชับขึ้นว่า “ช่วงนี้ห้องบัญชีขาดผู้ดูแลคนหนึ่ง เจ้าร่ำเรียนหนังสือพวกนี้มาพอดี ลองไปฝึกฝนเสียหน่อยสิ”
“ไม่ไป”
“ทำไมถึงไม่ไป” ชายชราย่นคิ้ว “หวางจ่างจี๋อย่างเจ้ามีฐานะสูงส่งกว่าคนอื่น จนทำงานทั่วไปไม่เป็นหรือ”
“ลูกเป็นคนเย็นชาเห็นแก่ตัว ทำเรื่องอะไรก็ไม่ได้ดี และไม่สามารถทำเรื่องอะไรได้อีกด้วย ท่านพ่อโปรดกลับไปเถิด”
“เจ้าไล่ใครกัน ที่เจ้าใช้เจ้าสวมใส่เจ้าพักอยู่ อะไรบ้างที่ไม่ใช่ของข้า”
“ข้าจะย้ายออก” หวางจ่างจี๋ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นอน กอดแมวอ้วนเดินออกไปด้านนอก
ไม่คิดจะจัดอะไร และไม่คิดจะนำอะไรออกไป
“หยุดนะ!” ชายชราเดือดดาล ยกนิ้วจรดลงไปบนหน้าผากเขา “เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโหจนตายหรือไรกัน”
หวางจ่างจี๋ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ให้นิ้วของชายชราออกห่างจากหน้าผากเขา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าไม่เข้าใจ ข้าอ่านหนังสือ เล่นกับแมว ปลูกผักทำกับข้าวอยู่ทุกวันมันไปขวางทางใครเข้าหรือ แล้วท่านจะมาโมโหทำไม”
“เจ้าเป็นลูกชายของข้าหวางเหลียนซาน จะมาทำตัวเป็นขยะที่กินนอนรอความตายเช่นนี้ไม่ได้!”
“ขยะ? หา ขยะ…” หวางจ่างจี๋เกาตัวแมวอ้วนในอ้อมกอด “ดูขยะของท่านคนนี้สิ”
อันที่จริงตาคิ้วของสองพ่อลูกก็ดูคล้ายกันอยู่ หากมองข้ามหัวข้อสนทนาของพวกเขาไป แล้วมองเพียงภาพที่อยู่ในบ้านเล็กหลังนี้ จะรู้สึกถึงความเข้ากันอย่างเกินคาด เพียงแต่ว่าพอเทียบกับความโกรธชังในดวงตาหวางเหลียนซาน สายตาของหวางจ่างจี๋ก็ดูจืดจางเสียเหลือเกิน
หวางเหลียนซานระงับอารมณ์ตนเองลง เอ่ยขึ้นเสียงแข็ง “น้องชายเจ้ามีพรสวรรค์มาก เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการฝึกบำเพ็ญ เจ้าในเมื่อไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ก็ควรจะรับผิดชอบงานการทั่วไปสิ ข้าเองก็อายุมากแล้ว…”
หวางจ่างจี๋ตัดบทความอ่อนโยนที่หาได้ยากของเขา “ไม่ล่ะ ท่านเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับโจวเทียน หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด ตอนข้าตายไปท่านก็ยังไม่ตายหรอก”
หวางเหลียนซานเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้นในตระกูลมาแต่ไหนแต่ไร ในชีวิตรับการโจมตีตั้งข้อสงสัยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือการลงทุนทรัพยากรครั้งใหญ่ไปบนลูกชายคนโต แต่ท้ายสุดกลับชุบเลี้ยงขยะคนหนึ่งออกมาแทน
ยังดีที่ลูกชายคนเล็กหวางจ่างเสียงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว บารมีของเขาในปัจจุบันจึงไม่อาจสั่นคลอนได้
เวลานี้ควบคุมอารมณ์ต่อไม่ไหวแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “เจ้าอยากให้ข้าพูดให้มันชัดเจนนักหรือ ขยะอย่างเจ้าในตอนนี้ นอกจากทำให้น้องชายเจ้ากังวลแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอยู่อีก เขาไปไม่กี่วันก็กลับมาหาเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้ารู้ไหมว่าการแข่งขันในสำนักเขตปกครองมันดุเดือดเพียงไหน”
“ข้าก็ว่าทำไมจู่ๆ ท่านจึงเป็นห่วงข้าขึ้นมา…” หวางจ่างจี๋ยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง!”
“ไม่เช่นนั้นใครอยากจะมาดูแลเจ้ากัน เจ้าอยากจะเป็นขยะต่อข้าก็ขี้เกียจจะมาสนใจ แต่ถ้าหากเจ้าส่งผลกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญของจ่างเสียง ข้าจะหักขาของเจ้าเสีย!”
“ท่านห้ามพูดเช่นนี้กับพี่ชายข้า!”
เสียงของหวางจ่างจี๋
เวลานี้เขายืนอยู่นอกประตูบ้านด้วยอาการเหนื่อยล้า อาทิตย์ยามเย็นอยู่ด้านหลังตัวเขา เหมือนจะกลืนจมหายแต่ก็ไม่จม
ใบหน้าที่อ่อนโยนเป็นนิสัยนั้น เวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“บังอาจ!” หวางเหลียนซานหันกลับมาคำราม “เจ้าพูดเช่นนี้กับพ่อของเจ้าได้อย่างไร”
“ขอโทษด้วยท่านพ่อ” หวางจ่างเสียงก้มหน้ารับผิดจากจิตใต้สำนึก แต่เพียงไม่นานก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยต่อว่า “แต่ว่าสิ่งที่พี่ชายกินสวมใส่และพักอาศัย ข้าล้วนออกทรัพย์เองได้ ท่านไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายชีวิตของเขา”
หวางเหลียนซานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “เขายอมทำตัวเป็นขยะมันก็เรื่องของเขา แต่เจ้าจงจดจำตัวตนฐานะของเจ้าไว้! ในตระกูลมอบทรัพยากรฝึกบำเพ็ญให้เจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาทำตัวขาดๆ เกินๆ ไม่ปะติดปะต่อเช่นนี้!”
“ข้าจะพยายามฝึกบำเพ็ญ” หวางจ่างเสียงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “แล้วก็ ท่านอย่าเรียกเขาว่าขยะอีก”
“ปีกกล้าขาแข็งกันหมดแล้ว!” หวางเหลียนซานสะบัดชายเสื้อเดินออกไป “ข้าไม่สนใจแล้ว แล้วแต่พวกเจ้าแล้วกัน!”
พี่น้องทั้งสองคนมองแผ่นหลังของเขาย่ำเท้าออกจากตัวบ้านไป
“ไปขวางเขาทำไมกัน” หวางจ่างจี๋เอ่ยขึ้นเสียงจืดจาง “ข้าเดิมทีก็เป็นขยะอยู่แล้ว”
หวางจ่างเสียงหันหน้ากลับมามองเขาทันที “ท่านไม่ใช่!”
พอเห็นสีหน้าดื้อรั้นของน้องชาย หวางจ่างจี่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เอาล่ะๆๆ ข้าไม่ใช่”
เขายกนิ้วดีดไปทีศีรษะแมวส้ม “มันต่างหากที่เป็น”
เจ้าส้มไม่รู้ว่าคนน่าเบื่อพวกนี้คุยอะไรกัน ทำเพียงบิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมกอดหวางจ่างจี๋ ครางเหมียวเสียงต่ำออกมา
โลกใบนี้ เหมือนในที่สุดก็มีความโกรธขึ้นมาแล้ว
……………………………………….