ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 123 กระแสวนดำมืด
บทที่ 123 กระแสวนดำมืด
มาได้ครึ่งทาง ก็มองเห็นเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า จุดติดกันสามครั้ง
นี่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือประเภทหนึ่งของสำนักเต๋า
เว่ยเหยี่ยนคว้าตัวเสิ่นหนานชีและเพิ่มความเร็วทันที
เขาทั้งไม่อยากพลาดจังหวะการช่วยเหลือที่ดีที่สุด และไม่อาจทิ้งเสิ่นหนานชีที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไว้ที่นี่ได้ ดังนั้นอาการขัดขืนของเสิ่นหนานชี เขาจึงทำเป็นมองไม่เห็นไป
ด้านนอกตำบลเสี่ยวหลิน
เว่ยเหยี่ยนที่ไล่กวดมาอย่างเร่งด่วนหย่อนปลายเท้าลงพื้น
และมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกของเจียงวั่งศิษย์น้องทั้งสามคนที่กำลังตรวจสอบค้นหาอยู่พอดี
สำหรับการสำรวจภารกิจหมายเลขสามห้าจึงสิ้นสุดลงชั่วคราว เพราะต่งเออต้องการปิดเป็นความลับ เพื่อหลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น ฟางเฮ่อหลิงตอนนี้จึงมีอิสระอยู่
การตรวจสอบภารกิจครั้งนี้จึงต้องดองไว้ก่อนชั่วคราว แน่นอนโดยภายนอกถือว่าปิดคดีไปแล้ว
เดือนสิบสองคือช่วงท้ายของปีหนึ่ง พี่น้องเจียงวั่งทั้งสามคนล้วนเสร็จสิ้นภารกิจกันอย่างขะมักเขม้น สะสมแต้มเต๋าเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังจะจำศีลฤดูหนาว
พอผ่านช่วงความพยายามเวลานี้ไป ความเข้ากันได้ในการต่อสู้ต่อโลกบรรลุพลังของพวกเขาก็จะเสร็จสิ้น พลังล้วนมีการเติบโตก้าวหน้าก้าวใหญ่
หลิงเหอสำเร็จวงจรฟ้าดินเล็กในวันที่สามสิบเดือนสิบสอง ยังคงเหยียบย่างเส้นความเร็วที่จำกัดอยู่ภายใต้พรสวรรค์ทั่วไปเพื่อทะลวงระดับจนสมบูรณ์ เจ้าหรู่เฉิงเองก็ไม่ทันได้หลีกทาง แซงหน้าไปแล้วไม่กี่วันก่อนหน้าที่หลิงเหอจะทะลวงระดับ
แต่เจียงวั่งก็เอาแต่ลับวิชาเต๋า ทำรากฐานให้มั่นคง ใช้พลังรากเต๋าไปจำนวนมหาศาล ความเร็วการทะลวงระดับจึงช้าหน่อย
จากวันท้าดวลแดนศักดิ์สิทธิ์วันที่สิบห้าเดือนสิบสอง อันดับแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ร่วงลงมาที่เขาวังวิมานอันดับที่ยี่สิบเจ็ด การสร้างแต้มในแต่ละเดือนเหลือเพียงหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบแต้ม บวกกับที่เหลือจากก่อนหน้า ตอนนี้เขามีแต้มรวมเพียงสี่พันหนึ่งร้อยยี่สิบแต้ม
เรื่องนี้ยิ่งเพิ่มความบีบคั้นให้กับเจียงวั่งมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะทะลวงระดับ
จากระดับโจวเทียนถึงระดับผ่านสวรรค์ เป็นการผ่านเข้าระดับจากวงจรฟ้าดินเล็กสู่วงจรฟ้าดินใหญ่ เป็นตัวตัดสินเวลาในการมองเห็นประตูฟ้าดิน และเป็นตัวตัดสินระดับความสูงและความหนาของประตูฟ้าดินอีกด้วย
จำเป็นต้องมั่นคงเสียยิ่งกว่ามั่นคง
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต่งเออกำชับแล้วกำชับอีก
แต่ในความเป็นจริง กลุ่มการรวมกันของผู้ฝึกตนระดับโจวเทียนสามคนในตอนนี้ ปรากฎขึ้นในอันดับกระดานแต้มเต๋าสำนักเต๋าเมืองอย่างกะทันหัน ข้ามหน้าศิษย์พี่รุ่นก่อนๆ ไปไม่น้อย
งานเสวนาเต๋าสามเมืองปีหน้า เจียงวั่งถูกคาดการณ์เป็นผู้ชนะของนักเรียนชั้นปีสามไว้แล้ว กระทั่งจนถึงช่วงท้ายปี จะสอบเข้าสำนักเขตปกครองก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้
ยังมีตู้เหยี่ยหู่ที่อยู่ในหน่วยเกราะทมิฬเก้าแม่น้ำอีก พี่น้องกลุ่มนี้ล้วนมีอนาคตที่สว่างไสวกันทั้งสิ้น
เงามืดที่สำนักกระดูกขาวนำมา ค่อยเลือนจางไปภายใต้การรับผิดชอบของต่งเออ เจียงวั่งตอนนี้เต็มไปด้วยความฝันอันสวยงามต่ออนาคต
วันนี้กลุ่มของพวกเขาออกมาทำภารกิจใหม่อยู่ใกล้ๆ พอดี พอเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ตรงเข้ามาเป็นลำดับแรก แต่ค้นหาอยู่นานสองนาน กลับไม่พบอะไรเลย
…
“พวกเจ้าพบกับศิษย์สำนักเต๋าที่ขอความช่วยเหลือแล้วหรือยัง” เว่ยเหยี่ยนถามขึ้น
หลิงเหอตอบ “พวกเราอยู่ใกล้ๆ นี้เอง พอเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ตรงเข้ามาทันที แต่กลับไม่พบเงาคนเลย แม้แต่ร่องรอยการต่อสู้ก็ไม่มี”
นี่หมายความว่าอะไรทุกคนล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี
ศิษย์สำนักเต๋ากลุ่มนั้นจะต้องพบกับคู่มือที่ไม่สามารถต่อต้านได้อย่างแน่นอน ถึงได้ไม่มีกระทั่งร่องรอยการต่อสู้เหลือทิ้งไว้
แล้วเพราะอะไร พวกเขาจึงยังมีโอกาสส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือล่ะ
พอคิดถึงจุดนี้ ก็ทำเอาคนขนลุกซู่
“พวกเรารีบกลับเมืองไปรายงานเรื่องนี้เถอะ” เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยขึ้น
ตำบลเสี่ยวหลินที่ถูกปล่อยร้างอยู่ไม่ห่างจากนี่นัก ซากปรักหักพังก็เหมือนเป็นการบรรยายถึงเรื่องราวที่ผ่านไป
บอกพวกเขาว่าที่นี่เคยเกิดเรื่องอะไร และเหลืออะไรทิ้งไว้
เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด สิ่งที่เหลือไว้แน่นอนว่ามีเพียงความอัปยศ
ต้นสนจันทร์นอกตำบลผืนนั้นก็ดูเจริญงอกงามดี…ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่ลักลอบตัดแล้ว
“ไปเถอะ” เว่ยเหยี่ยนหันตัวเอ่ยขึ้น
“ไม่หาอีกสักหน่อยหรือ” หลิงเหอเอ่ยรู้สึกทนไม่ได้
เจ้าหรู่เฉิงก่อนหน้านี้แนะนำว่าให้กลับเมือง แต่เพราะหลิงเหอขอร้องหลายครั้ง พี่น้องทั้งสามจึงยังค้นหาต่อ จากนั้นจึงได้พบกับพวกของเว่ยเหยี่ยนทั้งสองคนที่ตามมาทีหลัง
เจ้าหรู่เฉิงดึงตัวเขา “รีบไปเถอะ เรื่องดูจะเลวร้ายมากกว่าดี! กลับไปรายงานกับกรมอาญาก็จบแล้ว การจะสืบเสาะร่องรอย ให้พวกมืออาชีพมาจัดการดีกว่า”
หลิงเหอจึงทำได้เพียงยกเลิกไป
และเพราะเสิ่นหนานชีไม่มีพลังต่อสู้แล้ว ในกลุ่มจึงสลับกันประคองตัวเขาเพื่อเดินทาง ความเร็วจึงไม่มากนัก
กลุ่มคนเดินทางมาถึงถนนสายหลัก ไปข้างหน้าอีกหน่อยก็จะมองเห็นเฟิงหลินแล้ว เหว่ยเหยี่ยนจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง “พวกเจ้าไปก่อนเถอะ พาเสิ่นหนานชีกลับไปด้วย”
“แล้วขุนพลเว่ยล่ะ” หลิงเหอถาม
เจ้าหรู่เฉิงกลับเข้ามาโอบเอวเขา “รีบไปเถอะพี่ใหญ่ อย่าห่วงเรื่องคนอื่นให้มากนักเลย!”
เจียงวั่งนิ่งเงียบมาตลอด เพราะตอนที่เพิ่งออกจากตำบลเสี่ยวหลิน ในใจเขาก็จมดิ่งอยู่กับความไม่สงบที่เข้ามาอย่างกะทันหัน
และก็บอกไม่ถูกว่าความไม่สงบนี้มาจากที่ใด จึงปกป้องเจียงหนานชีเดินตรงไปต่อ
เวลานี้เสิ่นหนานชีเหมือนกับศพเดินได้ก็มิปาน ดูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินกับใครหรือว่าเดินไปไหน
แต่เจียงวั่งก็สัมผัสได้อย่างเฉียบคม ในร่างกายเขามีกลิ่นอายที่เฉียบคมมากบางอย่างกำลังแผ่ซ่านออกมาอย่างช้าๆ
เหล่าพี่น้องมองหน้ากันและกัน ล้วนเข้าใจว่า พอผ่านการกระทบกระเทือนในวันนี้ เสิ่นหนานชีคงจะเปิดประตูฟ้าดินได้แล้วทันที!
…
จนกระทั่งพวกเจียงวั่งเดินจากไปไกล เว่ยเหยี่ยนจึงหันกลับกะทันหัน พุ่งตรงเข้าไปในตำบลเสี่ยวเหลิน
ถือหยาดฟ้าทะลวงห้อยลง พลังปราณธาตุเหล็กมารวมที่ตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างของเขาคมกริบ พุ่งผ่าร่องอากาศตรงไปด้านหน้าราวกับเฉือนลมจนแยกออกจากกัน
ระยะห่างที่ต้องเดินกันนานสองนานก่อนหน้า เวลานี้พัดเพียงวูบเดียวก็มาถึง
แต่สถานที่นี้ยังคงเงียบสงบ ราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่เลย
ที่นี่เป็นสถานรกร้างที่แม้แต่วิญญาณเองก็ยังไม่อยู่ เพราะว่าเหล่าวิญญาณในสถานที่นี้กลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้แก่ภาพมายาด่านประตูผีไปหมดแล้ว
เว่ยเหยี่ยนกำดาบหยาดฟ้าทะลวงแน่น พุ่งทะยานไปในซากปรักหักพัง
ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม รถเข็นล้อเดียว…
ก้าวเดินของเขาเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แต่เดินจนแทบจะครบรอบตำบลเสี่ยวหลินทั้งตำบลแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยอะไร
และไม่มีการโจมตีเข้ามาอีกด้วย
ท้ายสุดเขาจึงหยุดลง ยืนอยู่ใจกลางตำบลเสี่ยวหลิน อยู่บนพื้นราบที่แหว่งเว้าไปผืนหนึ่ง…ตำแหน่งของภาพมายาด่านประตูผีในตอนนั้น
“ออกมาเถอะ! รอต่อไปก็ไม่ได้อะไร!” เว่ยเหยี่ยนตะโกนขึ้นฉับพลัน
และเหมือนมีกระแสลมวูบหนึ่งพัดมา ร่างในชุดผ้าไหมสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ภายใต้ผมยาวที่รวบขึ้น คือใบหน้าที่น่าเกรงขามของเว่ยชวี่จี๋คนนั้น
“ท่านตามมาจริงๆ ด้วย!” เว่ยเหยี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหรือ เป็นเรื่องที่ท่านทำลงจริงๆ นั่นล่ะ น่าเสียดายที่ถูกเปิดโปงเสียแล้ว!”
“นั่นก็อธิบายได้ว่าเจ้าเป็นขยะไง ไม่คู่ควรให้พวกเขาออกมาเสี่ยงอันตราย!”
เว่ยชวี่จี๋ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ เพียงแค่ทิ้งประโยคอันเจ็บแสบไว้ จากนั้นจึงพุ่งตัวออกไปตามลมพายุหมุน
เขาเหมือนจะไม่รอคำตอบ เพียงแค่อยากจะแสดงออกถึงปณิธานคนเองเท่านั้น
“แล้วท่านไม่ใช่ขยะหรือไรกัน” เว่ยเหยี่ยนกัดฟันกรอด กุมหยาดฟ้าทะลวงไว้แน่น “ท่านพ่อ…ของข้า? “
…
กลับมาถึงเมืองเฟิงหลิน ส่งตัวเสิ่นหนานชีไปยังที่พัก
พี่น้องทั้งสามตรงไปยังตำหนักแต้มเต๋าเพื่อเลือกภารกิจ แบ่งแต้มเต๋าเสร็จสรรพ เตรียมตัวจะแยกย้ายกัน
“พี่สาม ท่านไม่เป็นไรนะ” เจ้าหรู่เฉิงถาม
“ข้าไม่เป็นไร” เจียงวั่งฝืนตอบ “อาจจะเพราะวันนี้มีศิษย์พี่น้องตายไปมากมาย ในใจเลยไม่ค่อยสงบนัก”
“กลับไปพักผ่อนเสียหน่อย” หลิงเหอตบลงบนบ่าเขา เรื่องเช่นนี้ไม่มีคำพูดปลอบประโลมใดๆ เส้นทางฝึกบำเพ็ญ พวกเขายังต้องผ่านมันอีกเยอะ
พอเดินมาถึงประตูใหญ่ตำหนักแต้มเต๋า หลิงเหอจึงพักอยู่ที่หอพักสำนักเต๋า เจ้าหรู่เฉิงออกจากประตูสำนักเต๋ากลับบ้าน ส่วนเจียงวั่งเดินผ่านประตูหลังสำนักเต๋าไปยังตรอกอาชาเหิน
พี่น้องทั้งสามแยกย้ายกัน
เจียงวั่งเดินออกมาคนเดียว ตอนมาถึงประตูหลัง ฝีเท้าจู่ๆ ก็โยกไหว
เขาเมื่อครู่เหมือนจิตใจล่องลอย ภาพซากปรักหักพังของตำบลเสี่ยวหลินราวกับปรากฏขึ้นตรงหน้า เขายังมองเห็นอีกว่า ใจกลางตำบลเสี่ยวหลิน มีกระแสวนดำมืดขนาดใหญ่วงหนึ่งปรากฎขึ้น!
เขาดึงสติกลับมา เบื้องหน้าก็มีศิษย์น้องสำนักเต๋าเข้ามาถามไถ่อย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เจียงวั่งรีบเอ่ยตอบ
เขาก้าวเท้าเดินต่อ แต่ฝีเท้าก็หนักเหมือนพันชั่ง
นี่มัน….ภาพลวงตาหรือ
……………………………………….