ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 113 เรื่องราวเบื้องหลังโครงกระดูก
บทที่ 113 เรื่องราวเบื้องหลังโครงกระดูก
หลังจากที่ก้าวสู่ระดับแปดวัฏจักรดาราอย่างเป็นทางการ เจียงวั่งก็ปรับจำนวนครั้งการฝึกทะลวงชีพจรทุกวันกลับมาเป็นสองครั้งเช้าเย็น
การฝึกฝนต่อไปก็ไม่ได้ตั้งเป้าเรื่องความเร็วในการหลอมกระแสวนเต๋าแล้ว ตรงกันข้ามกลับผ่อนความเร็วลง ทำรากฐานให้มั่นคง
เขาสร้างสามผสานบริบูรณ์ สร้างวงจรจักรวาลเล็กได้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลองอยู่แล้ว แต่การสะสมวงจรจักรวาลใหญ่กลับยังไม่เพียงพอ
แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น งูศักดิ์สิทธิ์รัดดารารวมกับกระแสวนแม่น้ำดาราวงที่สาม รากพลังเต๋าที่เกิดขึ้นในจุดผ่านสวรรค์ทุกวันของเจียงวั่งก็ไปถึงสามสิบสามเม็ดแล้ว นี่หมายความว่าประมาณสิบวันก็สร้างกระแสวนเต๋าได้ใหม่หนึ่งวง
เจียงวั่งกำลังอยู่ในช่วงใช้รากพลังจำนวนมหาศาลมาฝึกฝนวิชาเต๋า ขัดเกลารากฐานขอบเขตวัฏจักรดาราพอดี
ตอนนี้ในบรรดาพี่น้อง เจียงวั่งกับตู้เหยี่ยหู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขอบเขตวัฏจักรดาราทั้งคู่
ตู้เหยี่ยหู่อยู่ในกองทัพบรรลุความเร็วในการฝึกฝนถึงขั้นนี้ได้ นอกจากเดินสายทหารทำการทะลวงเลือดลมแล้ว เคล็ดวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพก็จะต้องบรรลุแล้วด้วยอย่างแน่นอน ในจุดนี้เขาทิ้งระยะห่างเจียงวั่งไปแล้วเล็กน้อย
เจ้าหรู่เฉิงกลับสร้างรากฐานสำเร็จแล้วอย่างเงียบๆ ไล่ตามพลังบำเพ็ญหลิงเหอทันแล้ว
ผู้บำเพ็ญระดับเก้าขอบเขตเคลื่อนชีพจรสองคน ผู้บำเพ็ญระดับแแปดขอบเขตวัฏจักรดาราหนึ่งคน สามารถจับเป็นกลุ่มเล็กได้อย่างอิสระ ออกไปทำภารกิจที่ความยากค่อนข้างสูงบางอย่างได้แล้ว
ความปรารถนาในแต้มเต๋าของผู้บำเพ็ญนั้นไม่มีขีดจำกัด
ยกตัวอย่างเช่นหลิงเหอกับเจ้าหรู่เฉิงอย่างน้อยๆ แต่ละคนต้องมีอาวุธเวทหนึ่งชิ้น อาวุธเวทระดับต่ำสองชิ้นต้องการหนึ่งพันแต้มเต๋า ยกตัวอย่างเช่นวิชาเต๋ายอดเยี่ยมนอกจากวิชาเต๋าพื้นฐานที่มีผลในการยกระดับกำลังรบอย่างเห็นผลในทันที ก็ต้องใช้แต้มเต๋าในจำนวนหนึ่งแลก ยกตัวอย่างอีกเช่น เจียงวั่งจะหาลูกกลอนเปิดชีพจรที่ดีหน่อยให้อันอัน แต่เขาตอนนี้ไม่รู้กระทั่งราคา จึงทำได้เพียงแค่สะสมให้มากเท่านั้น
ดังนั้นจะต้องกระตือรือร้นนออกไปทำภารกิจ กระตือรือร้นออกไปท้าทาย
ทั้งสามารถฝึกฝนเรื่องราวทางโลกได้ ทั้งยังสามารถพิสูจน์สิ่งที่เรียนไปได้ ซ้ำยังได้ช่วยสร้างรัฐอีกด้วย ต้องยอมรับเลยว่าคนที่สร้างระบบแต้มเต๋าคนแรก เป็นอัจฉริยะที่มองทะลุเรื่องราวทางโลกได้อย่างแท้จริง
หวงอาจ้านแม้จะมารวมตัวอยู่กับพวกเขา แต่ในฐานที่เป็นศิษย์พี่รุ่นที่แล้ว เขาก็มีกลุ่มประจำอยู่แล้ว
โดยปกติแล้วกลุ่มที่ออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยกันต้องไม่เกินห้าคน
พวกเจียงวั่งแม้จะมีเพียงแค่สามคนแต่ก็พูดไม่ได้ว่าอ่อนแอ
ตอนแรกเจียงวั่งสร้างรากฐานไม่ได้เสียที แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตวัฏจักรดาราได้เร็วขนาดนี้
คนอื่นยิ่งไม่รู้เรื่องการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งในมิติมายาห้วงจักรวาล เจียงวั่งที่ใช้ ‘แต้ม’ มาฝึกฝนปูเส้นทางตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด
แม้จะก้าวสู่ระดับวัฏจักรดาราได้ไม่นาน แต่หากตอนนี้จัดการประลองสามเมืองเสวนาเต๋าอีกครั้ง เขามีความมั่นใจว่าสามารถชิงตำแหน่งชนะเลิศของนักเรียนชั้นปีสามได้
ด้วยพลังบำเพ็ญและกำลังรบเจียงวั่งนำหน้าคนอื่นๆ แล้ว แต่หัวหน้ากลุ่มก็ยังคงเป็นหลิงเหอ
ก่อนนั้นตั้งแต่อยู่สายนอกก่อนก็เป็นเช่นนี้ หลิงเหอคิดอะไรรอบคอบ ทำอะไรระมัดระวัง แม้การมีตัวตนอยู่เหมือนจะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็เป็นบุคคลที่ทำอะไรไม่พลาดที่สุด อีกทั้งในสำนักเต๋าเขาก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีที่สุด
จำนวนสมาชิกที่ขาดไปของกลุ่ม พวกเจียงวั่งตัดสินใจว่าจะเลือกศิษย์น้องปีหน้าเข้ามาเสริม หากไม่มีที่เหมาะสมก็ยอมให้ว่างไว้เสียดีกว่า
อยู่กลุ่มเดียวกันต้องเผชิญกับบททดสอบมากมาย เจตจำนงตรงกันสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ใช่คนมากขึ้นหนึ่งคนกำลังรบก็เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนแบบนั้นแน่ บางครั้งคนที่ไม่เหมาะสมเพียงคนเดียวก็ทำร้ายคนทั้งกลุ่ม
ภารกิจแรกที่ได้รับหลังจากจับกลุ่มได้เป็นภารกิจระดับแปด
อีกทั้งยังเป็นภารกิจที่สำนักเต๋าประกาศให้พวกเขา ไม่สามารถปฏิเสธได้ แน่นอน รางวัลเพิ่มขึ้นจากปกติสามส่วน
ที่มาของภารกิจก็ไม่ซับซ้อน:
ลูกศิษย์สำนักจำนวนสมาชิกครบสมบูรณ์กลุ่มหนึ่งทำภารกิจไล่สังหารมารร้ายนอกรีตสองคนตายเกือบยกกลุ่ม มีเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตเคลื่อนชีพจรคนเดียวเท่านั้นที่เหลือรอด
จากรายงานบอกไว้ว่า พลังบำเพ็ญของมารร้ายสองคนนั้นล้วนเป็นแค่ระดับเก้าเท่านั้น แต่กลุ่มสำนักเต๋ากลุ่มนี้มีผู้บำเพ็ญระดับแปดขอบเขตวัฏจักรดาราถึงสองคน ระดับเก้าขอบเขตเคลื่อนชีพจรสามคน ตามหลักแล้วเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน
สิ่งที่กลุ่มของหลิงเหอต้องทำก็คือตรวจสอบความจริงของเบื้องหลังภารกิจนี้
และผู้โชคดีเหลือรอดเพียงคนเดียวของภารกิจนั้นคือฟางเฮ่อหลิง
……
ฝืนใจมาตระกูลฟางอีกครั้ง จิตใจของเจียงวั่งซับซ้อนเหลือทนอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเคยมาดื่มที่นี่อย่างสะใจมีความสุข และเคยหนีรอดจากความตายที่นี่ด้วยเช่นกัน
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ทั้งตระกูลฟาง คนในตระกูลฟางสีหน้าท่าทางดูเร่งรีบ ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย แน่นอน ยิ่งไม่มีการมองมาอย่างอาฆาตอย่างที่คิดล่วงหน้าเอาไว้ด้วย
เจ้าหรู่เฉิงมองตาเจียงวั่งแวบหนึ่งก็ยื่นมือขวางหญิงสาวที่เดินผ่านมาคนหนึ่งเอาไว้
“สวัสดีแม่นาง ขอถามสักหน่อยเถิดว่าฟางเฮ่อหลิงอยู่ที่ใด”
ผู้หญิงคนนี้เดิมหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง แต่เห็นใบหน้าหล่อเหลางดงามของเจ้าหรู่เฉิงดวงนั้น ก็ผ่อนคลายลงไปหลายส่วน ลูบผม “เจ้าถามถึงท่านประมุขตระกูลน้อยอย่างนั้นหรือ…”
ท่านประมุขตระกูลน้อยรึ
เจ้าหรู่เฉิงรู้สึกสนใจขึ้นมาหน่อยๆ ยิ้มพูดขึ้นว่า “พวกเราเป็นลูกศิษย์สำนักเต๋า มีธุระมาหาศิษย์น้องฟาง ไม่ทราบว่าแม่นางสะดวกบอกหรือไม่”
ได้ยินเจ้าหรู่เฉิงบอกว่าเป็นลูกศิษย์สำนักเต๋า อีกทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของฟางเฮ่อหลิง ผู้หญิงคนนี้ก็คลายความโมโหที่ถูกขวางไว้กลางทางไปจนหมดสิ้น รอยยิ้มก็เปลี่ยนมาสดใสเป็นอย่างยิ่ง “ท่านประมุขตระกูลน้อยอยู่เจ้าค่ะ! ที่นี่ทางซับซ้อน ข้านำท่านไปก็แล้วกัน”
นางพูดพลางเดินนำเจ้าหรู่เฉิงไปข้างหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบก็เมินเฉยหลิงเหอและเจียงวั่งไปโดยสิ้นเชิง
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว” เจ้าหรู่เฉิงยิ้มอ่อนโยน ประดุจสายลมวสันต์มอบความอบอุ่น
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสานตลอดทาง หลิงเหอและเจียงวั่งตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านของหลิงเหอ ทั้งสองคนก็เริ่มแลกเปลี่ยนชะตาตกฟากกันแล้ว
หลังจากบอกจุดประสงค์ที่มากับคนเฝ้าประตู ผู้หญิงคนนั้นถึงได้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
เจ้าหรู่เฉิงยิ้มบอกลากับนาง หมุนตัวกลับมา หัวเราะขึ้นพูดว่า “น่าสนใจจริงๆ”
เรื่องที่น่าสนใจแน่นอนว่าไม่ใช่แม่นางคนนี้
จากการสนทนาเมื่อครู่ พวกเขาเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของตระกูลฟางเป็นอย่างดีแล้ว
ประมุขตระกูลชราที่ล้มหมอนนอนเสื่อมานานหลายปีของตระกูลฟางเพิ่งสิ้นใจไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และแน่นอนว่าฟางเจ๋อโฮ่วประมุขตระกูลฟางตามความจริงก็ควรได้ดำรงตำแหน่งไปอย่างสมเหตุสมผล
แต่ตอนนี้คนที่เป็นคนตัดสินชี้ขาดกลับเป็น ‘ท่านประมุขตระกูลน้อย’ ฟางเฮ่อหลิง
เพราะหลังจากฟางเจ๋อโฮ่วรับตำแหน่งประมุขตระกูลก็มอบอำนาจทั้งหมดของตระกูลให้กับบุตรชาย
อย่างไรเสียนี่เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว ปูทางให้บุตรชายตัวเองก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว แต่ทำให้คนรู้สึกว่านี่รีบร้อนเกินไปหน่อย อีกทั้งฟางเจ๋อโฮ่วยังหนุ่มยังแน่น จะอย่างไรก็ไม่ควรเกษียณตัวเองเร็วแบบนี้
ในตอนที่พวกเขากำลังขบคิดอะไรในใจ ผู้เฝ้าประตูก็กลับมารายงาน
ฟางเฮ่อหลิงไม่ได้วางท่า เดินออกมาจากประตูใหญ่ตามคนเฝ้าประตูมา ทำสีหน้าไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทมากนัก
นี่เป็นการพัฒนาอย่างหนึ่ง เจียงวั่งยังคิดว่าด้วยนิสัยของเขาอย่างไรก็คงต้องก่อกวนกันสักหน่อย
“มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” เขาถามหลิงเหอ
“คือแบบนี้ศิษย์น้องฟาง” หลิงเหออธิบาย “เกี่ยวกับภารกิจที่เจ้าเผชิญก่อนหน้านี้…”
“ภารกิจนั้นข้าตอบคำถามไปอย่างชัดเจนแล้ว สำนักเต๋า กรมอาญา ล้วนมีบันทึกเอาไว้ทั้งสิ้น” ฟางเฮ่อหลิงตัดบท “พวกเจ้าไปเปิดอ่านได้ แต่ไม่ใช่มาถามข้าอีก พวกเจ้าไม่มีอำนาจนั้น ข้าเองก็ไม่มีความจำเป็นเช่นกัน”
“พวกเรามีอำนาจ” หลิงเหอเอ่ยอย่างหนักแน่น “พวกเรารับภารกิจตรวจสอบของสำนักเต๋า ไม่ว่าใครหรือองค์กรใดที่เกี่ยวข้องล้วนต้องให้ความร่วมมือกับพวกเรา ไม่ใช่แค่เจ้า แต่กรมอาญาก็เช่นกัน”
“ภารกิจตรวจสอบรึ” ฟางเฮ่อหลิงเหมือนจะตื่นตะลึงไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็สะกดอารมณ์ลงไป ไม่ได้เผยอารมณ์ออกมามากกว่านั้น
เพียงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะพูดอีกรอบ วันนั้นพวกเราไล่สังหารมารร้ายสองคน พอถึงภูเขาลูกหนึ่งนอกตำบลตู้เจีย เนื่องจากติดต่อเชื่อมกับเทือกเขาฉีชางแล้ว ขาของข้ายังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงบอกว่าจะดักซุ่มนอกภูเขา รอมารร้ายลงจากเขาดีหรือไม่”
แต่ศิษย์พี่จางซีจื้อที่เป็นหัวหน้ากลุ่มดึงดันไม่ยอม เขาให้ข้าอยู่รักษาตัว ส่วนตัวเขาพาคนอื่นๆ เข้าไปในเขา
ขอรออยู่จนถึงวันที่สองพวกเขาก็ยังไม่ลงจากเขา ก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว จึงติดต่อทางการของท้องถิ่น กรมอาญาและสำนักเต๋าล้วนส่งคนมา พบโครงกระดูกของพวกเขาในถ้ำแห่งหนึ่ง นี่ก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ขาของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่หลายชั้น มีรอยเลือดซึมๆ ด้วย
“มีเพียงโครงกระดูกรึ” เจียงวั่งถาม เขาอดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำบลถังเส่อไม่ได้
ฟางเฮ่อหลิงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ในแววตามองไม่เห็นอารมณ์โกรธแค้นอาฆาตแบบนั้นแล้ว “ใช่”
เขาหันไปทางหลิงเหอพูดขึ้นว่า “ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้ เรื่องอื่นข้าไม่รู้ ปู่ข้าตายแล้ว ท่านพ่อก็เสียใจแสนสาหัส ไม่สามารถดูแลจัดการงานได้ ตอนนี้ตระกูลฟางทั้งระดับบนและล่างล้วนเป็นข้าที่แบกเอาไว้ ข้ายุ่งมาก ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรอย่าได้รบกวนข้าได้หรือไม่”
พูดจบ เห็นหลิงเหอที่ไม่ขยับเท้า เข้าก็พูดขึ้นว่า “ยังมีธุระอะไรอีกไหม”
“ข้าอยากเข้าไปจุดธูปสักหน่อย”
“อะไรนะ” ฟางเฮ่อหลิงคิดว่าตัวเองได้ยินผิด
แต่หลิงเหอเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าอยากจุดธูปให้ปู่ของฟางเผิงจวี่ ตอนเขายังมีชีวิตอยู่รักและเอ็นดูเผิงจวี่มาก”
เขาแค่อยากเซ่นไหว้สักหน่อยเท่านั้นจริงๆ บริสุทธิ์ และเรียบง่าย
ฟางเฮ่อหลิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก็หลีกทางบริเวณเข้าไปในประตูให้
………………………………………………………