ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 121 ความอบอุ่นในโลกมนุษย์
บทที่ 121 ความอบอุ่นในโลกมนุษย์
ตอนนั้นต่งเอออยู่ในราชสำนัก กล่าวโทษแม่ทัพใหญ่หวงฝู่ตวนหมิงอย่างไร้ความเกรงกลัว ตำหนิอย่างโกรธเคืองว่าเขากุมอำนาจกองทัพเอาไว้เพียงผู้เดียว
ทั้งยังใช้คำที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่งคำหนึ่งว่า ‘อาจคิดไม่ซื่อ’
บทสุรปคือหวงฝู่ตวนหมิงยังคงมั่นคงดุจขุนเขา ต่งเออถูกส่งมาเมืองเฟิงหลิน ออกจากศูนย์กลางอำนาจราชสำนักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซ้ำนี่ยังเป็นถึงผลสรุปจากการช่วยเหลือสุดกำลังอย่างเงียบๆ จากอัครมหาเสนาบดีตู้อีกด้วย
นอกเสียจากว่าหวงฝู่ตวนจะตกต่ำ ไม่อย่างนั้นแล้วตลอดชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจกลับไปยังเมืองซินอันได้อีกแล้ว
……
จิตใจของต่งเออมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง
จวบจนกระทั่งเรื่องทั้งหมดจบสิ้น เขาถึงได้หันมามองบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ของปีนี้ “เจ้ามาหาข้าวันนี้มีธุระอะไร”
เจียงวั่งเดิมตัดสินใจเอาไว้ดิบดีแล้ว แต่เมื่อเรื่องมาถึง กลับลังเลขึ้นมา
อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตของตนและครอบครัว
เขาลังเลพลางเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่…”
ต่งเออหมุนตัวก็เดินจากไป “เช่นนั้นก็รอให้เจ้าคิดดีแล้วค่อยพูด”
เจียงวั่งไม่ตอบอะไร
……
จวบจนกระทั่งเดินมาถึงเรือนที่พัก เจียงวั่งก็ยังคงเดินตามอยู่ข้างหลัง
ต่งเออก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปยังห้องทำสมาธิ นั่งขัดสมาธิไปบนเบาะรองนั่ง
เหมือนว่าหากเจียงวั่งยังไม่พูด เขาก็จะเริ่มฝึกบำเพ็ญแล้ว
“อาจารย์ต่ง!”
เจียงวั่งตัดสิจใจแน่วแน่ คุกเข่าแล้วหมอบลงไปกับพื้นทันที ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำความเคารพสูงสุดเช่นนี้ และก็ทำให้คนเข้าใจถึงความจริงจังและความเด็ดเดี่ยวของเขาเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ต่งเออกลับเพียงแค่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ลุกขึ้นมาพูด”
ยังคงเป็นท่าทางเคร่งขรึมเหมือนเช่นเคย เหมือนว่าไม่มีอะไรจะทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าได้ ไม่มีผู้ใดหรือเรื่องอะไรมาเปลี่ยนแปลงเขาได้
เจียงวั่งลุกขึ้นมา คุกเข่าหันหน้าไปหาต่งเออ
ดวงตาของเขาแดงเล็กน้อย “อาจารย์ต่ง ก่อนที่ข้าจะรายงาน ข้าหวังว่าท่านจะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ในวันหน้าของท่านช่วยดูแลเจียงอันอันน้องสาวของข้า นอกจากนาง ข้าไม่มีห่วงอะไรแล้ว”
ต่งเออขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องที่จะสั่งเสีย รอเจ้าตายก่อนแล้วค่อยบอก”
อารมณ์ที่เจียงวั่งกลั่นกรองมาทั้งคืนก็ถูกขัดจังหวะไปแบบนี้แล้ว
เขาเก็บอารมณ์ของตัวเองเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยต่อไปว่า “ข้าสงสัยว่าพรรคกระดูกขาวจะกำลังวางแผนชั่วใหม่อยู่ นับจากที่สังเวยตำบลเสี่ยวหลินไปแล้ว ก็ถูกเจ้าเมืองสังหารที่งานประลองสามเมืองเสวนาเต๋าไปรอบหนึ่ง ทุกคนล้วนคิดว่าพวกมันไปจากรัฐจวงแล้ว แต่อันที่จริงพวกมันไม่ได้ไปจากเมืองเฟิงหลิน กระทั่งว่ารังของพวกมันอยู่ที่เขาหัววัวใกล้กับฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองด้วยซ้ำ! แต่ตอนนี้ได้ย้ายไปแล้ว ส่วนย้ายไปที่ไหนข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ ฟางเฮ่อหลิงเป็นคนของพรรคกระดูกขาวไปแล้ว ช่วยพวกมันทำเรื่องราวต่างๆ ข้าสงสัยว่าจะมีคนที่เกี่ยวพันกับพวกมันหรือถูกควบคุมเอาไว้มากขึ้นอีก พวกมันมีสิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์กระดูกขาว ล้ำค่าหายากมาก แต่สามารถควบคุมคนคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์”
ต่งเออรอเขาพูดจบอย่างเงียบงั้น ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เจียงวั่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าทำภารกิจสืบเรื่องก็พบว่าฟางเฮ่อหลิงมีปัญหา เมื่อคืนวาน อันที่จริงคนที่สะกดรอยตามฟางเฮ่องหลิงนอกจากหน่วยรักษาการณ์ลับกรมอาญาคนนั้น ยังมีข้าด้วย พวกเราไล่ตามไปถึงเขาหัววัว เจอกับกับดัก หน่วยรักษาการณ์ลับกรมอาญาคนนั้นถูกฆ่า…แต่พวกมันบอกว่าข้าเป็นผู้สืบมรรคากระดูกขาวจุติลงมา อนาคตจะเป็นเทพของพรรคกระดูกขาว มองว่าข้าเป็นพวกเดียวกับพวกมัน”
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะพูดความจริง
การตัดสินใจนี้ลำบากยากเข็ญอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังตัดสินใจเช่นนี้
เป็นแค่เชื่อใจของนักเรียนที่มีต่ออาจารย์
เป็นเพียงแค่การตัดสินใจอย่างเรียบง่ายระหว่างความปลอดภัยของตัวเองกับความปลอดภัยของทั้งเมืองจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับอะไร
เขากระทั่งเตรียมใจว่าต่งเออจะลงโทษญาติมิตรเพื่อผดุงความยุติธรรม ถึงอย่างไร เจ้าสำนักที่เขาเคารพนับถือผู้นี้ ก็เป็นคนที่เถรตรงผ่าเผย ความผิดเล็กน้อยก็ไม่อาจปล่อยผ่าน
“เจ้าคิดอย่างไร” ต่งเออกลับถามขึ้นมา
“เอ๋”
“เรื่องที่พวกเขาบอกว่าเจ้าเป็นผู้สืบมรรคากระดูกขาวเรื่องนี้ เจ้าคิดอย่างไร”
เจียงวั่งเอ่ยอย่างเศร้าใจห่อเหี่ยว “เหมือนว่าข้าจะใช่จริง…”
“ที่ข้าถามคือ…” ต่งเออพูดซ้ำอีกรอบ “เจ้าคิดอย่างไร”
เจียงวั่งพลันเงยหน้าขึ้นมา “ข้าไม่ยินดีอยู่แล้ว! ข้าไม่มีทางทำเรื่องเข่นฆ่าประชาชน ทำเรื่องฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ ไม่อาจดูถูกผู้วายชนม์ ไม่อาจทิ้งความเป็นมนุษย์! ข้ายอมตาย แต่จะไม่ยอมเข้าร่วมกับพรรคกระดูกขาวเด็ดขาว!”
อารมณ์ของเขาพุ่งพล่าน
แต่ต่งเออเพียงแค่พยักหน้า “พอแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
เจียงวั่งอึ้งงงงัน
ปล่อยให้ข้าไปแบบนี้รึ ให้ข้ากลับไปอย่างนั้นรึ
ข้าเป็นผู้สืบมรรคากระดูกขาวไม่ใช่หรือ เป็นเทพของพรรคกระดูกขาวในอนาคตไม่ใช่หรือ เป็นหัวหน้าของพรรคมารนอกรีตพวกนั้นเชียวนะ!
ปล่อยให้ข้าไปง่ายๆ แบบนี้รึ
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นรึ” ต่งเออถามอย่างรำคาญ
เจียงวั่งถามหยั่งเชิงไปว่า “เรื่องพรรคกระดูกขาว…”
“ข้าจัดการเอง”
“เช่นนั้นศิษย์…ควรจะไปจวนเจ้าเมือง รายงานเจ้าเมืองเว่ยเรื่องนี้สักหน่อยหรือไม่”
“เว่ยชวี่จี๋ทางนั้นข้าจะคุยกับเขาเอง”
“ท่านยังมีเรื่องอะไรจะกำชับข้าหรือไม่”
“ขยันฝึกฝน ดูแลน้องสาวของเจ้าให้ดี” ต่งเออยังคงพูดน้อยเช่นเคย
“นอกจากนั้นเล่า”
“…อย่ามากวนข้าให้มากนัก”
“อ้อ ขอรับ” เจียงวั่งลุกขึ้นมาอย่างมึนงง ก็จะเดินออกไปข้างนอก
เดินไปสองก้าวก็อดไม่ได้ หันมาถามว่า “อาจารย์ต่ง ท่านจะไม่จัดการให้ข้าไปทำอะไรสักหน่อยจริงๆ หรือ”
ต่งเออถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พูดขึ้นมาหลายประโยคอย่างหาได้ยากว่า “เจ้าจะต้องให้ข้าบอกจริงๆ ใช่ไหมว่า เผชิญหน้ากับขั้วอำนาจอย่างพรรคกระดูกขาวเช่นนี้ เจ้าอ่อนด้อยขนาดไหน ไร้ประโยชน์ถึงปานใด”
“…ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงวั่งเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสียงของต่งเออดังไล่หลังขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว หากพวกเขาเปิดเผยข่าวอะไรของเทพในอนาคตคนนี้อีก ก็มาบอกข้าทันทีเลย”
แสงอาทิตย์ยามฤดูหนาวนอกห้องเหมือนจะแสบตาเป็นพิเศษ
เจียงวั่งกลั้นน้ำตา
“ศิษย์ทราบแล้ว!” เขาตอบ
……
หน้าผาสูง ลมภูเขาพัดผมยาวปลิวสยาย
“ผู้สืบมรรคาตื่นขึ้นเมื่อไร” ทูตกระดูกขาวเดินมาข้างหลังไป๋เหลียนแล้วถามขึ้น
ไป๋เหลียนหันกลับมา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร”
หน้ากากลายดอกบัวปกปิดใบหน้าของนาง มีเพียงดวงตาที่จ้องประสานกับทูตกระดูกขาว
“หน้ากากใส่เอาไว้นาน บางทีก็อาจจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”
ทูตกระดูกขาวยื่นมือถอดหน้ากากลายดอกบัวออก เผยให้เห็นใบหน้าของเมี่ยวอวี้
“แล้วเจ้าเล่า” เมี่ยวอวี้ถาม “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร”
“ข้าน่ะหรือ” ทูตกระดูกขาวเดินมาข้างนาง ทั้งสองคนยืนอยู่ข้างๆ กันบนหน้าผาสูง เพียงแต่หันหน้ากันคนละฝั่ง
“จำไม่ได้แล้ว”
เมี่ยวอวี้เหมือนไม่สนใจคำตอบของเขา เปลี่ยนเรื่องถามว่า “ลู่เหยี่ยนมาหาเจ้าแล้วหรือยัง”
ทูตกระดูกขาวมองหน้าผาข้างล่าง “ทุกคนในพรรคกระดูกขาวล้วนจริงครึ่งเท็จครึ่งทั้งนั้น ทุกประโยคที่พูดล้วนต้องระมัดระวัง ทุกคนต่างหยั่งเชิง ตั้งตนเป็นศัตรูกัน แต่ก็ยังจำเป็นต้องมุ่งไปข้างหน้าเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย ใครก็ไม่รู้ว่าท่าทีของใครเป็นของจริงหรือปลอม เขาเผยออกมาว่ามีความคิดจะฆ่าโอวหยางเลี่ย ก็ต้องให้ข้าเชื่อด้วยถึงจะได้”
“เจ้าเองก็เช่นกัน ก็ต้องทำให้ข้ากล้าเชื่อถึงจะได้” เมี่ยวอวี้พูด
“เจ้าย่อมควรจะเชื่อข้า เพราะอย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เป้าหมายของพวกเราก็เหมือนกัน ล้วนเฝ้าปรารถนาให้ผู้สืบมรรคาตื่นขึ้นมา”
“ทุกคนในพรรคกระดูกขาวล้วนรอการฟื้นตื่นขึ้นมาของผู้สืบมรรคา แต่ไม่มีใครสนใจว่าผู้สืบมรรคาเป็นใคร”
“เช่นนั้นเจ้าเล่า เจ้าสนใจหรือไม่”
“ข้าเคยคิดว่าตัวเองไม่สนใจ เพราะไม่ว่าจะจุติลงมาเป็นใคร ผู้สืบมรรคาก็ยังคงเป็นผู้สืบมรรคาคนนั้น แต่ข้าตอนนี้” นางกดที่หัวใจของตัวเองเบาๆ “เหมือนว่าจะสับสนนิดๆ”
“นี่อันตรายมาก”
“นั่นสินะ…”
“เช่นนั้นก็ว่าเรื่องที่เจ้าคิดอยากจะทำเสียเถอะ อย่างไรเสียตามโองการแห่งเทวะ ขอเพียงแผนการดำเนินไปถึงขั้นนั้น ผู้สืบมรรคาย่อมตื่นขึ้นมา เจ้าทำหรือไม่ทำ เลือกหรือไม่เลือก ไม่มีอะไรแตกต่าง” ทูตกระดูกขาวพูด
“อย่างไรเสียก็เป็นความหวัง ทำให้สมบูรณ์สักหน่อย” เมี่ยวอวี้ยิ้มอย่างค่อนข้างสับสน “คิดไม่ถึงว่า เทพจะมีโองการเทวะลงมาอีกครั้ง พระองค์ท่านกลับมาจากแม่น้ำลืมเลือนแล้ว พวกเรายังพยายามจะลองคาดเดาลิขิตสวรรค์ ช่างน่าหัวเราะนัก”
“แผนการจะเริ่มแล้ว” ทูตกระดูกขาวมองไปยังที่ไกลลิบ สองแขนกางออก เหมือนโอบกอดทุกอย่างที่อยู่ในครรลองสายตา “เจ้าอยากจะพูดอะไรกับพวกเขาหรือไม่”
“ขอเทพมอบความยุติธรรมให้พวกเขา” เมี่ยวอวี้กล่าว
ที่ไกลโพ้นเป็นยอดเขาสูงตระหง่านยอดเขาหนึ่ง ประดุจลอยมาจากนอกพิภพ
………………………………………………………