ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 116 คืนนี้ไม่มีคนหลับลง
บทที่ 116 คืนนี้ไม่มีคนหลับลง
เจียงวั่งทั้งสามคนมารวมตัวกันอีกครั้ง นำเอาข้อมูลที่ได้มาสรุปรวมกัน
“เอาล่ะ!” เจ้าหรู่เฉิงเคาะศีรษะ “ข้อมูลที่ทุกคนได้รับมาไม่มีอะไรแตกต่างกัน มีความน่าเชื่อถือ เช่นนั้นจางซีจื้อคนนี้ก็เป็นเช่นนี้นั่นล่ะ”
เขาเสริมขึ้นว่า “ไม่ว่าด้านมืดเขาจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อปกติเขาเป็นเช่นนี้ ตอนอยู่ต่อหน้าศิษย์น้องขณะทำภารกิจคงจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงขึ้นมากะทันหันหรอก”
“รอบคอบมาก” เจียงวั่งชูนิ้วโป้งให้
เจ้าหรู่เฉิงมองบน จากนั้นจึงวิเคราะห์ต่อ “นิสัยของจางซีจื้อ มีจุดที่โดดเด่นอย่างมากจุดหนึ่ง คนในครอบครัวหรือเพื่อนของเขาล้วนเอ่ยขึ้นกันหมด นั่นก็คือ ‘มั่นคง’ ใช้อีกคำหนึ่งก็คือ ‘ปอดแหก’ นั่นล่ะ ความอันตรายในเทือกเขาฉีฉางใครๆ ก็รู้ การที่คนอย่างเขาจะกวดขึ้นไปบนเขามีเพียงสาเหตุเดียว นั่นคือมั่นใจอย่างมากต่อเป้าหมาย เขาพิจารณาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเยอะก็สามารถสำเร็จภารกิจลงจากเขาได้ โดยระดับความอันตรายอยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุม”
เขายิ้มถามขึ้นว่า “นี่อธิบายได้ถึงอะไร”
หลิงเหอเองก็หัวเราะ “อธิบายว่าพวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาหารือกันเลย เป้าหมายเพียงแค่ยื่นมือไปถึงก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ตัวเลือกแรกของพวกเขาแน่นอนว่าคือการไล่ตามขึ้นไป แต่ไม่ใช่หยุดเพื่อหารือ สิ่งที่ฟางเฮ่อหลิงบอกว่าได้เอ่ยเตือนตอนที่ซุ่มกำลังอยู่ใต้เขา จางซีจื้อทำการจัดแบ่งหน้าที่จากนั้นจึงขึ้นไปบนเขาด้วยความต้องการของตนเอง เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง”
“เฮ้อ พอพยัคฆ์ตู้ไม่อยู่ สายตาอ้อนวอนอยากรู้ให้ได้เลยไม่ได้เห็น” เจ้าหรู่เฉิงจงใจทำท่าเศร้าโศก “ข้าหดหู่เหลือเกิน”
“รอสิ้นปีให้พยัคฆ์หู่กลับมาก่อน เจ้าก็ไปพูดกับเขาเลย” เจียงวั่งตบลงบนบ่าเขา “ต่อให้เจ้าลืมไปแล้ว ข้าก็จะช่วยเจ้าบรรยายออกมาเอง”
“เฮ้อ! บรรยายอะไรเล่า ข้าพูดอะไรออกไปทำไมข้าจะจำไม่ได้” เจ้าหรู่เฉิงมองหลิงเหอ “พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วหรือ”
หลิงเหอขี้เกียจจะสนใจพวกเขาเย้าแหย่กัน เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด “ฟางเฮ่อหลิงทำไมต้องโกหกกัน”
เจ้าหรู่เฉิงหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพื่อจะหนี ก็คงจะสมคบคิดกับศัตรูไปแล้วนั่นล่ะ”
สาเหตุที่ไม่น่าใช่แผนที่คิดไว้แล้วล่วงหน้า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ฟางเฮ่อหลิงจะมีแผนสมคบคิดกับพวกวิถีชั่วร้ายเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า นั่นเพราะการปั้นเรื่องที่ฝก่ตนเองติดร่างแหไปด้วย ออกจะดูโง่เกินไปหน่อย ฟางเฮ่อหลิงต่อให้โง่แค่ไหนก็ไม่น่าจะโง่ได้ถึงระดับนี้
หลิงเหอไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ถอนหายใจออกมากะทันหัน
เขารู้ว่าตระกูลฟางจบสิ้นแล้ว
เรื่องนี้มันหนักหนาเหลือเกิน หากเปิดเผยออกไป หนทางข้างหน้าของฟางเฮ่อหลิงก็ไม่เหลือความหวังอีกแล้ว และตระกูลฟางทั้งหมดก็จะโดนหางเลขไปด้วย
“สถานที่เกิดเหตุพวกเราก็ไม่ต้องไปดูแล้ว พวกเราไม่มีทางทำได้ดีกว่าคนของกรมอาญา เบาะแสเดียวที่ตอนนี้ต้องติดตามคือฟางเฮ่อหลิง ไม่ว่าเขาจะหลบหนีหรือสมคบคิดกับศัตรู หากตรวจสอบจนกระจ่างก็สามารถอธิบายได้เอง” เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยถามขึ้น “ใครจะไป”
“ข้าแล้วกัน” ฟางเฮ่อหลิงถึงอย่างไรก็น่าจะพัวพันกับวิถีชั่วร้าย เจี่ยงวั่งที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งสุดจึงไม่เกี่ยงงอนที่จะรับหน้าที่
หลิงเหอเจ้าหรู่เฉิงก็ไม่มีความเห็นอื่น ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายทันที
หากฟางเฮ่อหลิงเข้าสู่วิถีชั่วร้าย ก็อาจจะส่งคนมาแอบจับตาดูพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวให้ดูเป็นปกติ
หลิงเหอกลับไปฝึกบำเพ็ญ เจียงวั่งกลับไปฝึกบำเพ็ญ ขณะเดียวกันก็คอยชี้แนะศิลปะการต่อสู้ให้กับเจียงอันอันและถังตุนไปด้วย
เจ้าหรู่เฉิงกลับบ้านไปนอน
…
‘คนอื่นฝึกบำเพ็ญข้าไม่ทำ ตะวันอยู่กลางฟ้าน่านอนจะตาย’
เจ้าหรู่เฉิงที่ขี้เกียจจนเป็นนิสัย อดทนวุ่นวายมาทั้งวัน พอผ่านเวลาการไขปริศนา ก็ถึงเวลาแห่งการนอนเสียที
พอกลับถึงห้อง เขาเลิกผ้าห่มออกตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน
น้าเติ้งในชุดคลุมยาวผ้าไหมก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เจ้าหรู่เฉิงมองเขา รอเขาเอ่ยพูด
“คนของกรมอาญากำลังตรวจสอบพวกเรา” น้าเติ้งเอ่ยขึ้น
เจ้าหรู่เฉิงนิ่งงันลงครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็อยู่อีกไม่นานแล้ว ไม่ใช่หรือ”
น้าเติ้งมุมปากกระตุก “ปิดบังอะไรท่านไม่ได้เลย”
“คืนนั้นที่ท่านหลั่งเลือด นอกจากเจ้าพวกสุนัขล่าเนื้อฝูงนั้นไล่ขึ้นมา ยังจะมีเหตุผลอะไรอีก?”
“ไม่ถือว่าไล่อะไร” น้าเติ้งเอ่ยต่อ “รู้ว่าท่านชอบที่นี่ ข้าจึงจงใจอ้อมทาง ดึงพวกเขาไปยังสถานที่อื่น”
“ยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
น้าเติ้งคิดๆ ตอบว่า “สิ้นปี”
“ยังข้ามปีด้วยกันกับพวกเขาได้ก็ดีมากแล้ว” เจ้าหรู่เอ่ยทิ้งตัวลงนอน ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะ น้ำเสียงดังลอดออกมาจากใต้ผ้าห่มอู้ๆ อี้ๆ “ปล่อยคนของกรมอาญาตรวจสอบไปเถอะ ถ้าหากมันมากเกินไป ท่านก็จัดการเสีย”
น้าเติ้งยิ้ม “ทราบแล้ว”
…
ดึกดื่นที่เงียบสงบ หลังจากเจียงวั่งสำเร็จการฝึกตนตอนค่ำ ก็ออกจากห้องไปเงียบๆ ตรงไปยังพื้นที่ตระกูลฟาง
พอประตูบ้านปิด ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงอันอันจึงคลานออกมา หยิบเอาเสื้อผ้าตัวหนาของพี่ชายมาคลุมตัว ล้วงกระเรียนเมฆาตัวอวบอ้วนออกมา นั่งพังพาบบนเก้าอี้ตัวเล็ก เริ่มเขียนจดหมายให้กับพี่สาวคนสวยคนนั้น
พี่ชายชอบมาแอบดูจดหมายของนางแต่คิดว่านางไม่รู้ นางแค่ไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความลับเล็กๆ ของตนเอง ตอนนี้นางจึงมักใช้โอกาสเวลาที่พี่ชายไม่อยู่มาเขียนจดหมายหรืออ่านจดหมายแทน
…
ภายใต้การปิดบังของทิวาราตรี เจียงวั่งลอบเข้ามาในพื้นที่ตระกูลฟางอย่างราบรื่น
เขาคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี หลบเลี่ยงจากผู้คุ้มกันตระกูลฟางที่ออกลาดตระเวนยามค่ำคืนอย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้าเคยทำเรื่องเช่นนี้กับสยงเวิ่น
พอเทียบกับคืนนั้น การเตรียมพร้อมในพื้นที่ตระกูลฟางดูจะแน่นหนาขึ้นมาหน่อย ทว่าจิตใจกำลังวังชาของผู้คุ้มครองตระกูลเหล่านั้น เจียงวั่งรู้สึกว่าสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
เพียงไม่นานเขาก็มาถึงใกล้ๆ บ้านฟางเฮ่อหลิง เริ่มค้นหาตำแหน่งหมอบซุ่มที่ดีที่สุด ตอนกลางวันเจ้าหรู่เฉิงมาดูไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตอนที่เจียงวั่งเข้าไปใกล้ตำแหน่งเป้าหมาย เขาพบว่าที่นั่นมีคนหมอบซุ่มอยู่แล้วคนหนึ่ง จากมุมนี้มองเห็นได้เพียงส่วนข้างท้ายทอยของเขา
ไม่ต้องเดา คนของกรมอาญาแน่นอน
นี่คือความเป็นไปได้ที่เจ้าหรู่เฉิงพูดออกมาก่อนหน้า
พวกของเจียงวั่งตรวจสอบได้ว่าฟางเฮ่อหลิงมีปัญหา คนของกรมอาญาเองก็ไม่ได้ตาบอด ก่อนหน้านี้ที่ตรวจสอบอะไรออกมาไม่ได้เสียที เกรงว่าน่าจะแค่พฤติกรรมเลินเล่อต่อเป้าหมายก็แค่นั้น
เจียงวั่งไม่ได้บุ่มบ่าม สะกดกลั้นหายใจ ย้ายตัวไปยังจุดอื่น…บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับมุมกำแพงหลังบ้าน
กิ่งไม้ในฤดูหนาวใบไม้บางตา ไม่น่าจะปิดบังร่องรอยอะไรได้ แต่ในช่วงกลางคืนถือเป็นจุดที่อำพรางได้ดีที่สุด
เจียงวั่งขดตัวอยู่ในกิ่งก้านต้นไม้ ลดโอกาสการถูกจับได้ให้มากที่สุด มีเพียงดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่จวนตระกูลฟาง
สะกดหายใจรวมสมาธิ เฝ้ารอการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
…
สายลมหวีดหวิวยามค่ำคืน เงาจันทร์เลือนลางในเมฆหนา
ไฟในห้องฟางเฮ่อหลิงดับไปนานแล้ว แต่เวลานี้เขากลับพุ่งออกมาจากตัวบ้าน ดีดตัวขึ้นมาบนหลังคา หันมองไปยังทิศทางหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนลงพื้นไร้ซุ่มเสียงพุ่งตัวจากไป
และจากการเคลื่อนไหวที่ไร้ซุ่มเสียง ก็มองเห็นพลังของคนผู้นี้ที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ไม่แน่ เขาอาจจะสำเร็จวงจรจักรวาลเล็กเข้าสู่ระดับโจวเทียนแล้ว!
เจียงวั่งไม่ได้รีบไล่ตาม แต่ยังอดทนต่ออีกหลายชั่วอึดใจ
และก็มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งออกมาจริงๆ แต่ตำแหน่งที่คนผู้นี้พุ่งออกมา กลับไม่ใช่ตำแหน่งซ่อนตัวของสายสืบกรมอาญาที่เจียงวั่งพิจารณาไว้ล่วงหน้านั้น
คืนนี้มีบุคคลที่สามจับตาดูฟางเฮ่อหลิงเอาไว้ด้วย!
ที่แปลกกว่าก็คือ คนผู้นี้ไม่ได้ติดตามฟางเฮ่อหลิงไป ทว่ากลับหันตัวไปอีกตำแหน่งหนึ่งของพื้นที่ตระกูลฟาง เจียงวั่งจำได้ ว่าทางนั้นคือทิศของศาลบรรพบุรุษตระกูลฟาง
เจียงวั่งไม่ขยับตัว ผ่านไปอีกหลายอึดใจ สายสืบกรมอาญาคนนั้นจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว ไล่ตามไปยังทิศทางของฟางเฮ่อหลิง
เจียงวั่งยังคงไม่ขยับ จนหลังจากที่คนไล่ตามใกล้จะหายลับไปแล้วจึงลงมาจากต้นไม้ ไล่ตามไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
จนถึงตอนนี้เขาถึงสามารถยืนยันได้ ว่าคืนนี้ไม่มีบุคคลที่สี่ปรากฏตัวออกมาแล้ว
……………………………………….